Group Blog
 
<<
มกราคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มกราคม 2567
 
All Blogs
 
การลงทุนที่ดีที่สุด

               

             งานสำคัญของพวกเราก็คืองานดับทุกข์ เพราะการได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ภพของมนุษย์นี้เปรียบเหมือนเพชรนิลจินดา ที่มีคุณค่ามาก เราจึงไม่ควรเอาเพชรนิลจินดาไปแลกกับก้อนหินก้อนกรวด ควรจะเอาไปแลกกับสิ่งที่มีคุณค่าพอๆกันหรือดีกว่า สิ่งเดียวที่ดีกว่าหรือพอๆกัน ก็คือมรรคผลนิพพาน ส่วนลาภยศสรรเสริญสุขนี้เป็นเหมือนก้อนหินก้อนกรวด ที่ไม่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่กลับจะทำให้จิตใจมีความทุกข์มากขึ้น ไม่ได้มีน้อยลงไป ความสุขที่ได้ไม่คุ้มกับความทุกข์ที่ได้มา ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ฉลาด ก็ต้องเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี ให้เงินปันผลดี มีคุณค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จึงจะเป็นการลงทุนที่กำไร ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราให้เวลากับสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ ก็จะเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด ถ้าให้เวลากับสิ่งที่ให้ความทุกข์ให้โทษกับจิตใจ ทำให้จิตใจเสื่อมลงต่ำลง ทำให้จิตใจเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพต่างๆ ก็จะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่ากับภพชาติของมนุษย์ ภพชาติของมนุษย์นี้เหมาะกับการประพฤติปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ เพื่อมรรคผลนิพพาน ถ้าเราใช้เวลาไปกับภารกิจนี้ ก็ไม่ต้องกังวลกับภารกิจอื่น นอกจากจำเป็นจริงๆ ที่เกี่ยวข้องกับเราจริงๆ เช่นบุคคลที่มีพระคุณกับเรา ถ้าเขาเป็นอะไรไป เราต้องไปงานของเขา อย่างนี้ก็ไปได้ แต่ถ้าเป็นแบบสังคม แบบรู้จักกัน ถ้าต้องเสียเวลาของการปฏิบัติเพื่อไปงานอย่างนี้ ก็จะเสียเวลาไปเปล่าๆ นี่พูดถึงนักปฏิบัตินักบวช พวกนี้ควรจะให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติมากกว่างานอื่น
 
ถ้าบวชแล้วหรือเป็นนักปฏิบัติ ที่ไม่ได้โกนหัวห่มผ้าเหลืองผ้าขาว ก็ควรเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับการปฏิบัติ ให้มากกว่าการไปทำภารกิจอย่างอื่น ที่ทำไปมากน้อยเพียงไร ก็ไม่ได้ทำให้ภาวะของจิตใจดีขึ้น ไม่ได้ทำให้ภพชาติความทุกข์น้อยลงไป ต้องแน่วแน่ต่อการปฏิบัติ ให้เวลากับการปฏิบัติให้มาก จนได้เต็มที่เลย ถ้ายังมีภารกิจด้านอื่นอยู่ ก็ควรพยายามตัดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ ภารกิจที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการหาความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ ควรจะตัดไปเลย เอาเวลาที่ใช้กับสิ่งเหล่านี้มาใช้กับการปฏิบัติจะดีกว่า ดูหนังดูละคร ๒ ชั่วโมงสู้นั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมงไม่ได้ มีคุณค่าแตกต่างกันมาก ถ้ามองถึงผลที่จะได้ทางจิตใจ แต่ถ้ามองทางด้านอารมณ์ที่จะได้ คือความสุขที่ได้จากการดูหนัง ก็จะคิดว่าดูหนัง ๒ ชั่วโมงมีความสุขมีความเพลิดเพลินดี ดีกว่านั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมง ที่ต้องทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ ใจก็ทุกข์ไม่อยากนั่ง เพราะอยากจะทำอย่างอื่น ร่างกายก็เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ แต่ถ้านั่งแล้วได้ผล จิตสงบลง ปล่อยวางความเจ็บปวดของร่างกายได้ ก็จะได้สิ่งที่ดีกว่าการดูหนัง เพราะต้องมีวันเบื่อ หรือดูจนไม่มีอะไรจะให้ดู ก็จะหงุดหงิดไม่มีความสุข แต่ถ้านั่งสมาธิจนติดเป็นนิสัยแล้ว เวลานั่งแล้วสุขสงบเย็นสบายอิ่มเอิบใจ ก็จะนั่งไปได้เรื่อยๆ ไม่มีคำว่าเบื่อ ถ้านั่งจนติดเป็นนิสัยแล้ว จะยินดีกับการนั่ง อยากจะนั่งให้มาก ถ้านั่งแล้วเมื่อยจริงๆก็ควรลุกขึ้นมาเดิน ทำสมาธิต่อเหมือนตอนที่นั่ง เพียงแต่เปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งมาเดินแทน เวลาเดินถ้ากำหนดดูลมหายใจไม่ค่อยจะถนัด ก็เปลี่ยนกรรมฐานเครื่องควบคุมใจได้ เปลี่ยนจากลมหายใจ มาเป็นการบริกรรมพุทโธๆไปก็ได้ หรือดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย คือเท้าที่กำลังก้าวอยู่ เวลาก้าวเท้าซ้ายเท้าขวา ก็กำหนดซ้ายขวาซ้ายขวาไป
 
เป้าหมายของการนั่งสมาธิ ก็เพื่อควบคุมความคิด ไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อยไปตามกระแสของอารมณ์ที่มีอยู่ภายในใจ ที่คอยผลักดันให้ไปคิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่เจริญสติไม่ทำสมาธิ อารมณ์จะฉุดลากใจให้คิดทั้งวันทั้งคืน จนเหน็ดเหนื่อยฟุ้งซ่าน ไม่สบายอกไม่สบายใจ นานๆจะมีความสุขสักครั้ง ถ้าคิดไปในทางธรรมะ แต่ส่วนใหญ่ใจของพวกเรา ที่ถูกอำนาจของกิเลสฉุดลากให้คิด จะคิดไปในทางโลภในทางโกรธ ในทางอยากได้อยากมีอยากเป็น ในทางหวาดกลัวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ดีหรือกำลังเกิดขึ้นก็ดี ทำให้ใจหวั่นไหวสับสนอลหม่านอยู่ตลอดเวลา ถ้าได้ทำสมาธิได้เจริญสติ ควบคุมใจให้อยู่กับกรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เวลานั่งเวลาเดินเวลายืน ก็กำหนดให้อยู่กับกรรมฐาน ก็จะไม่สามารถไปคิดเรื่องอื่นได้ เพราะการกำหนดกรรมฐานเป็นการบังคับใจไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อย ให้บริกรรมพุทโธๆ หรือกำหนดดูเท้าเวลาที่เดินจงกรม ซ้ายขวาซ้ายขวาไป ใจก็จะค่อยๆสงบลง เพราะการเจริญกรรมฐานไม่ได้สร้างอารมณ์ต่างๆให้เกิดขึ้นมา แต่จะทำให้อารมณ์ต่างๆสงบตัวลง ใจจะเย็นสบายลงไปตามลำดับ จะมีความสุขมากขึ้นไปตามลำดับ แล้วก็จะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนี้ไม่ได้อยู่ที่อื่น แต่อยู่ที่ใจของเรา ความสุขที่ดีที่สุดอยู่ที่ใจที่สงบนี่เอง นี่คือเป้าหมายของการทำสมาธิ เพื่อควบคุมไม่ให้ใจคิดเรื่อยเปื่อย
 
ใจก็เปรียบเหมือนกับสัตว์ชนิดหนึ่งเช่นม้าป่า ที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนอบรม ก่อนจะเอามาใช้งานได้ ต้องฝึกทรมานจนอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ขี่ ถ้าสั่งให้ไปซ้ายกลับไปขวา สั่งให้เดินหน้ากลับถอยหลัง ก็ยังใช้งานไม่ได้ ต้องทรมานจนม้าทำตามคำสั่ง ถ้าไม่ทำก็ต้องลงโทษ เฆี่ยนตีบ้าง ไม่ให้กินอาหารบ้าง ม้าก็จะรู้ว่าถ้ายังดื้ออยู่ ยังทำอะไรตามอำเภอใจอยู่ ก็จะถูกลงโทษ แต่ถ้าทำตามคำสั่งก็จะได้รางวัล ได้น้ำได้อาหาร ก็จะรู้ว่าการทำตามคำสั่งเป็นประโยชน์ ม้าก็จะยอม พออยู่ภายใต้คำสั่งแล้ว ก็ไม่ต้องทรมานม้าอีกต่อไป  ใจก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝึกจนหยุดคิดได้แล้ว อยู่ภายใต้คำสั่งแล้ว จะเห็นว่าเป็นความสุขจริงๆ เป็นความสุขอย่างยิ่ง เป็นความสุขที่ดีกว่าการดูหนัง หรือคุยกับเพื่อนสนิทมิตรสหาย จะเห็นความแตกต่างกัน จะเห็นคุณค่าของการภาวนาทำจิตใจให้สงบ ก็ไม่ต้องบังคับกันแล้ว ตอนทำใหม่ๆต้องบังคับต้องมีตารางต้องมีเวลา เช่นวันหนึ่งจะต้องทำกี่ครั้ง ทำนานเท่าไหร่ แต่พอเห็นคุณค่าของความสงบที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องกำหนดตาราง มีแต่จะอยากทำให้มาก เหมือนกับทำงานแล้วได้เงินเดือน ถ้าทำแล้วไม่ได้รับเงินเดือน ก็จะรู้สึกท้อแท้ ไม่อยากจะทำ แต่พอได้รับเงินเดือนแล้วก็อยากจะทำมากขึ้น อยากจะทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้เงินเดือนมากขึ้น
 
ฉันใดการทำงานของใจก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังไม่เห็นผล ใจยังไม่สงบ นั่งแล้วรู้สึกอึดอัด เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ ทนนั่งต่อไปไม่ได้ ก็จะไม่มีกำลังใจ พอลุกขึ้นก็ไปเปิดโทรทัศน์ดูทันที เปิดตู้เย็นหาอะไรมาดื่มมารับประทานทันที อย่างนี้แทบจะไม่ต้องบังคับกันเลย เพราะเห็นผลแล้วว่ามีความสุข แต่ไม่รู้ว่าเป็นความสุขที่มีความทุกข์ตามมา เพราะต้องหามันอยู่เรื่อยๆ ต้องอาศัยมันอยู่เรื่อยๆ เวลาไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม่ได้รับประทานของในตู้เย็น ก็จะหงุดหงิดรำคาญใจ ตรงนี้ที่มองไม่เห็นกัน เพราะกลัวความหงุดหงิดนี้ จึงต้องเตรียมของกินของดื่มไว้ในตู้เย็นไม่ให้ขาด ต้องหมดเวลากับการไปหาเงินหาทอง ไปทำงานทำการ ก็จะไม่มีเวลานั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ ภพชาติมนุษย์นี้ก็จะหมดไปกับการหาเงินหาทอง หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีโอกาสที่จะออกจากวงจรอุบาทว์นี้ได้เลย นอกจากพวกที่มีบุญเก่า  มีเพื่อนฝูงชวนไปปฏิบัติธรรม ไปอยู่ตามสถานที่ที่เหมาะกับการปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์คอยสอน คอยแนะแนวทาง คอยให้กำลังใจ ที่จะมีโอกาสหลุดออกจากวงจรอุบาทว์ ของการหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายได้ ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ตัวเรา ที่ต้องพยายามผลักดันตัวเราเอง ถ้าไม่มีใครชวน ไม่มีตารางกำหนดไปวัด อย่างที่พวกเรากำหนดกันเดือนละครั้ง ก็ต้องกำหนดขึ้นมาเอง อย่ารอให้ผู้อื่นดึงเราไป
 
เมื่อเรารู้แล้วว่าชีวิตของเรา ไม่ควรหมดไปกับการแสวงหาก้อนหินก้อนกรวด แต่ควรจะหมดไปกับการแสวงหามรรคผลนิพพาน เราก็ต้องมุ่งไปในทางนี้ ไปสู่การศึกษาปฏิบัติธรรม มีเวลาว่างก็ควรฟังเทศน์ฟังธรรม ในเบื้องต้นนี้ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนก่อน เพื่อจะได้รู้ทิศทางที่จะต้องไป จะได้ไม่หลงทาง ถ้าไม่ศึกษาทิศทางก่อน ออกเดินทางเลย จะรู้ได้อย่างไรว่าจะไปทางไหน แต่ถ้าได้ศึกษาดูแผนที่ไว้ก่อนแล้ว ก็จะรู้ว่าจะต้องไปทางไหน จะได้ไม่เสียเวลา พอออกจากบ้านก็รู้เลยว่าจะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา พอไปถึงทางแยกก็จะรู้ว่าต้องไปทางไหน ควรใช้เวลาอย่างนี้ ในเบื้องต้นก็ศึกษา ฟังเทศน์ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์โดยตรงก็ได้ ถ้ามีโอกาสได้อยู่ใกล้ ถ้าไม่มีโอกาสก็มีสื่อที่บันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆ สื่อทางวิทยุทางโทรทัศน์ เราก็เปิดฟังเปิดดูได้ หนังสือต่างๆก็อ่านได้ แต่ต้องศึกษาเพื่อไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษาเพื่อให้หลงคิดว่ารู้แล้ว แล้วก็ไม่ออกปฏิบัติ แต่มาถกเถียงกัน หรือไปสอนผู้อื่นเลย เพราะคิดว่ารู้แล้ว แต่ความรู้จากการศึกษานี้ ยังไม่ได้เป็นความรู้ที่แท้จริง เหมือนกับการศึกษาวิธีทำกับข้าวกับปลาอาหาร แต่ยังไม่เคยลงมือทำเลย ก็จะไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาทำจะทำได้หรือไม่ ทำแล้วจะได้ผลตามที่ได้ศึกษามาหรือไม่ ต้องพิสูจน์ก่อนว่าความรู้ที่ได้ศึกษามานี้ เป็นจริงอย่างไร ถ้านำเอาไปปฏิบัติแล้วจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ว่าความสุขที่ดีที่สุดนี้อยู่ตรงไหน พอรู้แล้วก็จะสามารถนำเอาไปสั่งสอนผู้อื่นได้ แต่ในเบื้องต้นนี้ต้องสั่งสอนตัวเองก่อน ให้กำจัดปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปให้ได้ก่อน ความทุกข์ต่างๆที่มีอยู่ภายในใจ ถือว่าเป็นปัญหาทั้งนั้น ความไม่สบายใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งนี้ ถือว่าเป็นปัญหาทั้งนั้น ถ้ามีอยู่ภายในใจ แสดงว่ายังเรียนไม่จบ ยังปฏิบัติไม่ถึงจุดสูงสุด ต้องสามารถอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง สัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไม่มีปัญหา ถึงจะถือว่าหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว
 
เราจึงควรใช้เวลาไปกับการศึกษาปฏิบัติธรรม เพราะจะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่ากว่าการแสวงหาลาภยศสรรเสริญ แสวงหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย พอถึงบั้นปลายของชีวิต จะรู้สึกว่าจิตใจไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย จากวันที่เกิดมาในโลกนี้ถึงวันที่จะจากโลกนี้ไป ใจตอนที่มาเป็นอย่างไรตอนที่ไปก็ยังเป็นอย่างนั้น หรือแย่กว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป อ่อนแอลงมากกว่าเข้มแข็งขึ้น มีความทุกข์มากกว่ามีความสุข ถ้าไปแบบนั้นก็ถือว่าขาดทุน เหมือนฝากเงินไว้ในธนาคารแต่ไม่ได้ดอก แล้วยังต้องเสียค่าฝากด้วย เวลาถอนเงินต้นก็เหลือน้อยกว่าตอนที่เอาไปฝาก อย่างนี้เป็นการใช้ชีวิตอย่างขาดทุน แต่ถ้าถึงเวลาตายแล้วรู้สึกว่า ใจมีความมั่นคงมีความสุขมากกว่าเดิม มีความทุกข์น้อยกว่าเดิม หรือไม่มีเลย อย่างนี้ถือว่าได้กำไร ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด ได้เอาเพชรนิลจินดามาลงทุน ให้เกิดผลตอบแทนมากกว่าต้นทุน เอาเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนเพื่อก่อตั้งธนาคารขึ้นมา จนได้ธนาคารเป็นร้อยๆสาขา อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คนที่เริ่มก่อตั้งธนาคารขึ้นมาก็มีเงินอยู่เพียงก้อนหนึ่ง พอกิจการเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ก็ขยายสาขาไปเรื่อยๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีเป็น ๑๐๐ เป็น ๑๐๐๐ สาขา อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
 
ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าลงทุนไปกับการศึกษาปฏิบัติธรรม ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทำจิตใจให้สงบ เจริญปัญญา จนจิตใจมีแต่ความสงบอยู่ตลอดเวลา ก็ถือว่าได้กำไร ถ้าจิตใจยังฟุ้งซ่านสับสนอลหม่าน มีความเศร้าหมอง มีความเครียด มีความวุ่นวายอยู่ อย่างนี้ก็ถือว่ายังไม่ได้กำไร ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับจิตใจ จิตใจถ้าไม่สงบก็จะไม่มีความสุข ถึงแม้จะมีเงินทองกองเท่าภูเขา ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับจิตใจ ไม่สามารถทำให้จิตใจมีความสงบสุขได้ จึงอย่าเสียเวลาไปกับการแสวงหาลาภยศสรรเสริญสุข ให้แสวงหามรรคผลนิพพานเถิด เป็นเป้าหมายของเรา เมื่อเช้านี้ก็บอกแล้วว่า การให้ทานต้องเพิ่มให้มากขึ้น มีอะไรที่ทำให้ได้มากขึ้นก็ควรทำไป จากการทำบุญร้อยละสิบ ก็เพิ่มเป็นร้อยละยี่สิบ ร้อยละสามสิบ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ศีลก็รักษาให้มากขึ้น เคยรักษาได้กี่ข้อกี่วันก็รักษาเพิ่มขึ้นไป เช่นวันนี้ถือศีล ๘ เพิ่มจากศีล ๕ขึ้นมาก็ได้ วันไหนมีกำลังใจดี ก็รักษาศีลเพิ่มขึ้นไป ศีล ๘ บ้าง ศีล ๕ บ้าง หรือเพิ่มศีล ๘ ให้มากกว่าศีล ๕ จนสามารถรักษาศีล ๘ ได้ตลอดเวลา การนั่งสมาธิก็เพิ่มเวลานั่งให้มากขึ้น เคยนั่งวันละ ๒ ครั้งก็เพิ่มเป็น ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง เคยนั่งครั้งละครึ่งชั่วโมง ก็เพิ่มเป็นครั้งละชั่วโมง ต้องพยายามขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ การฟังเทศน์ฟังธรรมก็ฟังให้มากขึ้น ส่วนที่ต้องลดก็คือความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ดูโทรทัศน์ดูหนังดูละคร ก็ตัดให้น้อยลงไป เคยดื่มเคยรับประทาน เคยหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ตัดให้น้อยลงไป จนไม่ต้องหาความสุขจากสิ่งเหล่านี้เลย จะได้มีเวลาหาความสงบสุขทางจิตใจมากขึ้น นี่เป็นเรื่องที่เราต้องกำหนดขึ้นมาเอง เพราะเป็นชีวิตของเรา เราเป็นเหมือนคนขับรถ คนอื่นขับแทนเราไม่ได้ เราต้องรู้ทิศทางที่เราจะต้องไปว่าอยู่ในทิศทางใด อย่าขับวนอยู่ตรงวงเวียน เพราะจะไปไม่ถึงไหน ขับไปทั้งวันก็จะวนเวียนอยู่ตรงนั้น
 
เราต้องกำหนดทิศทางชีวิตของเราให้ไปในทางนี้ ต้องทำบุญให้มากขึ้น รักษาศีลให้มากขึ้น ภาวนาให้มากขึ้น อย่าปล่อยให้วนอยู่ในวงเวียนของการหาความสุขกับการหาเงิน ได้เงินแล้วก็เอามาซื้อความสุข พอเงินหมดก็ไปหาใหม่ พอหาเงินได้แล้วก็กลับมาซื้อความสุขอีก อย่างนี้เรียกว่าขับรถรอบวงเวียน ไม่ได้ไปไหน กี่ภพกี่ชาติก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าจะเป็นวงเวียนแบบไหน วงเวียนดีก็มี วงเวียนไม่ดีก็มี วงเวียนดีก็วงเวียนของเทพของมนุษย์ วงเวียนไม่ดีก็ของเดรัจฉานของเปรตของสัตว์นรก ถ้าใฝ่ต่ำก็จะหาเงินอย่างผิดศีลผิดธรรม เช่นลักขโมยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง เพื่อให้ได้เงินทองมาซื้อความสุข พวกนี้จะวนอยู่ในวงเวียนที่ไม่ดี วงเวียนที่มีแต่ความร้อน ส่วนวงเวียนดีก็คือวงเวียนของเทพของมนุษย์ แต่ก็ยังเป็นวงเวียนอยู่ สู้มรรคผลนิพพานไม่ได้ อันนี้เป็นทางตรง ไปสู่จุดหมายปลายทางที่เลิศที่ประเสริฐ คือการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด สิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลาย เพราะเมื่อไม่เกิดแล้วทุกข์ก็ย่อมไม่มี ทุกข์ย่อมไม่มีต่อผู้ที่ไม่เกิด เพราะผู้ที่เกิดยังต้องแก่เจ็บตาย พลัดพรากจากกัน การเกิดเป็นมนุษย์ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากคือ ๑. ได้เป็นมนุษย์ ๒. ได้พบกับพระพุทธศาสนา ๓. มีเวลาศึกษาปฏิบัติ จะใช้โอกาสดีนี้หรือไม่ จะเพิ่มเวลาศึกษาปฏิบัติให้มากกว่าเดิมหรือไม่ วันหนึ่งเรามีเพียง ๒๔ ชั่วโมง ถ้าจะเพิ่มเวลาบำเพ็ญปฏิบัติ ก็ต้องตัดเวลาที่ให้กับสิ่งอื่นไป จะกล้าทำหรือไม่ หรือยังเสียดายเรื่องต่างๆที่ยังผูกพันอยู่ ต้องใช้วิจารณญาณ ต้องดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ดูพระสงฆ์สาวก ดูครูบาอาจารย์พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นตัวอย่าง ว่าท่านใช้เวลาอย่างไร เรากับท่านใช้เวลาเหมือนกันหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกัน เราก็ควรปรับให้เหมือนท่าน ถ้าเราไม่ปรับก็จะไม่ได้อย่างที่ท่านได้ ต่อให้ปรารถนาต่อให้อยากได้มากน้อยเพียงไร ต่อให้มาที่นี่อีก ๑๐ ปี อีก ๑๐๐ ปี แต่ไม่ได้ปรับวิถีชีวิตให้เข้าสู่กระแสธรรม ก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่มีใครบังคับตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนต้องเป็นผู้บังคับตนเอง เพราะตนเป็นผู้ขับรถชีวิตของตนเอง ผู้อื่นขับรถคันนี้ให้เราไม่ได้ ขับชีวิตของเราไม่ได้ การมาฟังธรรมนี้ ก็เพื่อจะได้กำลังใจได้ความรู้ ว่าควรจะทำอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ควรเอาไปปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้ว ปฏิเวธคือผลที่ดีที่เลิศที่ประเสริฐ ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งอื่นที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรที่จะห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้ นอกจากการไม่ปฏิบัตินี้เท่านั้น
 
การปฏิบัตินี้ไม่มีรูปแบบตายตัว อยู่ที่สติเป็นหลัก ต้องมีสติตลอดเวลาถึงจะถือว่าปฏิบัติ ถ้าไปอยู่วัดแต่ไม่มีสติ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติ ถ้ามีสติแต่อยู่ที่ทำงานก็ถือว่าปฏิบัติ จึงควรให้มีสติควบคุมใจไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อย ให้อยู่กับพุทโธๆไปก็ได้ หรืออยู่กับธรรมะ เช่นอาการ ๓๒ นี้ก็เป็นธรรมะที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ถ้าเบื่อกับการบริกรรมพุทโธๆ ก็ลองใช้อาการ ๓๒ ก็ได้ มีสีสันมีรสชาติ มีหลายลักษณะ มีผม มีขน มีเล็บ มีฟัน มีหนัง มีเนื้อ มีเอ็น มีกระดูก ฯลฯ ถ้าจิตจะไปเที่ยวก็ให้เที่ยวในกายนคร เป็นที่น่าท่องเที่ยวที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าท่องอาการ ๓๒ นี้อยู่ ก็ถือว่าได้ปฏิบัติแล้ว ไม่ต้องไปอยู่วัดนุ่งขาวห่มขาว ขอให้มีอาการ ๓๒ อยู่ในใจไปเรื่อยๆ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด ถ้าต้องใช้ความคิดจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็หยุดพุทโธๆไปก่อน หยุดท่องอาการ ๓๒ ไปก่อน พอคิดเสร็จแล้ว เริ่มกังวลกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ห่วงคนนั้นคนนี้ ก็กลับมาพุทโธๆต่อ กลับมาท่องอาการ ๓๒ ต่อ ทั้งไปทั้งกลับ อนุโลมและปฏิโลม แล้วจะรู้ว่าวันๆหนึ่งเรามีสติหรือไม่ ถามตัวเองว่าวันนี้อยู่กับอาการ ๓๒ บ้างหรือไม่ อยู่กับพุทโธบ้างหรือไม่ เพราะการเจริญพุทโธก็ดี หรือท่องดูอาการ ๓๒ ก็ดี เป็นการสร้างสติ ทำให้เห็นความคิดปรุงแต่ง ส่วนใหญ่เราจะไม่เห็นความคิดปรุงแต่ง เพราะความคิดปรุงแต่งจะอยู่หลังฉาก ที่คอยผลักดันใจให้ออกไปดูภายนอก คิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ ใจคิดไปแล้ว ไปที่รูปคนนั้นรูปคนนี้ ไปที่วัตถุชิ้นนั้นชิ้นนี้ ไปที่ตู้เย็นและของที่อยู่ในตู้เย็น แต่ไม่เห็นความคิดที่ทำให้ไป ถ้าบริกรรมพุทโธๆ หรือท่องดูอาการ ๓๒ อยู่เรื่อยๆ ต่อไปจะเห็นตัวปรุงแต่งว่าอยู่ตรงนี้เอง ที่หลอกเราสั่งเราให้ไปเปิดตู้เย็น ให้ไปกังวลกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเห็นอย่างนี้แล้วแสดงว่ามีสติแล้ว
 
จะเห็นว่าคิดไปได้ ๓ ทาง ไปทางกิเลส ไปทางธรรม หรือตรงกลาง ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่กิเลส ส่วนใหญ่จะไป ๒ ทาง คือไปทางกิเลส หรือไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม น้อยครั้งที่จะไปทางธรรมกัน เพราะไม่มีธรรมอยู่ในใจ แต่ถ้าได้ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้ธรรมเข้าไปปลูกไว้ในใจ ต่อไปความคิดในทางธรรมก็จะงอกเงยขึ้นมา ก็จะคิดไป ๓ ทาง ไปทางกิเลสบ้าง ทางธรรมบ้าง ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่กิเลสบ้าง จะเห็นผลที่เกิดขึ้น ว่า เวลาคิดไปในทางกิเลสก็จะฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ คิดไปในทางธรรมก็สุขสงบเย็น คิดไปในทางที่ไม่ใช่กิเลสหรือธรรมก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็อยากจะคิดไปในทางธรรมเรื่อยๆ บริกรรมพุทโธๆไปเรื่อย ก็จะสุขสงบเย็นสบาย ต่อไปก็จะเห็นอริยสัจ ที่อยู่ที่สังขารความคิดปรุงแต่งนี่เอง สังขารที่เป็นได้ทั้งสมุทัยหรือมรรค ถ้าคิดถึงอาการ ๓๒ บริกรรมพุทโธ ก็เป็นมรรค ทำให้จิตสงบ ถ้าคิดถึงอัตตาตัวตน ตัวเราของเรา โลภอยากได้ ก็จะเป็นสมุทัย ก็จะทุกข์รุ่มร้อนขึ้นมา ต่อไปจะไม่ดูข้างนอกอย่างเดียว แต่จะดูสังขารที่อยู่หลังฉากด้วย ที่หลอกให้ไปหลงสิ่งนั้นสิ่งนี้ โลภอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จะคอยกำจัดความคิดเหล่านี้ไป ด้วยการเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแก้ เพราะความหลงมาจากการไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าระลึกถึงอนิจจังทุกขังอนัตตาอยู่เรื่อยๆ จะทำให้ความโลภความโกรธความหลงเบาบางลงไป
 
เวลาโลภอยากได้อะไร ก็จะพิจารณาว่าเที่ยงหรือไม่ ได้มาแล้วจะสุขอย่างถาวรหรือไม่ มีความทุกข์ตามมาหรือไม่ ก็จะได้คำตอบว่าไม่เที่ยง มีความทุกข์ตามมา ไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไปหรือเราจะต้องจากเขาไป ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจก็จะเป็นธรรมมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นธรรมทั้งแท่ง เพราะจะคิดแต่ธรรมตลอดเวลา พอมีธรรมแล้ว ความหลงก็จะไม่สามารถหลอกเราได้ คนที่มีธรรมแล้วมักจะไม่มีสมบัติอะไร พระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเลย ครูบาอาจารย์ก็ไม่มีอะไรเลย เงินทองที่ญาติโยมถวายให้ท่าน ท่านก็ไม่เก็บเอาไว้เลย ท่านเอาไปทำประโยชน์ให้กับโลกต่อ แต่ถ้ายังมีความหลงก็จะเก็บไว้ จะรู้สึกไม่พอด้วย ได้พันล้านก็อยากจะเพิ่มเป็นหมื่นล้าน ได้หมื่นล้านก็อยากจะเพิ่มเป็นแสนล้าน เพราะไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นทุกข์ในเงินทอง มันเป็นภัยนะมีเงินมากๆ อย่าคิดว่าเป็นคุณ จะมีคนคอยจับไปเรียกค่าไถ่ ไปไหนมาไหนก็ต้องมีมือปืนคุ้มครอง อยู่อย่างนี้มีความสุขหรือไม่  ต้องอยู่แบบไม่มีอะไรเลย เช่นพระพุทธเจ้า ไปไหนมาไหนไม่ต้องมีใครมาคอยคุ้มกัน ไม่มีสมบัติอะไร มีเพียงอัฐบริขาร ๘ ชิ้นเท่านั้นเอง ผ้าไตร ๓ ผืน บาตร ๑  รวมเป็น ๔ ประคดเอว ๑ เป็น ๕ ที่กรองน้ำ ๑ เป็น ๖ เข็มกับด้าย ๑ เป็น ๗ ใบมีดโกน ๑ รวมเป็น ๘ เป็นสมบัติพอเพียงกับสมณะแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว



 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 
ภาพประกอบจาก : วัดมรุกขนคร จ.นครพนม



Create Date : 25 มกราคม 2567
Last Update : 25 มกราคม 2567 8:42:20 น. 19 comments
Counter : 462 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณปรศุราม, คุณทนายอ้วน, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณSweet_pills, คุณThe Kop Civil, คุณmultiple, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณtoor36, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณหอมกร, คุณกะว่าก๋า, คุณร่มไม้เย็น, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณeternalyrs, คุณดอยสะเก็ด, คุณSleepless Sea, คุณnewyorknurse, คุณkae+aoe, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณkatoy, คุณmariabamboo


 
สวัสดีคราบบบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:9:11:24 น.  

 


สาธุค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:13:00:12 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:13:34:54 น.  

 
จิตใจคนเรา ต้องอาศัยการฝึกฝน ควบคุมอยู่อย่างสม่ำเสมอนะครับ

ส่วนใหญ่ เราก็จะปล่อยไปตามกิเลสตัญหาหลงระเริงไปเรื่อย

จะสำนึกได้ก็ต่อเมื่อมีความทุกข์เข้ามา
แต่บางทีมันก็สายไป ไม่ทันการณ์แล้วนะครับ

อ.เต๊ะ ขอแสดงความยินดีกับรางวัลที่ได้รับด้วยนะครับ ขอให้คุณพี่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง
เจริญในศีลในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ



โดย: multiple วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:14:18:25 น.  

 
แวะมาอนุโมทนาบุญวันพระจ้า
ยินดีกับสายสะพายใหม่ด้วยจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:16:02:20 น.  

 
ธรรมะสวัสดีค่ะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:17:03:51 น.  

 
สวัสดีครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:19:10:24 น.  

 
ลงทุนทางใจยกระดับทางจิตใจตัวเราดีที่สุดครับ ได้กับตัวเรา สุขกายสบายใจด้วย


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:21:33:29 น.  

 
สาธุ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:23:50:16 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ คุณเอ็ม


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:14:47:39 น.  

 
สาธุธรรมครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:15:42:18 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม
ขอบใจที่ไปให้กำลังใจที่บล็อก ตะพาบที่ครู
เขียนจ้ะ
ธรรมะที่นำเสนอบล็อกนี้ เน้นการทำให้ทุกข์
หายไป และเดินทางไปสู่สุขที่แท้จริง นั้นคือ
พ้นจากการ เวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นเป้าหมาย
สำคัญของชาวพุทธ เนาะ เราโชคดี ที่เกิดเป็น
มนุษย์ มีโอกาสดีกว่าสัตว์อื่น ๆ คือ มีโอกาสได้
สั่งสมเสบียงบุญในการหลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิด จ้ะ ถ้าเราฉลาด ต้องเลือกทางเดินที่ถูกต้อง คือ ธรรมะ จ้ะ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:18:11:55 น.  

 


ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:23:48:41 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 มกราคม 2567 เวลา:5:25:37 น.  

 
สวัสดีครับ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมบล็อก ส่งกำลังใจเช่นกันนะครับ


โดย: มาช้ายังดีกว่าไม่มา วันที่: 27 มกราคม 2567 เวลา:7:56:34 น.  

 

สวัสดีค่ะ
ไม่ได้เข้าบล็อกหลายวัน ไปเที่ยวทางใตัค่ะ


โดย: newyorknurse วันที่: 28 มกราคม 2567 เวลา:11:29:52 น.  

 
❤ ประโยชน์บางประการของศาสนาอิสลาม 💙

💙 ประตูสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร

❤ การช่วยให้พ้นจากขุมนรก

💙 ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง

❤ การให้อภัยต่อบาปที่ผ่านมาทั้งปวง

💙 สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในศาสนาอิสลาม

❤ านภาพของสตรีในศาสนาอิสลามเป็นอย่างไร?

💙 ครอบครัวในศาสนาอิสลาม

❤ ชาวมุสลิมปฏิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

💙 ชาวมุสลิมมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไร?


https://justpaste.it/b790p


โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 141.193.68.200 วันที่: 29 มกราคม 2567 เวลา:7:55:52 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ


โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 30 มกราคม 2567 เวลา:14:49:00 น.  

 
ขอบคุณครับ



โดย: Sleepless Sea วันที่: 30 มกราคม 2567 เวลา:17:48:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.