Group Blog
 
<<
มกราคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 มกราคม 2567
 
All Blogs
 
ความคิดปรุงแต่ง

               

             สังขารคือความคิดปรุงแต่ง ในขณะหนึ่งจะคิดได้เรื่องเดียว จะคิดทางกิเลสก็ได้ ทางธรรมะก็ได้ ทางที่ไม่ใช่กิเลสหรือธรรมะก็ได้ ดังที่พระท่านสวดในงานศพว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา ท่านหมายถึงสังขาร ความคิดปรุงแต่ง ที่คิดปรุงแต่งไปทางกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ หรือไม่ใช่กุศลหรืออกุศลก็ได้ ครูบาอาจารย์พยายามสั่งสอนพวกเราให้คิดไปทางกุศล เช่นให้คิดแต่คำว่าพุทโธๆ เพราะคิดแล้วใจไม่ร้อน คิดแล้วเย็นสงบ ถ้าปล่อยให้คิดตามประสาของพวกเรา จะชอบคิดไปทางกิเลส เช่นพอเกิดความเจ็บปวด ก็เกิดความกลัว เกิดความอยากให้ความเจ็บปวดหายไป หรืออยากจะหนีจากมันไป เราจึงต้องมาฝึกสร้างกุศล ฝึกสอนจิตให้คิดไปในทางที่เป็นกุศล ควบคุมบังคับสังขารให้ไปในทางกุศล เริ่มต้นก็บริกรรมไปก่อน หรือที่นิยมทำกันทั่วไปก็คือสวดมนต์ เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เพียงแต่เวลาสวดมักจะสวดโดยไม่มีสติ หรือบริกรรมโดยไม่มีสติ สวดไปตามความเชื่อ ไม่รู้จักวิธีสวดอย่างถูกต้อง หรือบริกรรมอย่างถูกต้อง สวดไปแล้วก็คิดเรื่องอื่นไปด้วย ผลคือความสงบนิ่งจึงไม่ปรากฏ ถ้าสวดหรือบริกรรมโดยมีสติควบคุมใจ ควบคุมความคิด ให้อยู่กับการสวดหรือการบริกรรม จิตจะสงบอย่างรวดเร็ว เช่นคุณแม่แก้วที่หลวงตาเขียนไว้ในหนังสือปฏิปทาฯ ครั้งแรกที่คุณแม่แก้วลองภาวนา ก็บริกรรมพุทโธๆไปประมาณสัก ๕ นาที จิตก็รวมลงเข้าสู่ความสงบ ถ้าไม่เคยปฏิบัติจนเห็นผลก็จะคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะสวดมาเป็นปีๆ บริกรรมมาเป็นปีๆ ไม่ได้ผลอย่างที่ท่านเขียนไว้เลย เพราะการบริกรรมของพวกเราไม่เหมือนกับการบริกรรมของท่าน ท่านบริกรรมแบบมีสติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นสุราก็แบบไม่ผสมน้ำแข็งไม่ผสมโซดา มีแต่สุราเพียวๆ การบริกรรมของท่านมีแต่พุทโธล้วนๆ ไม่ได้ส่งจิตไปคิดเรื่องอื่นเลย เพราะได้เจริญสติมามากในอดีต สติติดมากับใจ พอสั่งให้ทำงานก็จะทำทันที เหตุที่ภาวนาแล้วสงบหรือไม่นี้ อยู่ที่สติเป็นสำคัญ จึงอย่าไปสงสัย ว่าทำไมท่านทำได้ แต่เราทำไม่ได้ เพราะในอดีตสะสมสติมาไม่เท่ากัน  ถ้ามีสติแล้วสมาธิปัญญาและวิมุตติหลุดพ้นถึงจะตามมาได้ 
 
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าสติเป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าธรรมทั้งปวง เปรียบเหมือนรอยเท้าช้าง ที่ใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งปวง ครอบรอยเท้าของสัตว์ทุกชนิด สติเป็นธรรมที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีสติแล้วธรรมอย่างอื่นก็ปรากฏขึ้นมาไม่ได้ ในศีล ๕ ก็ให้รักษาสติด้วยการไม่เสพสุรายาเมา ความจริงการเสพสุรายาเมาไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่เหมือนกับการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤตผิดประเวณี หรือพูดปดมดเท็จ แต่จะขวางกั้นการเจริญก้าวหน้าของการปฏิบัติ ถ้าเสพสุรายาเมาแล้วจะขาดสติ ทำให้ทำบาปทำกรรมได้ ทำดีไม่ได้ ภาวนาไม่ได้ บริกรรมพุทโธๆไม่ได้ มีแต่จะนอนอย่างเดียว สติจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในธรรมต่างๆจะมีสติอยู่เสมอ มรรค ๘ ก็มีสัมมาสติ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ก็มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สติปัฏฐาน ๔ ก็เกี่ยวกับสติ พวกเราจึงควรให้ความสำคัญต่อการเจริญสติ พยายามสร้างสติขึ้นมาก่อน เมื่อได้สติแล้ว สมาธิปัญญาจะตามมาตามลำดับ สติปัญญาเป็นธรรมคู่กัน เช่นสติปัญญา มหาสติมหาปัญญา อยู่ที่สติเป็นหลัก สติเป็นเหมือนเชือก เริ่มต้นก็จะเป็นเหมือนเชือกกล้วย ผูกไว้กับคอสุนัขและผูกไว้กับเสา มันกระตุกทีเดียวก็ขาด เพราะสติยังอ่อนอยู่ สู้กำลังของกิเลสไม่ได้ แต่ถ้าฝึกตั้งสติไปเรื่อยๆ ดึงใจไว้อยู่เรื่อยๆ ให้อยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือให้อยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ พยายามฝึกไปเรื่อยๆ ใหม่ๆก็จะหลุด ทำได้ ๔ หรือ ๕ วินาทีก็หลุด พอได้สติก็ดึงกลับมาใหม่ ดึงกลับมาเรื่อยๆ เป็นเหมือนการชักเย่อกัน ตอนต้นเขาจะมีแรงมากกว่า จะดึงไปได้เรื่อยๆ ต่อไปพอสติมีกำลังมากขึ้น ก็จะดึงไปยาก ต่อไปจะไม่ไป จะอยู่กับงานที่ให้ทำ ไม่นานก็จะสงบ สามารถหยุดความคิดได้เลย ไม่ต้องใช้คำบริกรรมก็ได้ สั่งให้หยุดคิดได้เลย เมื่อมีสติขนาดนี้แล้วก็จะมีสมาธิ จะสงบนิ่งเย็นสบาย มีความสุข เวลาออกจากสมาธิ สังขารยังจะคิดไปตามอำนาจของกิเลส ต้องใช้ปัญญาเข้ามาแก้ต่อไป ต้องใช้ไตรลักษณ์ คิดไปในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เห็นอะไรก็พิจารณาว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ
 
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นดินน้ำลมไฟ เราอยู่ในโลกของธาตุ ๔ ร่างกายก็เป็นธาตุ ๔ กุฏิก็เป็นธาตุ ๔ ต้นไม้ก็เป็นธาตุ ๔ ไม่มีอะไรไม่ใช่ธาตุ ๔ เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากเมล็ดก็เป็นต้น จากต้นเล็กก็เป็นต้นใหญ่ แก่ลงตายไป กลายเป็นดินไป ร่างกายก็เช่นเดียวกัน ไหลไปเหมือนกระแสน้ำ ไหลมาจากภูเขา ไหลลงมาเรื่อยๆ ตามห้วยตามลำธารตามแม่น้ำ ลงไปสู่ทะเลมหาสมุทร ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา จิตผู้รู้หรือธาตุรู้นี้ เป็นเพียงผู้ที่มาครอบครอง มาเป็นเจ้าของชั่วคราว แต่มากับความหลง มากับอวิชชา ปัจจยา สังขารา อวิชชาเป็นปัจจัยให้สังขารปรุงแต่ง ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา แล้วก็เกิดตัณหาความอยาก เกิดอุปาทานความยึดติด เกิดภพ เกิดชาติตามมาต่อไป หลุดจากภพนี้ก็ไปต่อภพใหม่ เพราะจิตเป็นอกุสลา ธัมมา เป็นอวิชชา ปัจจยา สังขารา ถ้าเป็นไตรลักษณ์ ก็จะเป็นกุสลา ธัมมา จะเห็นตามความจริง ก็จะตัดตัณหาตัดอุปาทานได้ ตัดภพตัดชาติได้ ทั้งหมดนี้มีอยู่ในตัวเรา ตัวที่จะทำให้เห็นก็คือสติ สติจะดึงใจให้กลับเข้ามาดูภายใน ถ้าไม่มีสติก็จะถูกอวิชชา ปัจจยา สังขารา ผลักให้ไปดูภายนอก ให้ไปดูรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แล้วก็เกิดเวทนา สุขทุกข์กับสิ่งที่ได้สัมผัส เกิดอุปาทาน เกิดตัณหา เกิดความทุกข์ขึ้นมา ทุกวันนี้เราก็อยู่กับพวกนี้ อยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะในรูปแบบต่างๆ ดีใจเสียใจกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ดีใจเสียใจกับธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ
 
จึงต้องสอนใจ ต้องศึกษา ต้องปฏิบัติ พอได้ศึกษาได้ยินได้ฟังแล้ว จะรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็พยายามทำให้มาก ตัดภารกิจอื่นออกไป ทำเท่าที่จำเป็น เป็นภารกิจที่สนับสนุนการปฏิบัติ อย่าไปเสียเวลากับการสนุกสนาน กับพวกรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะไม่ได้ทำให้จิตใจเจริญขึ้นฉลาดขึ้น มีความสุขมากขึ้น แต่ทำให้หลงมากขึ้น ทุกข์มากขึ้น ทำงานเพื่อเอาปัจจัย ๔ มาสนับสนุนจุนเจืออัตภาพร่างกาย พอว่างจากการทำงาน ก็อย่าไปหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ให้เข้าหาธรรมะ ให้เจริญสติ แม้แต่ในขณะที่ทำงานทำมาหากิน ก็สามารถเจริญสติได้ ดึงใจให้อยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ อยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น กำลังเดินก็ให้รู้อยู่กับการเดิน กำลังพูดก็ให้รู้อยู่กับการพูด กำลังรับประทานอาหารก็ให้รู้อยู่กับการรับประทานอาหาร กำลังทำอะไรอยู่ก็ให้รู้อยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น ให้คิดอยู่กับเรื่องที่กำลังทำอยู่ ส่วนเรื่องอื่นถ้าจำเป็นจะต้องคิด ก็หยุดการทำอย่างอื่นเสียก่อน หยุดเคี้ยวหยุดรับประทานแล้วก็คิดให้พอ มีความจำเป็นจะต้องคิดเรื่องอะไรก็คิดไป เมื่อคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หยุดคิด เก็บเอาเข้าลิ้นชัก แล้วก็มาคิดอยู่กับเรื่องที่กำลังทำอยู่ ต่อไปจะมีสติมากขึ้นไปเรื่อยๆ พอให้จิตบริกรรมแต่คำว่าพุทโธๆ ก็จะสงบ ให้สวดมนต์ก็สงบ ให้ดูลมหายใจเข้าออกก็สงบ กรรมฐาน ๔๐ เป็นเสาผูกจิต แต่ต้องมีเชือกสำหรับผูกจิตไว้กับเสา ก็คือสติ ใช้กรรมฐานชนิดไหนก็ได้ที่เราชอบ เป็นเหมือนอาหารที่เรารับประทาน ชอบรับประทานอาหารแบบไหน ก็รับประทานแบบนั้นไป ผลคือความอิ่มก็จะตามมา  กรรมฐาน ๔๐ นี้เราเลือกได้   จะใช้อานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้ บริกรรมพุทโธๆ คือพุทธานุสติก็ได้ พิจารณาร่างกาย คือกายคตาสติก็ได้ ตัวสำคัญคือสติ ถ้ามีสติแล้วจิตจะไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่กับกรรมฐาน เมื่ออยู่อย่างต่อเนื่องไม่นานก็จะสงบสบาย สงบมากสงบน้อยอยู่ที่กำลังของสติ
 
ถ้าจิตไม่สงบจะสับสน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พอสงบแล้วจะเห็นว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน พอรู้แล้วก็จะพยายามรักษาความสุขนี้ สร้างความสุขนี้ ให้มีมากขึ้นไป ให้มีอย่างต่อเนื่อง จนมีอยู่ตลอดเวลา เวลาอยู่ในสมาธิก็สงบได้ชั่วระยะหนึ่ง พอถอนออกมาจะคิดปรุงแต่ง กิเลสก็ออกมาทำงานต่อ เพราะสมาธิไม่ได้ตัดกิเลสให้ขาดให้ตาย เพียงแต่กดไว้เหมือนหินทับหญ้า พอออกจากสมาธิก็เหมือนยกหินออกจากหญ้า หญ้าก็เจริญงอกงามต่อไปได้ กิเลสก็ทำงานต่อไปได้ กิเลสจะตายได้ก็ต้องถอนรากถอนโคน คือโมหะความหลง ที่ทำให้โลภทำให้โกรธ ความหลงก็คือเห็นผิดเป็นชอบ ไม่เห็นไตรลักษณ์ เห็นทุกข์เป็นสุข เห็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะว่าเป็นสุข แต่ความจริงเป็นทุกข์ เป็นไตรลักษณ์ อนิจจังทุกขังอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา แต่ความหลงจะเห็นว่าเป็นนิจจังสุขังอัตตา เห็นร่างกายเป็นตัวเป็นตน ให้ความสุขกับเรา ต้องอยู่ไปนานๆ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่กิเลสเห็น เพราะเป็นความหลง จึงต้องใช้ปัญญาวิเคราะห์พิจารณาเรื่อยๆ เพราะขณะที่ไม่วิเคราะห์พิจารณาด้วยปัญญา ก็จะไปทางกิเลสทันที ฝังลึกเป็นนิสัย เป็นเหมือนกับสีย้อมที่ติดอยู่ในผ้า ต้องเอาน้ำยาซักฟอกมาฟอกให้ออกไป เอาปัญญามาฟอกอาสวะที่มีอยู่ในจิต อาสวะเป็นเหมือนสีที่ละลายอยู่ในน้ำ ต้องเอาปัญญามากรองออกไป ต้องพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ทุกขณะที่กำลังคิดเรื่องอะไรก็ตาม ต้องมีไตรลักษณ์เข้ามาประกบอยู่เรื่อยๆ จะหยุดพิจารณาก็ตอนที่เข้าสมาธิเพื่อพักจิตเท่านั้น เพราะจะพิจารณาไปตลอดเวลาไม่ได้
 
คนเราทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่ได้ ต้องหยุดพักผ่อนรับประทานอาหาร จิตก็เช่นเดียวกัน พอพิจารณาไปนานๆ ก็เหนื่อยล้า ไม่แหลมคม มีอารมณ์ของกิเลสเข้ามาแทรก ควรหยุดพิจารณา กลับเข้าสู่สมาธิ พักจิตให้สบาย พอถอนออกมาจะสดชื่นมีกำลัง จิตว่างปราศจากอารมณ์ พิจารณาต่อได้ พิจารณาอะไรอยู่ก็พิจารณาต่อไป จนเป็นนิสัย มองอะไรก็จะมองว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นดินน้ำลมไฟ ทีนี้ก็ไปเข้าสนามสอบดู ไปทดสอบดู ไปดูคนตายดู คนอื่นตายไม่เป็นไร ดูคนของเราตายดูว่าเป็นอย่างไร ดูคนของเราเจ็บไข้ได้ป่วยว่าเป็นอย่างไร จิตวุ่นวายสับสนอลหม่านหรือเปล่า หรือดูแล้วปลงสังเวช ว่าเป็นธรรมดา ต่อไปเราก็ต้องเป็นเช่นกัน ไม่ใช่แต่เฉพาะเขา ต่อไปเราก็เป็น ห้องสอบก็มีหลายห้อง ห้องของคนอื่นก็ห้องหนึ่ง ต่อไปก็เป็นห้องของเรา เป็นความจริงที่จะต้องปรากฏขึ้นมา ถ้าผ่านก็จะสบาย รู้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นเวลาใดก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ไม่ทุกข์แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพิจารณา รู้ว่าผ่านแล้ว งานก็เสร็จสิ้นได้ งานภาวนามีที่สิ้นสุด วุสิตัง พรหมจริยัง กิจในพรหมจรรย์ได้เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อได้เข้าห้องสอบจนสอบผ่านแล้ว ปล่อยวางหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายแล้ว หลังจากนั้นก็สบาย ไม่ต้องทำอะไร ถ้าจะทำก็ทำให้กับคนอื่น กับตัวเองไม่ต้องทำอะไรแล้ว สอนคนอื่นต่อ เพื่อจะได้หลุดพ้น รางวัลที่ได้รับนี้ดีกว่ารางวัลที่คนอื่นจะให้เรา ลาภยศสรรเสริญสุขไม่มีความหมายเลย เมื่อเปรียบกับรางวัลที่เราได้คือ ปรมัง สุญญัง ปรมัง สุขัง สุขสุดยอด ที่ไม่มีทุกข์เจือปนอยู่เลย สุขที่ถาวร เกิดจากจิตที่ว่าง ปราศจากโลภโกรธหลง นี่คือเป้าหมายของการปฏิบัติ เริ่มต้นที่สติ ไม่ว่าจะทำอะไร ให้มีสติเสมอ ทำบุญให้ทานด้วยสติ รักษาศีลด้วยสติ ภาวนาด้วยสติ หลุดพ้นด้วยสติด้วยสมาธิด้วยปัญญา



 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 



Create Date : 18 มกราคม 2567
Last Update : 18 มกราคม 2567 8:23:08 น. 19 comments
Counter : 375 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณปรศุราม, คุณmultiple, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณThe Kop Civil, คุณปัญญา Dh, คุณnewyorknurse, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณหอมกร, คุณtanjira, คุณกะว่าก๋า, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณดอยสะเก็ด, คุณtoor36, คุณร่มไม้เย็น, คุณeternalyrs, คุณkae+aoe


 
สวัสดียามสายค่ะ คุณเอ็ม


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:8:34:44 น.  

 
โอ้ จริงแท้แน่นอนเลยนะครับ
ร่างกายเราทำงาน 24 ชม ไม่ได้ ต้องมีการพักฟื้นฟูกันบ้าง

จิตใจ ก็เหมือนกัน เราใช้งานจิต ผ่านกิเลส ตัญหามาแยะ นานๆเข้า มันก็ฝังอยู่ในจิตเรา

ก็มีแต่ธรรมะ ที่จะช่วยฟอกจิต ฟอกใจเราให้กลับมาบริสุทธิ์ ผุดผ่อง เหมือนเดิมนะครับ คุณพี่





โดย: multiple วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:11:41:54 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:14:19:42 น.  

 
สวัสดีครับคุณ mp5


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:15:12:27 น.  

 
สาธุ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:22:54:46 น.  

 


สาธุค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:0:34:55 น.  

 
อนุโมทนาบุญวันพรที่ผ่านมาจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:18:28:45 น.  

 
ความคิดปรุงแต่ง
เป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:19:32:42 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม
มาอ่าน คำสอนจากธรรมะที่เธอนำมาฝาก จ้ะ
เรื่องสติ สำคัญจริง ๆ ค่ะ ขาดสติอาจจะทำให้เรา
ทุกข์ใจ ได้เสมอ จ้ะ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:21:40:26 น.  

 
ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ความคิดของเรา ทุกเสี้ยววินาที มันเป็นแบบนั้น คนเราทำงาน 24 ชั่วโมงไม่ได้ แต่แรงงานไทยหลายๆ คนทำงาน แบบนั้นแหละ ทั้งทางกายและทางใจ (จิต) เลย โรงงานนรกชัดๆ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:22:35:31 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 มกราคม 2567 เวลา:5:40:04 น.  

 


ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 20 มกราคม 2567 เวลา:23:49:23 น.  

 
❤ ประโยชน์บางประการของศาสนาอิสลาม 💙

💙 ประตูสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร

❤ การช่วยให้พ้นจากขุมนรก

💙 ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง

❤ การให้อภัยต่อบาปที่ผ่านมาทั้งปวง

💙 สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในศาสนาอิสลาม

❤ านภาพของสตรีในศาสนาอิสลามเป็นอย่างไร?

💙 ครอบครัวในศาสนาอิสลาม

❤ ชาวมุสลิมปฏิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

💙 ชาวมุสลิมมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไร?


https://justpaste.it/b790p


โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 51.161.10.52 วันที่: 22 มกราคม 2567 เวลา:3:47:16 น.  

 

ยินดีกับสายสะพายที่ได้รับด้วยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 มกราคม 2567 เวลา:19:46:41 น.  

 
ยินดีกับรางวัล BlogGang ด้วยนะครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 23 มกราคม 2567 เวลา:20:27:41 น.  

 
ยินดีกับสายสะพายบล็อกแก๊งด้วยครับ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 23 มกราคม 2567 เวลา:23:17:43 น.  

 
ยินดีกับรางวัลที่คุณพีได้รับด้วยนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:0:44:28 น.  

 
ยินดีกับสายสะพายด้วยครับ


โดย: The Kop Civil วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:11:06:12 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเอ็ม

ยินดีกับรางวัลจากล็อกแก็งด้วยนะคะ



โดย: tanjira วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:14:00:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.