Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
 
9 กุมภาพันธ์ 2567
 
All Blogs
 
ธาตุ ๖

               

             สอนอยู่เสมอว่า เกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา แต่ใจไม่ตาย ไปกลัวทำไม ใจไม่เคยตาย กลับไปกลัวตายเสียเอง สิ่งที่ตายกลับไม่กลัวก็คือร่างกาย หนังเนื้อเอ็นกระดูกไม่กลัว ผู้ที่กลัวไม่ตาย ให้ค้นความจริงนี้ให้พบเถิด แล้วจะอยู่อย่างสบาย ให้พบผู้ที่ไม่ตาย ก็คือเรานี่เอง แต่ทำไมเรามองไม่เห็นตัวเรา เพราะไม่มีกระจกเงาดู กระจกเงาที่จะดูใจได้ก็คือธรรมะ การภาวนาเป็นการสร้างกระจกเงาดูใจ ถ้าสร้างสำเร็จแล้ว ก็จะมีดวงตาเห็นธรรม เห็นความจริง เห็นว่าใจกับกายเป็นคนละส่วนกัน กายเป็นดินน้ำลมไฟ ใจเป็นธาตุรู้ มาอยู่ร่วมกัน ตามอำนาจของตัณหาความอยาก ของบุญและบาป ถ้าเป็นอำนาจบุญก็ได้ร่างมนุษย์ ถ้าเป็นอำนาจบาปก็ได้ร่างเดรัจฉาน อยู่ไประยะหนึ่งแล้วก็แยกออกจากกัน แล้วก็กลับมารวมกันใหม่ กลับมาได้ร่างใหม่ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว แต่ผู้ที่ได้ร่างนี้ไม่เคยศึกษาความจริงนี้ ทุกครั้งที่ได้ร่างกายก็คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา พอร่างกายเป็นอะไรไป ก็เกิดความหวาดกลัวเกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้ามีกระจกเงาไว้ดูใจเหมือนมีกระจกเงาดูหน้าตา ก็จะรู้ว่าเราไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา ท่านถึงได้แสดงไว้ว่าร่างกายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตาย เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติดไปหลงคิดว่าเป็นตัวเราของเรา นี่คืออนิจจังทุกขังอนัตตา
 
ถ้าเห็นธรรมนี้ ก็จะมีกระจกเงาเห็นตนเอง จะไม่กลัวความตาย เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านก็เปล่งวาจาว่า สิ่งใดที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา ท่านเห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็นเป็นคนละส่วนกัน สิ่งที่ถูกเห็นก็คือร่างกาย ที่ประกอบจากดินน้ำลมไฟ คือธาตุ ๔ ไม่ได้เป็นผู้เห็น ผู้เห็นเพียงมาครอบครองเป็นสมบัติชั่วคราว เมื่อถึงเวลาสมบัตินี้ก็จะต้องเสื่อมหมดสภาพไป ก็จะแยกกลับคืนสู่สภาพเดิม กลับไปสู่น้ำ กลับไปสู่ดิน กลับไปสู่ลม กลับไปสู่ไฟ เวลาคนตายไฟก็จะออกจากร่างไป ร่างกายก็จะเย็น น้ำก็จะไหลออกไป ลมก็จะระเหยออกไป ในที่สุดก็จะเหลือแต่ส่วนที่เป็นดิน เห็นกันชัดๆ ตัวเราอยู่ตรงไหน ตัวเขาอยู่ตรงไหน ไม่มีหรอก ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายก็ไปแล้ว ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เป็นเหมือนกันทุกคน ใจของทุกคนเป็นธรรมชาติเดียวกัน เป็นธาตุรู้เหมือนกัน ต่างกันที่รู้ไม่จริงกับรู้จริงเท่านั้นเอง ถ้ารู้จริงก็ไม่ทุกข์ ปล่อยวางไม่ยึดไม่ติด ไม่อยากจะได้ร่างกายใหม่ เพราะได้มาทีไรก็ต้องเป็นภาระ เป็นภารหเว ปัญจขันธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระที่ต้องแบก เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวก หลังจากที่ตรัสรู้บรรลุธรรมแล้ว ก็ยังต้องแบกภาระของร่างกายอยู่ ยังต้องดูแลรักษา ให้อาหารอาบน้ำอาบท่า   เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องให้ยา เป็นภาระอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่มีภาระ ถ้าไม่มีลูกก็จะไม่มีภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูก ถ้ามีลูกก็จะมีภาระต้องเลี้ยงดูลูก ตั้งแต่ออกมาจากท้อง จนกว่าจะเจริญเติบโต จนเลี้ยงตัวเองได้ ถึงจะหมดภาระ นี่คือกระจกส่องใจ แว่นดวงใจ แว่นส่องใจ คือปัญญา หรือแสงสว่างแห่งธรรม ที่จะทำให้เห็นความจริงนี้
 
มีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว ที่ทรงเห็นใจได้ด้วยพระองค์เอง ที่ทรงตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องของใจนี่เอง ตรัสรู้ว่าใจทุกข์เพราะอะไร ใจสุขเพราะอะไร ใจทุกข์เพราะหลง ไปยึดไปติดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเราของเรา ทรงแสดงไว้ในทุกขสัจ อุปาทานในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีอุปาทานก็จะไม่มีความทุกข์ ถึงแม้จะมีขันธ์ ๕ แต่ถ้าไม่มีอุปาทานก็จะไม่ทุกข์ เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่ทุกข์กับร่างกาย จะเป็นจะตายอย่างไรไม่เดือดร้อน ตายในอิริยาบถใดที่ไหนเวลาใดได้อย่างสบาย เพราะไม่มีอุปาทานในขันธ์ ๕ในร่างกาย ว่าเป็นตัวเราของเรา เห็นชัดอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ พระอริยสัจ ๔ ก็คือทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค ทุกข์ได้แก่การเกิดแก่เจ็บตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ โดยสรุปก็คืออุปาทานในขันธ์ ๕ ทั้งของเราและของผู้อื่น อุปาทานในขันธ์ ๕ ของเราก็คือร่างกายเรา ของผู้อื่นก็คือของสามีของภรรยาของบุตรของธิดาของพ่อของแม่ของเพื่อน พอมีอุปาทานว่าเป็นเพื่อนเราเป็นญาติเรา ก็เกิดความอยากให้เขาอยู่อย่างปลอดภัย อยู่ไปนานๆ พอมีเหตุการณ์มากระทบกับความปลอดภัย ก็สร้างความหวั่นไหว สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนใจขึ้นมา ทั้งหมดนี้ก็เกิดจาก อวิชชาปัจจยาสังขารา ความเห็นผิดเป็นชอบ ไม่เห็นว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา สัพเพธัมมาอนัตตา สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นเพียงธาตุ
 
ธาตุที่เห็นกันก็คือธาตุ ๔  ดินน้ำลมไฟ ธาตุที่ไม่เห็นมีอยู่ ๒ คืออากาศธาตุ และธาตุรู้คือใจ สรรพสัตว์ทั้งหลายมีธาตุ ๖ มาผสมกัน สิ่งอื่นๆมีเพียง ๕ ธาตุ มนุษย์กับเดรัจฉานมี ๖ ธาตุ คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ธาตุรู้คือใจ แล้วก็มีอากาศธาตุคือความว่าง ที่อยู่รอบร่างกาย และอยู่ข้างในร่างกายด้วย ตรงไหนเป็นช่องว่าง ตรงนั้นก็เป็นอากาศธาตุ เช่นที่รูจมูก ส่วนที่ว่างในร่างกาย ก็จะเป็นอากาศธาตุ ส่วนที่อยู่รอบร่างกายก็เป็นอากาศธาตุ ส่วนธาตุรู้ก็คือใจ ที่เป็นเจ้านายของร่างกาย ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ธาตุรู้เป็นผู้สั่งให้ร่างกายทำงาน ให้ไปนั่นมานี่ ให้พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ ธาตุรู้เป็นทั้งผู้สั่งและผู้รับรู้ สิ่งต่างๆที่เข้ามาทางทวารทั้ง ๕ คือตาหูจมูกลิ้นกาย ส่วนอวิชชาปัจจยาสังขาราก็คือ ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นเพียงธาตุ กลับไปคิดว่าเป็นตัวเราของเรา เวลาร่างกายสุขก็ดีใจ เวลาร่างกายเจ็บก็ทุกข์ใจ จึงเกิดตัณหาขึ้นมา เกิดกามตัณหาภวตัณหาวิภวตัณหาขึ้นมา ตัณหาเป็นสมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะอวิชชาจึงเกิดอุปาทานตัณหาเกิดความทุกข์ตามมา ที่พวกเราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทุกข์ทางใจ เพราะตัณหาทั้ง ๓ นี้ อากาศร้อนก็ทุกข์ เพราะไม่ชอบเวทนาที่ร้อน อยากจะให้เย็นก็ทุกข์ ถ้ายอมรับความร้อนได้ ร้อนก็ร้อนไป ก็จะไม่ทุกข์ ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ไม่ต้องหาวิธีต่างๆมาดับความร้อน อยู่ได้ก็อยู่ไป อยู่ไม่ได้ก็ตาย ก็จะไม่ทุกข์ เพราะไม่มีอุปาทาน ไม่ได้คิดว่าตัวเราร้อน ไม่ได้คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา ตัวเราไม่ร้อน ตัวเราเพียงแต่รู้ว่าร่างกายร้อน ตัวเราคือผู้รู้ไม่ได้ร้อนไปกับร่างกาย เราเย็นด้วยความสงบ ด้วยการปล่อยวาง เป็นอุเบกขา ไม่มีตัณหาทั้ง ๓ กามตัณหาก็ไม่มี ภวตัณหาก็ไม่มี วิภวตัณหาก็ไม่มี ยินดีตามมีตามเกิด นี่คือเป้าหมายของการปฏิบัติ
 
เพื่อสอนใจให้ปล่อยวาง ไม่ให้ยึดไม่ให้ติดในสิ่งต่างๆ ที่เป็นเพียงธาตุ ๖ ธาตุดินน้ำลมไฟ ธาตุอากาศและธาตุรู้ ถ้าเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะปล่อยวางได้ จะไม่ทุกข์กับอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมาจากธาตุ ๖ นี้เอง ร่างกายและใจของเราก็มาจากธาตุ ๖ ของคนอื่นก็ธาตุ ๖ บ้านก็เป็นธาตุ  สมบัติต่างๆก็เป็นธาตุ เพชรก้อนโตเท่ากำมือก็เป็นธาตุ เป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่เราสมมุติว่ามีราคา แล้วก็หลงตามสมมุติ แต่ความจริงไม่มีราคาอะไร เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง กระดาษที่พิมพ์ตัวเลข ๑๐๐๐ เลข ๕๐๐ เลข ๑๐๐ ก็เป็นเพียงกระดาษ ถูกสมมุติให้มีราคาเท่านั้นเท่านี้ สมัยเป็นเด็กๆเคยเล่นไพ่ใช้เงินปลอม ไม่มีใครเชื่อกันว่าเป็นเงินจริง แต่เงินปลอมของผู้ใหญ่กลับเชื่อกัน เงินปลอมของเด็กไม่เชื่อ เป็นเงินปลอมเหมือนกัน เป็นกระดาษเหมือนกัน พอมีคนเชื่อก็เลยมีค่าขึ้นมา เอากระดาษนี้ไปแลกข้าวปลาอาหารได้ เพราะเชื่อกัน เงินของฝรั่งพิมพ์คำว่าเราเชื่อในพระเจ้าไว้ จึงมีคุณค่า ความจริงเป็นเพียงกระดาษ แต่ทุกคนเชื่อกันหลงกันว่ามีราคา จึงเป็นของมีราคาขึ้นมา แต่ความจริงไม่มีราคาอะไร ถ้าหลงอยู่ในป่า ไปเจอเพชรกองเท่าภูเขา ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร ไปเจอกล้วยสักหวีหนึ่งจะดีกว่า แต่เราไม่ใช้ปัญญาแยกแยะกัน เกิดมาถูกสอนให้เชื่อก็เชื่อตามกันมา สอนว่าร่างกายคนนี้เป็นพ่อ ร่างกายคนนี้เป็นแม่ ก็เชื่อกันมา คนนี้เป็นพี่ คนนี้เป็นน้อง คนนี้เป็นเจ้า คนนี้เป็นบ่าว ก็คนเหมือนกัน หน้าตาเจ้ากับหน้าตาบ่าวต่างกันตรงไหน ถ้าเจ้ามีเขาก็น่าจะวิเศษกว่าบ่าว เจ้าก็ไม่มีเขา บ่าวก็ไม่มีเขา มีแขนมีขาเหมือนกัน มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน จะไปตื่นเต้นกับอะไร เพราะไม่ใช้ปัญญา หลงตามสมมุติกัน สมมุติว่าคนนั้นมีราคา คนนี้ไม่มีราคา แต่ความจริงก็เป็นร่างกายเหมือนกัน เป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน เป็นดินน้ำลมไฟเหมือนกัน นี้เรียกว่าปัญญา
 
จะรู้ทันกิเลสก็ต้องรู้แบบนี้ ต้องพิจารณาแบบนี้ ต้องมองอย่างนี้ จะได้หลุดพ้นจากสมมุติ เราติดอยู่กับสมมุติ จึงต้องศึกษาอยู่เรื่อยๆ พิจารณาอยู่เรื่อยๆ เป็นการบ้านสำหรับวันนี้ ไปพิจารณาดู เห็นอะไรก็พิจารณาว่าเป็นธาตุ แยกแยะดูว่าเป็นธาตุหรือไม่ มีอะไรบ้างที่ไม่เป็นธาตุ ดินน้ำลมไฟ ธาตุดินก็เป็นส่วนแข็ง ธาตุน้ำเป็นส่วนเหลว บางสิ่งก็มีทั้งธาตุดินธาตุน้ำผสมกัน ก็ข้นหน่อย ถ้าใสก็จะไม่มีธาตุดินเลย หรือมีน้อยมาก เช่นน้ำแร่ มีธาตุดินอยู่ด้วย แต่มีจำนวนน้อยมาก ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าน้ำแร่ได้อย่างไร ต้องเรียกว่าน้ำกลั่น เพราะน้ำกลั่นแทบจะไม่มีธาตุดินผสมอยู่เลย เพราะกลั่นเอาแต่น้ำออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนผสมของธาตุ ๔ รวมกันทั้งนั้น ไม่เที่ยง รวมตัวแล้วก็แยกออกจากกัน ธรรมชาติของธาตุจะกลับคืนสู่ธาตุเดิมเสมอ น้ำจะกลับไปรวมกับน้ำ ดินจะกลับไปรวมกับดิน แต่ถูกปัจจัยอื่นบังคับให้มารวมกัน พอรวมกันแล้วก็จะแยกกัน เช่นต้นไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากดิน เพราะมีเมล็ดอยู่ในดิน พอมีน้ำมาผสม ต้นก็เลยงอกออกมา ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็ต้องแห้งตายไป ถ้าไม่มีอากาศต้นไม้ก็ต้องตาย ไม่มีความร้อนต้นไม้ก็ต้องตาย ต้องมีธาตุทั้ง ๔ ถึงจะเจริญเติบโตและอยู่ได้ ถ้าธาตุส่วนใดส่วนหนึ่งหมดไปก็จะอยู่ไม่ได้ ถ้าพลังแยกที่จะทำให้แยกออกจากกัน มีกำลังมากกว่า ก็จะต้องตายไป ร่างกายของเราตายเพราะธาตุ ๔ ไม่ยอมอยู่ร่วมกัน จะแยกทางกัน ตอนต้นพลังที่ดึงไว้ให้อยู่ร่วมกันมีกำลังมากกว่า ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต พออ่อนกำลังลง สู้ปัจจัยที่จะแยกให้ออกจากกันไม่ได้ ร่างกายก็จะค่อยๆเสื่อมลงไป เริ่มแก่ลงไป แล้วในที่สุดก็แยกจากกันไปคนละทิศคนละทาง น้ำก็ไปทางหนึ่ง ไฟก็ไปทางหนึ่ง ลมก็ไปทางหนึ่ง ดินก็ไปทางหนึ่ง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ให้พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะปล่อยวางได้ พอพร้อมที่จะปล่อยก็เอาไปปล่อยดู ไปทดสอบดูว่าปล่อยได้จริงหรือไม่ ที่ไหนที่น่ากลัวๆ ที่น่าจะมีอันตรายต่อร่างกาย ก็ลองไปดู
 
นักปฏิบัติตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนี้ ต้องทดสอบกันทั้งนั้น ต้องอยู่ป่าอยู่เขากันทั้งนั้น ต้องอยู่ตามลำพัง ถึงจะเกิดความกลัวสุดขีด พอเกิดความกลัวสุดขีด ถ้ามีปัญญาก็จะดับความกลัวได้ ดับด้วยการเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นธาตุ ๔  เชื่ออย่างเต็มที่ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงเวลาก็ยอมให้ไปเลย เวลากลัวสุดขีดก็ยอมปล่อยให้ไป ตายเป็นตาย พอปล่อยได้ปั๊บจิตจะหยุดกลัว จะแยกออกจากร่างกายให้เห็นเลย จะรวมเข้าสู่สมาธิ เป็นเอกัคตารมณ์ ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นจะไม่มีความกลัวอีกต่อไป เพราะรู้ว่าใจไม่เป็นอะไร ร่างกายเป็น แต่ใจกลับสบาย จะไปกลัวตายทำไม พอสลัดร่างกายทิ้งไปได้แล้วจะสบายใจมาก แลกกันระหว่างร่างกายกับจิตที่รวมลงเป็นหนึ่งเป็นเอกัคตารมณ์ เราจะเอาอะไร ท่านถึงสอนว่านิพพานอยู่ฟากตาย ถ้าไม่ยอมตายจิตจะไม่ดิ่งลงสู่พระนิพพาน ไม่ดิ่งลงสู่ความสงบ แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้นได้ ต้องทำการบ้านก่อน ต้องเตรียมต้องซ้อมไว้ก่อน ถ้าไม่ทำจะไม่มีกำลัง พอไปแล้วจะทำไม่ได้ จะสติแตก แทนที่จะดิ่งลงสู่ความสงบ จะดิ่งสู่ความเป็นบ้า เพราะควบคุมกิเลสไม่ได้ กิเลสจะทำให้สติแตก จะทำให้เป็นบ้าไปเลย ผู้ที่ปฏิบัติแล้วเป็นบ้ากัน เพราะไม่รู้กำลังของตนเอง ท่านถึงบังคับให้ผู้ที่บวชใหม่อยู่กับพระอาจารย์อย่างน้อย ๕ พรรษาก่อน ให้ศึกษาวิทยายุทธ์ ให้มีอาวุธคุ้มครองจิตใจก่อน แล้วค่อยออกไปต่อสู้กับกิเลสในสนามรบ
 
ตอนต้นก็ซ้อมกับอาจารย์ไปก่อน ให้อาจารย์ยุแหย่ให้เกิดกิเลสขึ้นมา ทำให้เรากลัว แล้วดูซิว่าจะปลงได้หรือไม่ ถ้าปลงได้ไม่กลัวท่าน ก็ออกวิเวกได้ ถ้ายังกลัวท่านอยู่ท่านก็จะไม่ให้ไป ถ้าบวชใหม่ไปอยู่วิเวกส่วนใหญ่มักจะเสียหาย ไม่ค่อยได้ประโยชน์ นอกจากเก่งจริงๆ เช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น จะว่าไม่มีอาจารย์ก็ไม่เชิง ท่านก็ทรงศึกษากับพระอาจารย์ ไม่ได้ไปอยู่ตามลำพัง ทรงศึกษาตามสำนักต่างๆ การอยู่ศึกษากับอาจารย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่ทรงบังคับให้อยู่กับอาจารย์ถึง ๕ พรรษา พระที่บวชใหม่จะต้องไม่อยู่ปราศจากอาจารย์ ต้องถือนิสัยในอาจารย์หรือพระอุปัชฌาย์ ถ้าพระอุปัชฌาย์ไม่สามารถที่จะสอนได้ ท่านก็จะฝากให้ไปศึกษากับพระอาจารย์รูปที่สอนได้ ก็ต้องไปถือนิสัยกับพระอาจารย์รูปนั้น จะไปไหนมาไหนต้องขออนุญาตท่านก่อน ถ้าท่านให้ไปถึงจะไปได้ ถ้าท่านไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้ ถ้าดื้อท่านก็จะไม่รับกลับมา ไปแล้วก็ไปเลย ไม่ต้องกลับมา ถือว่าขาดจากการเป็นอาจารย์เป็นลูกศิษย์แล้ว ถ้าอาจารย์สอนแล้วลูกศิษย์ไม่เชื่อฟัง ก็จะไม่มีประโยชน์ สอนไปก็เสียเวลา การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากสำหรับผู้บวชใหม่ ผู้เริ่มปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้เลยว่าต้องศึกษาก่อน ปริยัติคือการศึกษาคำสอนของผู้รู้ ถ้ายังไม่รู้ก็ต้องหาผู้รู้ให้สั่งสอน ท่านสอนให้ทำอะไรก็ปฏิบัติตาม จนกว่าจะบรรลุผลขึ้นมา เป็นปฏิเวธ ปริยัตินำไปสู่การปฏิบัติ ปฏิบัตินำไปสู่ปฏิเวธ พอบรรลุธรรมแล้วค่อยเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่นต่อไป จะสอนก็ได้ ไม่สอนก็ได้ ไม่มีกฎบังคับตายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละท่าน บางท่านไม่มีความสามารถที่จะสั่งสอนได้อย่างกว้างขวาง ก็อาจจะไม่สอน หรืออาจจะไม่มีผู้ศรัทธามาศึกษากับท่าน บางท่านมีความสามารถและมีผู้สนใจศึกษากับท่านมาก ท่านก็สอนไป
 
สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ปฏิบัติ ก็คือปฏิเวธ การบรรลุผลที่เกิดจากการปฏิบัติ จะเกิดได้ก็ต้องมีการปฏิบัติที่ถูกต้องคือ สุปฏิปันโน อุชุ ญาย สามีจิ ปฏิปันโน จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ ก็ต้องมีปริยัติที่ถูกต้อง มีคำสั่งสอนที่ถูกต้องคือ สวากขาโต ภควตาธัมโม จะศึกษากับใครถึงจะได้ สวากขาโต ภควตาธัมโม ก็ต้องศึกษาจากพระไตรปิฎก เชื่อกันว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการถ่ายทอดมา ทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องศึกษาจากพระอริยสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ครูบาอาจารย์ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว ถึงจะได้ สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้ว นี่คือขั้นตอนของการบำเพ็ญของพุทธศาสนิกชน ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เหมือนกัน ไม่ต่างกัน ต่างกันตรงที่เวลาที่จะมีให้ต่อการบำเพ็ญกิจของพระศาสนา ถ้าเป็นบรรพชิตก็จะมีเวลาเต็มที่ ตั้งแต่ตื่นจนหลับเลย ไม่มีภารกิจอย่างอื่นมาดึงไป แต่ถ้าเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน จะมีเวลาน้อยมากต่อการปฏิบัติกิจของพระศาสนา วันหนึ่งแทบจะไม่มีเวลาเลย ถ้าไม่ตั้งใจจริงๆ ถ้าไม่กำหนดตารางไว้จริงๆ แทบจะไม่มีเวลาบำเพ็ญกันเลย ตื่นเช้าขึ้นมาก็ตาลีตาลานรีบไปทำงาน ทำมาหากินกัน พอเย็นก็รีบตาลีตาลานกลับบ้าน เพื่อจะได้กินข้าวพักผ่อนหลับนอน หาความสุขเล็กๆน้อยๆจากการดูหนังฟังเพลง พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อจะได้มีกำลังออกไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ฆราวาสจึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะปฏิบัติกิจของพระศาสนา
 
ถามว่าฆราวาสกับบรรพชิตนี้ต่างกันไหม ไม่ต่างกัน มีขันธ์ ๕ เหมือนกัน มีกายมีใจเหมือนกัน ต่างกันตรงที่มีความใฝ่ธรรมมากน้อยต่างกัน ถ้าใฝ่ธรรมมากก็จะมีกำลังมากพอที่จะสละเพศของฆราวาสได้ ออกไปปฏิบัติได้ ออกไปบวชเป็นบรรพชิต เป็นนักบวช เพื่อปฏิบัติอย่างเต็มที่ แต่ถ้าบวชแล้วไม่ได้ปฏิบัติ กลับมาทำกิจของฆราวาสก็ไม่ต่างกัน เช่นบวชแล้วไม่เคยนั่งสมาธิไม่เคยเดินจงกรมเลย ทำแต่บุญบังสังสวด บุญก็คืองานบุญ เช่นญาติโยมนิมนต์ไปทำบุญที่บ้าน ถือตาลปัตรไปนั่งสวดให้ญาติโยมฟัง เสร็จแล้วก็ฉัน ฉันเสร็จแล้วก็รับจตุปัจจัยไทยทาน แล้วก็กลับวัดมาพักผ่อน บ่ายๆก็ดื่มน้ำชากาแฟ ตอนกลางคืนก็เข้านอน เช้าก็ไปรับกิจนิมนต์ใหม่ รับสังฆทานบ้าง งานบุญบ้าง บังสุกุลบ้าง เวลาคนตายก็ไปบังสุกุล ถ้ามีพิธีสวดก็สวดกัน ถ้าทำกิจอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับฆราวาส เพราะนี่ไม่ใช่กิจของพระศาสนา ไม่ใช่กิจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ ในอดีตนั้นท่านไม่ได้ถือกิจเหล่านี้เป็นกิจสำคัญ การสวดการท่องนี้ทำเพื่อสืบทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นอุบาย ๓ ประการด้วยกันคือ ๑. เป็นการสอนผู้สวดเอง ให้รู้พระธรรมคำสั่งสอน ให้เกิดปัญญา  ๒. ให้มีสมาธิ เวลาสวดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือท่องไปในใจ เป็นการทำสมาธิภาวนา ๓. เป็นการอนุรักษ์คำสอนของพระพุทธเจ้าไว้   
 
ธรรมที่ออกมาจากใจกับธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนี้ จะตรงกัน จะไม่มีปัญหาไม่สงสัย ถ้าศึกษาอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่มีปฏิเวธ จะสงสัย ไม่แน่ใจว่าธรรมที่ได้ยินนี้ถูกต้องหรือไม่ เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจะอนุรักษ์พระศาสนาด้วยการท่องสวดอย่างเดียวจะไม่พอ พระศาสนาจะต้องหมดไปอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีการปฏิบัติพระศาสนาก็จะหมดไป ต่อให้มีการจารึกพระไตรปิฎกไว้ในระบบข้อมูลสื่อสารต่างๆ ก็จะเป็นเพียงตัวหนังสือเท่านั้นเอง อ่านแล้วจะไม่เข้าใจจะลังเลสงสัย เช่นเรื่องธาตุ ๖ นี้ ถ้าไม่เคยได้ยินไม่เคยศึกษามาก่อน ฟังครั้งแรกก็จะต้องงงทันทีเลย ถ้าไม่ปฏิบัติจะไม่รู้ ถ้าปฏิบัติแล้วจะเข้าใจทันที พออ่านปั๊บจะรู้ทันทีเลยว่าพูดถึงเรื่องอะไร เพราะมีอยู่ในตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ไหน ธาตุ ๖ นี้อยู่ในตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนี้ มุ่งมาที่กายและใจของเราเท่านั้น อริยสัจ ๔ ก็อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่ร่างกายของเรา ทุกขสัจคือการเกิดแก่เจ็บตาย อะไรล่ะที่เกิดแก่เจ็บตาย ก็ร่างกายนี้ อะไรที่ทุกข์ ก็ใจนี้ที่ทุกข์ เพราะไปยึดไปติดกับร่างกาย ว่าเป็นตัวเราของเรา นี่คือการอนุรักษ์พระศาสนาให้มีอายุยืนยาวนาน ต้องอนุรักษ์ด้วยปริยัติปฏิบัติปฏิเวธ ในสมัยโบราณท่านสวดกันเพื่อเหตุนี้ แต่ในสมัยปัจจุบัน ไม่ได้สวดเพื่อเหตุนี้ สวดเพื่อกระดาษที่พิมพ์ตัวเลข เป็นพิธีกรรม ได้อย่างมากก็ทาน ถ้าเอาเงินที่ได้มาไปทำทาน แต่การทำทานไม่ใช่หน้าที่ของนักบวช ที่ได้สละหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ถ้าบวชเพื่อมาหาเงิน ก็แสดงว่าไม่ได้มาบวชจริง
 
ผู้ที่บวชจริงๆได้สละหมดแล้ว ไม่ได้มาบวชเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง บวชเพื่อปฏิบัติธรรม ไม่ยุ่งกับเรื่องเงินทอง นอกจากว่ามันมายุ่งกับท่านเอง อย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ เช่นครูบาอาจารย์ที่มีศรัทธาถวายเงินทองให้กับท่าน แต่จิตใจท่านไม่ได้มุ่งหาเงินหาทอง มันมาเอง ท่านก็ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่โลก ถ้าท่านยังไม่บรรลุก็จะเป็นปัญหาได้ เพราะจะมีกิเลสที่ทำให้เกิดความโลภ เกิดความอยาก เกิดความหวงขึ้นมาได้ ถ้าไปเกี่ยวข้องกับเงินทองก็จะเสียได้ แต่ถ้าบรรลุธรรมแล้วเสร็จกิจของท่านแล้ว วุสิตังพรหมจริยังแล้ว กิจในพรหมจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อให้เกี่ยวข้องกับเงินทองกองเท่าภูเขาก็จะไม่เป็นปัญหาอย่างไร เพราะท่านรู้ว่ามันเป็นเพียงธาตุ เป็นกระดาษเท่านั้นเอง แต่เป็นประโยชน์กับผู้ที่เดือดร้อน ไม่มีข้าวกิน ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ก็จะเป็นประโยชน์ แต่กับตัวท่านมันไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งกายและใจ กายท่านก็ปล่อย ใจท่านก็ไม่ทุกข์กับอะไร ไม่มีความอยาก ต่อให้ได้เงินทองกองเท่าภูเขา ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรกับท่าน กลับเป็นภาระ ที่จะต้องจัดการดูแลแจกจ่าย ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ถ้าผู้บวชใหม่เห็นครูบาอาจารย์มีเงินมีทองมาก ก็อยากจะมีเหมือนกับท่าน ก็แสดงว่าหลงทางแล้ว เพราะไม่ได้บวชเพื่อมาหาเงินหาทอง บวชเพื่อหาธรรม หาการหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นงานของนักบวช งานของพุทธศาสนิกชน
 
เป้าหมายของพวกเราทุกคน อยู่ที่การดับทุกข์ภายในใจ ถ้าปฏิบัติมากละได้มากก็จะดับได้มาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้ เป็นเหมือนไฟ เงินทองนี้เป็นเหมือนไฟ จะคอยเผาใจเราอยู่เรื่อยๆ ความสุขที่มันให้กับเรานี้มีเพียงเล็กน้อย แต่ความทุกข์ที่เผาใจเรานี้ มีมากกว่าหลายเท่า แต่เราไม่รู้กัน พอเห็นเงินเห็นทองก็ตาลุกวาว คิดว่าจะให้ความสุขกับเรา แต่หารู้ไม่ว่าถ้าไปยึดติดกับเงินไปพึ่งเงินแล้ว เวลาไม่มีเงินจะทำอย่างไร จะอยู่เฉยๆได้ไหม ถ้าไม่ยึดไม่ติดกับเงินทอง จะอยู่ตามมีตามเกิดได้ คนรวยถึงทุกข์มากกว่าคนจน ทุกข์เพราะกลัวจะจน แต่คนจนไม่กลัวความจน เพราะอยู่กับความจนตลอดเวลา คนจนทุกข์ตรงที่อยากจะรวย แต่คนรวยกลับทุกข์เพราะไม่อยากจะจน แล้วก็ทุกข์เพราะอยากจะรวยกว่าเก่าอีก ทุกข์ทั้ง ๒ ด้านเลย ทุกข์ทั้งขึ้นทุกข์ทั้งลง รวยแล้วยังอยากจะรวยกว่านี้อีก แล้วก็กลัวจะจนอีก จึงอย่าไปอยากรวย อย่าไปกลัวจน พอมีพอกินไปวันๆหนึ่งก็พอแล้ว อย่าไปเสียเวลากับการหาเงินหาทอง หรือรักษาเงินทองมากจนเกินเหตุ ให้มารักษาใจจะดีกว่า ด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติ ด้วยปฏิเวธ พอได้ปฏิเวธแล้วใจจะปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง ทุกข์ภัยต่างๆที่เกิดจากกิเลสตัณหาจะไม่มี เพราะไม่มีกิเลสตัณหาหลงเหลืออยู่ในใจ ความสำคัญอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่ได้ชำระความโลภความโกรธความหลงจนหมดสิ้นไป ภารกิจอื่นไม่สำคัญ เพราะไม่สามารถชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ต้องปฏิบัติกิจของพระศาสนา คือปริยัติปฏิบัติปฏิเวธเท่านั้น ที่จะทำได้
 
ถ้าพอมีพอกินแล้ว ก็ควรหันมาปฏิบัติกิจของพระศาสนาให้มากขึ้นจะดีกว่า จะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะมนุษย์นี้เป็นชาติเดียวเท่านั้นที่จะปฏิบัติกิจของพระศาสนาได้ แล้วก็ต้องเป็นในขณะที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วย ต้องมีสวากขาโต ภควตาธัมโม เป็นปริยัติธรรมนำทาง ถ้าไม่มีก็จะปฏิบัติแบบผิดๆถูกๆ จะไม่สามารถบรรลุผลที่ถูกต้องได้ พวกเราถือว่าโชคดีมีบุญวาสนา ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในขณะที่ยังมี สวากขาโต ภควตาธัมโมอยู่ ถ้าไม่รีบตักตวงก็จะเสียโอกาสที่ดีนี้ไป ต้องพิจารณาและตัดสินใจเอง โอกาสอย่างนี้มีไม่บ่อย การจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แล้วมาเจอพระพุทธศาสนาพร้อมๆกันนี้ เป็นสิ่งที่ยากมาก ดังที่ทรงแสดงไว้ว่า มีสิ่งที่ยากอยู่ ๔ ประการด้วยกันคือ ๑. การปรากฏของพระพุทธเจ้า ๒. การได้เกิดเป็นมนุษย์ ๓. การได้ศึกษาปฏิบัติธรรม ๔. การดำรงชีวิต ตอนนี้พวกเรามีครบทั้ง ๔ ส่วนแล้ว เป็นมนุษย์ ได้พบพระธรรมคำสอน ได้ศึกษาได้ปฏิบัติ ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ขาดตอนนี้ก็คือการปฏิบัติ ต้องปฏิบัติให้มากขึ้นศึกษาให้มากขึ้น ตอนนี้ศึกษาปฏิบัติเดือนละครั้ง รู้สึกว่าน้อยมาก ถ้ากินข้าวเดือนละครั้งจะเป็นอย่างไร ทำไมไม่ศึกษาปฏิบัติเหมือนกับกินข้าว กินข้าววันละ ๓ มื้อ น่าจะศึกษาปฏิบัติวันละ ๓ รอบ รอบเช้า รอบกลางวัน รอบเย็น รอบละชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ร่างกายอยู่ได้เพราะเราเลี้ยงดูอย่างดี แต่ใจเราไม่สะอาดเพราะเราไม่ชำระเหมือนกับเลี้ยงดูร่างกาย ถ้าชำระใจเหมือนเลี้ยงดูร่างกาย จะสะอาดมากกว่านี้ จะมีความสุขมากกว่านี้ ขอให้เอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนี้ ไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ ตามแต่จะเห็นสมควร


 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2567 10:12:55 น. 18 comments
Counter : 436 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณkae+aoe, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณThe Kop Civil, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณtuk-tuk@korat, คุณSleepless Sea, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณทนายอ้วน, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณปรศุราม, คุณtoor36, คุณRain_sk, คุณhaiku, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณหอมกร, คุณmultiple, คุณtanjira, คุณTurtle Came to See Me, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณร่มไม้เย็น, คุณkatoy, คุณeternalyrs, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณnewyorknurse, คุณกะว่าก๋า


 
สวัสดีครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:10:48:15 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:11:02:13 น.  

 
สวัสดีวันพระค่ะ คุณเอ็ม


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:11:32:12 น.  

 
สวัสดีค่ะ
สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ ว่างคือสบายนะคะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:12:23:58 น.  

 
สวัสดีครับ

สาธุครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ



โดย: Sleepless Sea วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:15:00:34 น.  

 
อนุโมทนาบุญวันพระจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:15:22:41 น.  

 
สวัสดีครับคุณเอ็ม


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:18:54:28 น.  

 
เกิดมายังไงก็ต้องตาย แต่จะตายอย่างไรให้มีคุณค่า ผมว่าอันนี้สำคัญนะ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:21:14:34 น.  

 
สาธุ



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:23:47:51 น.  

 


สาธุค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:0:41:40 น.  

 
อ.เต๊ะ โหวตมัดจำไว้ก่อนนะครับคุณพี่
วันนี้พึ่งไปผ่าตัดตามา
ตัองพักฟื้นก่อนนะครับ



โดย: multiple วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:18:34:15 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเอ็ม



โดย: tanjira วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:6:58:03 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:12:50:50 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ คุณเอ็ม


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:15:57:45 น.  

 
สวัสดี ยามดึก จ้ะ น้องเอ็ม
มาอ่านธรรมะสอนใจ จ้ะ ปรกติธรรมดา คนมัก
จะกลัวตายเนาะ แต่ถ้าเข้าใจถ่องแท้ ว่า ทุกคน
ต้องเจอกับความคาย หนีไม่พ้น แล้วเตรียมตัวเตรียมใจ ไว้ก็จะไม่กลัว เนาะ อิอิ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:22:33:35 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:5:31:32 น.  

 


ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:23:35:42 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ คุณเอ็ม


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:15:06:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.