ยารักษาใจ 1

คนเรานี่สามารถเป็นหมอของตัวเราเองได้ถ้าสนใจศึกษา หมอก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่หมอเขาได้ศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษาอาการต่างๆของโรคภัยไข้เจ็บ ศึกษาว่ามีอะไรเป็นเหตุที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็ศึกษาวิธีที่จะรักษามัน เราก็สามารถเป็นหมอของตัวเราเองได้ในระดับหนึ่ง ถ้าสังเกตดูพฤติกรรมของเรา เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนหนึ่ง ก็เกิดจากพฤติกรรมของเราเอง การกินการอยู่ การกระทำอะไรต่างๆ ถูกสุขลักษณะหรือไม่ ถ้ากินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ กินตามความชอบ ความอยาก ความต้องการ ก็อาจจะกินอาหารที่ให้โทษกับร่างกายเข้าไปก็ได้ เช่นน้ำตาลเป็นตัวอย่าง ตอนบวชใหม่ๆนี่จะฉันน้ำตาลเยอะ เพราะฉันมื้อเดียว ตอนบ่ายจะรู้สึกหิว ก็จะฉันพวกโกโก้ ใส่น้ำตาลเป็นช้อนๆลงไป ก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นๆ สังเกตดูว่าจะเริ่มแพ้น้ำตาล ฉันอะไรหวานๆแล้วจะเกิดอาการร้อนในขึ้นมา จะมีแผลในปาก ตอนต้นก็ไม่ทราบว่าแผลในปากนี้เกิดเพราะเหตุใด คนส่วนใหญ่เวลาเป็นแผลในปากก็จะไปหายามาทา หายามารับประทาน โดยไม่คิดถึงเหตุของอาการ ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อาตมาก็พยายามสังเกตดูอยู่เรื่อยๆ ลองลดสิ่งนั้นลดสิ่งนี้ลงไป จนในที่สุดก็มาเจอคำตอบที่ตัวน้ำตาลว่าต้องลดลง พอลดลงเพียง ๒ - ๓ วันมันก็หายไป ถ้าวันไหนฉันน้ำตาลมากกว่าปกติที่ร่างกายจะรับได้ มันก็จะเป็นขึ้นมา ก็รู้ว่าน้ำตาลนี่เป็นเหตุที่ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย รู้ว่าร่างกายจะมีสัญญาณคอยเตือน เช่นอาการร้อนในมีแผลในปาก เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้วแผลในปาก เพราะคอยควบคุมปริมาณน้ำตาลไม่ให้มากเกินกว่าร่างกายจะรับได้ พออายุมากขึ้นรู้สึกว่า ความต้องการน้ำตาลจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เคยฉันของหวานๆได้ เดี๋ยวนี้ต้องลด เดี๋ยวนี้แทบจะไม่ได้ฉันของหวานเลย ฉันเท่าที่จะฉันได้ มันอยู่ที่ตัวเรา การออกกำลังกายก็ดี การหลับนอนก็ดี มันก็บอกเรา วันไหนถ้านอนไม่พอนี่ ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการไม่ปกติขึ้นมา จะรู้สึกไม่มีกำลัง ง่วงเหงาหาวนอน เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า เรากำลังไม่ได้ดูแลรักษาร่างกายให้ถูกต้อง การออกกำลังกายก็มีส่วน ถ้านั่งๆนอนๆอยู่เรื่อยๆ เวลาลุกขึ้นมาเดินมาทำอะไร จะรู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง แต่ถ้าได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ได้เดินได้ทำอะไร จะมีกำลังวังชาดี ถ้าสังเกตดูตัวเองแล้วจะรู้ทุกขณะเลยว่า ร่างกายมีปัญหาในส่วนไหนบ้าง เวลาเป็นอะไรขึ้นมาก็สังเกตดู เช่นเวลาถ่ายท้องก็มีหลายสาเหตุ ของอาตมาส่วนใหญ่จะเป็นเพราะฉันนม ถ้าฉันทุกวันจะไม่เป็น แต่ถ้าวันไหนหยุดไปแล้วกลับมาฉันใหม่ ก็จะถ่าย ก็คอยสังเกตดูอาการต่างๆมาตลอด สมัยที่อยู่วัดป่าบ้านตาดก็เคยเป็นไข้ทอนซิลอักเสบอยู่เรื่อย ตอนต้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ต่อมาก็ทราบว่าเพราะอยู่ในสถานที่ที่ชื้นมาก อยู่ในป่ามีต้นไม้ปกคลุมกุฏิที่พัก ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ก็เลยทำให้เกิดอาการป่วยขึ้นมา ไปหาหมอฉีดยาเท่าไรก็ไม่หาย แต่พอย้ายมาอยู่กุฏิที่โล่งๆ ไม่มีต้นไม้คลุม เพียงคืนสองคืนอาการก็ดีขึ้น แสดงว่าอากาศชื้นก็เป็นเหตุ ที่ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยได้เหมือนกัน ถ้าไม่สบายก็ขอให้สังเกตดูว่า ได้ไปทำอะไรผิดปกติมาหรือเปล่า ไปรับประทานอาหารอะไรมา ไปรับเชื้ออะไรมา เราพอจะวิเคราะห์ได้ มีโรคบางอย่างที่รักษาได้ทันที เช่นโรคติดเชื้อ ได้ยาปฏิชีวนะมารับประทานสัก ๒ - ๓ วันก็หาย แต่ถ้าเป็นโรคที่เกี่ยวกับความชราภาพ ก็ต้องใช้เวลารักษาฟื้นฟู แต่จะให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม อย่างที่สมัยเป็นหนุ่มเป็นสาวก็คงจะเป็นไปได้ยาก ก็ต้องยอมรับกับสภาพของมัน ที่ต้องเป็นไปตามกาลตามเวลา แต่ถ้าได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้จะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ไปฝากความหวังอะไรไว้กับร่างกายนี้มากไปกว่าที่จำเป็น ถ้ายังปฏิบัติธรรมอยู่ ก็ยังต้องอาศัยร่างกายปฏิบัติไป ถ้าสามารถปฏิบัติได้ไม่ว่าร่างกายจะอยู่ในสภาพใด เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังปฏิบัติได้ บางคนบรรลุเป็นพระอรหันต์ตอนใกล้ตายก็มี เช่นพระราชบิดาของพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะ เข้าใจว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ ๗ วันก่อนจะเสด็จสวรรคต พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรด ทรงสอนเรื่องขันธ์ ๕ เรื่องการปล่อยวาง ขันธ์ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เรื่องของจิตที่ไปยึดไปติดกับขันธ์ ๕ เป็นต้น ถ้าพิจารณาแล้วปล่อยวางได้ ใจก็หลุดพ้น จิตกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน ถ้าจิตอยู่ในขั้นที่สามารถปฏิบัติในอิริยาบถใดก็ได้แล้ว ก็ไม่สำคัญว่าจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ที่จะต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นชั่วโมงๆ ถ้าจิตก้าวไปสู่ระดับปัญญาที่หมุนไปเองแล้ว ก็สามารถปฏิบัติได้ในทุกอิริยาบถ อยู่ในอิริยาบถไหนก็พิจารณาได้ เพราะจะพิจารณาเพื่อตัดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ผลของอุปาทานก็คือ ความไม่สบายอกไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ เวลามีความไม่สบายอกไม่สบายใจ ก็พิจารณาหาสาเหตุ ว่าไม่สบายอกไม่สบายใจเพราะอะไร เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือ กลัวว่าอาการจะแย่กว่าเดิมหรือ กลัวว่าจะไม่หายหรือ อย่างนี้ก็จะทำให้ใจมีความทุกข์ มีความวุ่นวายใจ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ช้าก็เร็ว ก็จะต้องหยุดทำงาน ไม่สามารถทำงานไปได้ตลอด จะหยุดเวลาไหนก็ไม่มีใครไปกำหนดบังคับได้ ขึ้นอยู่กับเหตุกับปัจจัย ถ้าไปโดนพิษโดนเชื้อโรคชนิดที่ไม่มียารักษาได้ ก็ไม่มีทางที่จะหายได้ มีแต่จะรอวันตายอย่างเดียว แต่ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาก็ปล่อยวางร่างกายได้ จิตใจเป็นปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ทุกข์กับความเป็นความตายของร่างกาย นี่เป็นปัญญาที่วิเศษ คือ ยารักษาใจ ที่เรียกว่าธรรมโอสถ ธรรมะรักษาใจของเราได้ แต่รักษาอย่างอื่นไม่ได้ โรคต่างๆทางร่างกายก็ต้องอาศัยหยูกอาศัยยา อาศัยการกำจัดเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นมา บางโรคไม่ต้องอาศัยยาก็ได้ เพียงแต่แก้เหตุที่ทำให้มันเป็น เช่นถ้าขาดอาหารก็รับประทานอาหารให้พร้อมบริบูรณ์ โรคขาดอาหารก็หายไปได้ หรือไม่สบายเพราะขาดการพักผ่อนหลับนอน ก็นอนให้เยอะๆหน่อย พักให้เยอะๆหน่อย เดี๋ยวร่างกายก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมได้ แต่เรื่องจิตใจนี้ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว พอร่างกายเป็นอะไรนิดอะไรหน่อย ก็เกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา วิ่งกันวุ่นไปหมด หาหมอหาหยูกหายากัน โดยไม่หายาที่จะรักษาตัวที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น ตรงนี้สำคัญกว่า คือใจของเรา เพราะความทุกข์ทางร่างกายนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความทุกข์ทางจิตใจแล้ว มันห่างกันมาก ถ้าหากมีร้อยนี่ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะเป็นความทุกข์ทางด้านจิตใจ ความทุกข์ทางร่างกายเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง คนที่สามารถรักษาจิตใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ปั่นป่วน ไม่ให้วุ่นวายได้แล้ว เวลาเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกาย จะเจ็บเพียงแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ไม่ได้เจ็บ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนพวกเราที่ไม่ได้ดูแลรักษาจิตใจ เวลาเป็นอะไรนี้ จะเจ็บจะวุ่นวายทางด้านจิตใจ มากกว่าความเจ็บทางร่างกาย การปฏิบัติธรรมก็คือการดูแลรักษาจิตใจนั่นเอง เป็นการสร้างธรรมโอสถ เอายาธรรมะมารักษาใจ ทำให้ใจไม่ทุกข์ไม่วุ่นวาย กับความเป็นไปต่างๆของร่างกาย และสิ่งอื่นๆที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว จิตใจจะต้องปั่นป่วน จะต้องวุ่นวายกับสิ่งที่เราไปเกี่ยวข้อง กับบุคคลที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะความหลงและอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ในใจ เวลาเรารักใคร เราก็อยากจะให้เขาดี ให้เขาสุขให้เขาสบาย ให้เขาอยู่ไปนานๆ คนที่เราไม่ชอบเราก็อยากจะให้เขาตายไป หรือให้แย่ลง ให้ลำบากลำบน
แต่ความเป็นไปของเขานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยากของเรา เขาจะสุขจะทุกข์ จะดีหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ความอยากของเรา เขาจะแย่ลงไปหรือไม่ ก็ไม่ได้อยู่ที่ความอยากของเรา แต่อยู่ที่การกระทำของเขาส่วนหนึ่ง แล้วก็อยู่ที่ธรรมชาติอีกส่วนหนึ่ง ธรรมชาติของเราทุกคนนั้นมีแต่จะเสื่อมลงไป เมื่อพ้นวัยแห่งการเจริญแล้ว คนเราเวลาเกิดมาในเบื้องต้นก็จะมีการเจริญมากกว่าการเสื่อม แต่เมื่อถึงจุดที่เจริญเต็มที่แล้วก็จะเริ่มเสื่อมลงไป การเจริญก็จะน้อยลง ความเสื่อมก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มากับสิ่งต่างๆ เช่นร่างกายของพวกเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจแล้ว เราก็จะทุกข์จะวุ่นวายอยู่เสมอ เพราะเราจะคิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากจะให้เขาอยู่ไปนานๆ อยากจะให้เขาไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่จากเราไป แต่มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะเป็นไปตามความอยากของเรา นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ
จบเทศนายารักษาใจตอนที่ 1
......................................................
ขอขอบคุณที่มาจาก : เว็บ พระธรรมเทศนา
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2565 |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2565 8:45:29 น. |
|
20 comments
|
Counter : 570 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณหอมกร, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณThe Kop Civil, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเริงฤดีนะ, คุณอุ้มสี, คุณtoor36, คุณSleepless Sea, คุณปรศุราม, คุณทนายอ้วน, คุณปัญญา Dh, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณDeep Black Sea, คุณjiab bangkok, คุณกะว่าก๋า, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณnewyorknurse, คุณkae+aoe, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณeternalyrs, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณInsignia_Museum, คุณนกสีเทา, คุณKimhanvisuwat, คุณกิ่งฟ้า, คุณร่มไม้เย็น, คุณJohnV, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา |
โดย: หอมกร วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:9:33:40 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:25:23 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:58:51 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:11:30:50 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:04:23 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:30:21 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา:13:52:48 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:42:22 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:46:19 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:25:37 น. |
|
|
|
โดย: นกสีเทา วันที่: 25 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:23:26 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 26 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:38:50 น. |
|
|
|
โดย: วันจัน วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:1:47:03 น. |
|
|
|
|
|