การบริหารจิต

 การฟังธรรมตามหลักพุทธศาสนาถือว่าเป็นมงคลของชีวิต การฟังธรรมตามกาลเป็นมงคลอันสูงสุด ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้า ตามกาลคือการกำหนดให้มีการฟังธรรม เช่น วันพระ หรือตามที่กำหนดถือว่าเป็นมงคล บางคนชอบทำมงคล บางคนชอบทำอวมงคล คือแทนที่จะฟังธรรมกลับไปกินเหล้าเมายา ประพฤติผิด ชีวิตไม่เป็นมงคล อย่างเรานั้นทำสิ่งที่เป็นมงคล
การฟังธรรมนี้ท่านทั้งหลาย บางท่านฟังแล้วเข้าใจธรรมบรรลุมรรคผล เราไม่ต้องให้ถึงอย่างนั้นหรอก เพียงแค่ว่าให้ใจสูงขึ้นเพราะการฟังธรรม หน้าที่ของชาวพุทธที่บัญญัติไว้มี ๑๔ ประการ อาทิ เป็นคนกล้าหาญ เป็นคนซื่อตรง เป็นคนอดทน เป็นคนไม่เย่อหยิ่ง และข้อสุดท้ายคือไม่ควรทำความชั่วใดๆ ที่บัณฑิตจะติเตียนได้ สรุปแล้วหน้าที่ชาวพุทธคือเอาจุดเสียออกจากตัวกับเอาความดีใส่ตัว
การฟังธรรมพระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าทำเป็นจะได้รับประโยชน์ ๕ ประการ ๑) ผู้ฟังจะได้ทราบสิ่งที่ไม่เคยฟัง ๒) สิ่งใดที่เคยฟังแล้วยังไม่เข้าใจชัดจะได้เข้าใจชัดขึ้น ๓) จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ๔) ทำความเห็นที่ผิดๆ ไห้ถูกต้อง ๕) ย่อมบรรเทาความสงสัยซึ่งเคยสงสัย
ย่อให้สั้นๆ คือ ๑) ได้บุญ คือจิตเดินทางถูกต้องเป็นกุศลขึ้น ๒) ได้ปัญญา ความรู้ คือความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่จะได้บุญมากหรือปัญญามากเพราะตั้งใจฟัง การตั้งใจฟังจริงๆ ย่อมได้รับความรู้ความเข้าใจ คนที่มาฟังธรรมมี ๔ ก. คือ ๑) ฟังกลับ ๒) ฟังกลบ ๓) ฟังเก็บ ๔) ฟังเกิด
ฟังกลับ คือ เมื่อมานั่งฟังธรรมเข้าหูซ้ายออกหูขวา หลับบ้าง คุยกันบ้าง ทำให้คำสอนคำเทศน์กลับสู่พระหมด ฟังกลบ คือ บางคนเมื่อพระเริ่มเทศน์ก็เริ่มง่วง (พอพระเทศน์จบก็ตื่นพอดี) ฟังทั้งทีไม่ได้อะไรเลย ฟังเก็บ คือ พระท่านเทศน์เราต้องเก็บความรู้ความเข้าใจ จะได้เอาไว้สอนตนเองและสอนคนอื่น ฟังเกิด คือ เกิดปัญญา ความรู้ความเข้าใจ ละชั่วประพฤติดี ไม่อยากทำชั่วอยากกระทำแต่ความดี
ชีวิตของคนเราในที่สุดก็ต้องตาย เมื่อตายก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในโลกนี้ ไม่มีใครนำอะไรติดตัวไปได้เลย ทั้งคนที่เรารักทั้งคนที่เราชังก็ต้องจากกันไป เราจะนำไปได้แต่บุญและบาปติดตัวไปได้เท่านั้น อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ตรัสเตือนไว้ว่า ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ปวงชน แม้ร่างตนเขาก็เอาไปเผาไฟ เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เจ้ามามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา อาตมาจึงคิดเตือนตนเองว่า เมื่อเรามามีอะไรมาด้วยเล่า เราจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เรามามือเปล่าเราจะเอาอะไร เราก็ไปมือเปล่าเหมือนเรามา เอาอะไรไปไม่ได้นอกจากบุญและบาป สั่งสมบุญดีกว่าสั่งสมบาป บาปสร้างความทุกข์แก่ตนเอง ประเทศชาติ สังคม แต่บุญทำความสุขแก่เราเอง ประเทศชาติ และสังคม บางคนเกิดปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจ อย่างนี้เรียกฟังเกิด ๒ ประเภทแรก คือ ฟังกลับ ฟังกลบ ไม่ได้ผล สองประเภทหลังดีมากๆ คือ ฟังเก็บ ฟังเกิด ซึ่งที่ดีที่สุดคือฟังเกิด ในวันนี้อยากให้ทุกท่านได้ ๒ ประเภทหลังนี้ไป
การพัฒนาจิตตามหลักพระพุทธศาสนานั้น มีท่าบริหาร ๗ ท่า ๑) ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนหรือช่วงไหนก็ได้ ๒) ด้วยการมีศีล ๕ เป็นประจำ ๓) บริหารด้วยการนั่งสมาธิ ๔) บริหารด้วยการเดินจงกรม ๕) บริหารด้วยท่ายืน คือ ยืนทำสมาธิ ๖) บริหารด้วยท่านอน คือ นอนทำสมาธิ พระกรรมฐานบางองค์ท่านมักจะเตือนศิษย์ว่า คุณนั่งหายใจทิ้งไปเฉยๆ เสียดายลมหายใจ นั่งหายใจทิ้งหมดเลยวันๆ นักปฏิบัติไม่นั่งหายใจทิ้งเพราะเขากำหนดลมหายใจไม่ว่ายืนเดินนั่งนอน เอาลมหายใจมาพัฒนาตนเอง เหมือนน้ำที่ปล่อยจากก๊อกแล้วทิ้งเฉยๆ แต่เรานำมาพัฒนามาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่างๆ และ ๗) การพัฒนาจิตข้อสุดท้ายคือใช้ลูกประคำ อุปกรณ์ฝึกกายเดี๋ยวนี้ราคาเป็นหมื่นแต่อุปกรณ์ในการฝึกจิต ๓๐ บาท (ลูกประคำ)
การบริหารด้วยท่านั่งสมาธิ เชื่อว่าหลายท่านเคยฝึกสมาธิมาด้วยกันทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง เคยเข้าฝึกกรรมฐานกับครูบาอาจารย์มาแล้ว จึงขอย้ำว่าสมาธิหรือหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งถ้าย่อจะได้ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา พระพุทธเจ้าสอนพระว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ๕ ถือเป็นอภัยทาน เป็นมหาทาน ทานกับศีลคงไม่ต้องอธิบายมาก แต่ภาวนาต้องฝึกต้องพัฒนา ภาวนาคือพัฒนานั่นเองในสมัยพระพุทธเจ้าเรียก ภาวนา ปัจจุบันคือพัฒนา
เมื่อวานอาตมามีโอกาสได้ไปบรรยายในสมาคมระหว่างประเทศของประเทศในเอเชีย มีตัวแทนชาติต่างๆ และศาสนาต่างๆ มาบรรยาย โดยให้พูดถึงศาสนากับสันติภาพ เรื่องพุทธศาสนากับสันติภาพเป็นเรื่องไม่ยาก สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ตามหลักพุทธศาสนาต้องอาศัยหลักธรรม ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แค่ศีล ๕ ก็เกิดความสงบสุขแล้ว ถ้าเรามีศีล ๕ ทั่วโลกก็สงบสุขแล้ว แต่ที่สังคมไม่สงบสุขเพราะคนขาดศีล ๕ ส่วนสมาธิอาตมาเสนอเรื่องเมตตา ถ้าเรามีเมตตาเกื้อกูลต่อผู้อื่นเหมือนรักลูก รักหลาน สังคมก็จะสงบสุข วิปัสสนาต้องเข้าขั้นปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางไม่เป็นก็แบกทุกข์ไว้ ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ก็ทุกข์มากเท่านั้น ยิ่งปล่อยวางเท่าไหร่ก็สุขมากเท่านั้น
สรุปว่าการสร้างสันติภาพในพุทธศาสนานั้น คือสันติภาพแบบเพื่อชาวโลกและสันติภาพข้างใน คือมีศีล ๕ และต้องปล่อยวางเป็น ต้องรู้จักเอาออกเป็น ก็จะเกิดสันติภาพทั้งข้างในและข้างนอก คำสอนในพระพุทธศาสนาไม่ใช่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้เป็นกฎธรรมชาติ สมัยก่อนเรียกการฝึกจิตว่าภาวนา ปัจจุบันเรียกกรรมฐาน การภาวนามีจุดมุ่งหมาย ๓ ส. คือ สะอาด สงบ สว่าง จิตสะอาดด้วยอำนาจศีล สงบด้วยอำนาจสมาธิ สว่างด้วยการใช้ปัญญารู้เท่าทันความจริง เราต้องพัฒนาจิตตามแนวทางนี้ ใช้ลมหายใจกำหนดให้จิตเกิดคุณค่าสูงขึ้น จิตก็จะเกิดความสงบขึ้นได้ ซึ่งจิตของเราถ้าเราไม่ฝึกแล้วใครจะฝึกให้เรา จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขความเจริญมาให้แก่เจ้าของยิ่งกว่าสิ่งที่พ่อแม่พี่น้องทำให้หลายเท่า แต่จิตที่ไม่ฝึกทำความฉิบหายแก่ตนเองมากกว่าศัตรูผู้มีเวรทำให้เสียอีก
.
ขอขอบคุณที่มาจาก : การบรรยายธรรมโดย พระธรรมวิสุทธิกวี
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2564 |
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2564 14:03:50 น. |
|
25 comments
|
Counter : 892 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณThe Kop Civil, คุณmultiple, คุณTui Laksi, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณSleepless Sea, คุณปรศุราม, คุณzungzaa, คุณhaiku, คุณSai Eeuu, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณหอมกร, คุณtoor36, คุณทูน่าค่ะ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณสองแผ่นดิน, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณกะว่าก๋า, คุณtuk-tuk@korat, คุณเริงฤดีนะ, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณnin77, คุณตะลีกีปัส, คุณผู้ชายในสายลมหนาว, คุณInsignia_Museum, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน |
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:14:28:42 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:14:56:37 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:15:02:19 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:15:10:19 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:15:26:28 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:19:46:56 น. |
|
|
|
โดย: zungzaa วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:22:24:46 น. |
|
|
|
โดย: Sai Eeuu วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:1:36:27 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:10:47:25 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:13:24:47 น. |
|
|
|
โดย: zungzaa วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:15:49:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:19:53:20 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:0:18:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:6:38:48 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:14:38:32 น. |
|
|
|
โดย: nin77 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:21:34:55 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:9:39:56 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:20:33:04 น. |
|
|
|
|
|