Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2566
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 กรกฏาคม 2566
 
All Blogs
 
เจริญสติเป็นหลัก

               

            หลักของสติปัฏฐาน ๔ ก็คือให้มีสติรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณาธรรมในแง่ต่างๆ เช่นพิจารณาขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เรียกว่ามีสติอยู่กับธรรม ถ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย เดินยืนนั่งนอน ด้วยสติไม่ส่งจิตไปที่อื่น เรียกว่ามีสติอยู่กับกาย ส่วนใหญ่เราจะทำหลายอย่างควบกันไป เวลาจะลุกก็เพียงคิดว่าจะลุก แล้วก็คิดเรื่องอื่นต่อ ในขณะที่กำลังลุก กำลังเดินก็รู้ว่ากำลังเดิน แต่ในขณะเดียวกันก็คิดเรื่องอื่นไปด้วย อย่างนี้ไม่ใช่สติปัฏฐาน ถ้าสติปัฏฐานแล้วต้องอยู่กับการยืน การเดิน การนั่ง การนอนอย่างเดียว ให้รู้อยู่ตรงนั้น ถ้าจะคิดก็ให้คิดเรื่องของร่างกายว่ามีอาการอะไรบ้าง มีผม มีขน มีเล็บ มีฟัน มีหนัง มีเนื้อ มีเอ็น มีกระดูก มีอาการ ๓๒ ส่วนด้วยกัน พิจารณาไปเรื่อยๆให้จิตท่องเที่ยวอยู่ในกาย จะเกิดเป็นปัญญาขึ้นมา ถ้าไม่มีสติการปฏิบัติจะไม่ได้ผล เวลาจะทำจิตให้สงบ กำหนดจิตให้อยู่กับพุทโธก็ดี อยู่กับบทสวดมนต์ก็ดี อยู่กับลมหายใจเข้าออกก็ดี จะอยู่ได้ไม่นาน อยู่ได้เพียงแป๊บเดียว แล้วก็จะเผลอไปคิดเรื่องต่างๆ โดยไม่รู้สึกตัวว่ากำลังเผลอ ยังคิดว่าอยู่กับลมหายใจ กำลังภาวนาอยู่ แต่ความจริงกำลังนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย นั่งไปนานสักเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผล คือความสงบของจิต แต่ถ้ามีสติแล้วจิตจะไม่ค่อยไปไหน ถึงแม้จะไปก็จะรู้ว่าไป แล้วก็ดึงกลับมาได้ เวลาอยู่กับลมก็ควรรู้ว่า หายใจเข้าหายใจออก พอไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ก็รู้ว่าไปแล้ว ก็ต้องดึงกลับมาที่ลม แล้วก็ดูลมต่อไป หรือถ้าบริกรรมพุทโธ ก็อยู่กับพุทโธๆไป หรือจะท่องเที่ยวดูอาการ ๓๒ ของร่างกายแทนพุทโธก็ได้ แทนที่จะบริกรรมพุทโธๆ ก็ท่องคำว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ฯลฯ ท่องไปเรื่อยๆจนครบอาการ ๓๒
 
ถ้าชำนาญแล้วก็ท่องถอยหลังออกมา พิจารณาเข้าไปแล้วก็พิจารณาออกมา  ถ้าท่องถอยหลังออกมาไม่ได้ก็ท่องจากข้างนอกเข้าไปก่อน ผมขนเล็บฟันเข้าไป ท่านสอนให้พิจารณาทั้งอนุโลมและปฏิโลม อนุโลมก็คือพิจารณาเข้าไป ปฏิโลมก็คือพิจารณาย้อนออกมา ทั้ง ๓๒ อาการ  ในเบื้องต้นเพียงแต่ท่องให้ขึ้นใจก่อน ไม่ต้องกำหนดดูรูปลักษณะว่าเป็นอย่างไร ให้ใจอยู่กับอาการทั้ง ๓๒  เพื่อจะได้ไม่ไปคิดเรื่องอื่น ที่จะทำให้เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา ถ้าอยู่กับอาการ ๓๒ แล้ว หรืออยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจอย่างต่อเนื่อง จิตจะค่อยๆขยับเข้าไปสู่ความสงบ เวลาจิตสงบของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนก็ค่อยๆสงบ บางคนก็วูบลงไป จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิตมีสติอย่างต่อเนื่อง อยู่กับงานที่ให้จิตทำเท่านั้น แล้วจะรู้สึกว่าการภาวนานี้ไม่ยากเลย เคล็ดลับอยู่ตรงสตินี้ตัวเดียว ในบรรดาธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบสติเป็นเหมือนรอยเท้าช้าง มีความยิ่งใหญ่กว่าธรรมทั้งหมด รอยเท้าช้างครอบรอยเท้าของสัตว์ทุกชนิด เพราะช้างเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ธรรมที่จำเป็นต่อการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นก็คือสติ เป็นตัวสำคัญที่สุด จึงสอนให้เจริญสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าไปที่สำนักไหน ไปฟังเทศน์ครูบาอาจารย์องค์ไหน จะต้องเน้นเรื่องการเจริญสติเสมอ ที่ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธๆ ก็เรียกว่าพุทธานุสติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าสวดมนต์ก็เป็นธรรมานุสติ เพราะบทสวดมนต์เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าระลึกถึงครูบาอาจารย์ ระลึกถึงประวัติอันดีงามของท่าน ระลึกถึงหน้าของท่านก็เป็นสังฆานุสติ
 
การภาวนาจึงอยู่ที่การเจริญสติเป็นหลัก ที่จะนำไปสู่ความสงบ นำไปสู่การเจริญปัญญา ขึ้นอยู่กับกรรมฐานที่ใช้ ถ้าใช้พุทโธๆก็จะเป็นกรรมฐานเพื่อความสงบ แต่จะไม่ได้ปัญญา ถ้าพิจารณาอาการ ๓๒ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา จะเห็นความไม่สวยงามของร่างกายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่เราจะเห็นเพียงแต่อาการ ๕ ส่วนคือ ผมขนเล็บฟันหนัง แล้วก็ไม่ได้เห็นแบบกรรมฐานเห็น เห็นแบบความหลงเห็น ว่าสวยว่างาม แต่ถ้าพิจารณาแต่ละชิ้นแต่ละส่วน เช่นพิจารณาผมก็เห็นว่าไม่ได้สวยอะไรเลย ถ้าหล่นลงไปบนดินก็ไม่มีใครจะหยิบขึ้นมา ถ้าหล่นลงไปในอาหารก็ทำให้ไม่น่ารับประทาน ต่อไปก็จะไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ จากสีดำก็จะกลายเป็นสีขาว ร่วงออกจากศีรษะไปเรื่อยๆ จนไม่มีผมหลงเหลืออยู่ ก็จะเห็นความไม่เที่ยงของผม หนังก็เช่นเดียวกันพิจารณาดู ก็จะเห็นว่าเป็นแผ่นบางๆที่ปกคลุมเนื้อไว้ ถ้าลอกหนังออกมาแล้วคนเราจะไม่น่าดูเลย นี่คือการพิจารณาแบบกรรมฐาน จะเห็นสิ่งที่ไม่สวยงามที่ซ่อนเร้นอยู่ การพิจารณาร่างกายก็พิจารณาได้หลายลักษณะด้วยกัน อาการ ๓๒ ก็เป็นลักษณะหนึ่ง ถ้ายังไม่ถึงขั้นที่จะพิจารณาอาการ ๓๒ ก็พิจารณาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็ได้ พิจารณาว่าวันๆหนึ่งก็แก่ลงไปเรื่อยๆ ทุกวันทุกเวลาทุกขณะ ร่างกายจะแก่ลงไปเรื่อยๆ ถ้าดูภาพของเราเมื่อ ๕ ปีก่อนกับวันนี้ ก็จะเห็นความแตกต่างกัน ว่าแก่ลงไปจริงๆ แต่ไม่ได้แก่แบบทันทีทันใด ค่อยๆแก่ ค่อยๆขยับไปเรื่อยๆ ต้องพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็ต้องอายุ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย มีโรคภัยเบียดเบียน แล้วในที่สุดก็จะต้องหยุดหายใจ เป็นซากศพไป พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะได้ปล่อยวางได้ จะได้ไม่หลงยึดติดกับร่างกายอีกต่อไป
 
การปล่อยวางก็คือการยอมรับความจริง ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ เวลารับความจริงได้แล้ว ความจริงจะไม่สร้างความทุกข์ให้กับเรา ถ้ารู้ว่ามีคนจะมาทวงหนี้ ก็ต้องเตรียมเงินไว้ เวลาเขามาก็ให้เขาไป เราก็ไม่เสียใจเสียดายอย่างไร เพราะรู้ว่าถ้าไม่ให้เขา เขาอาจจะฆ่าเราก็ได้ เราก็ยอมเสีย เสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ ถ้ายอมรับความจริงเสียอย่างแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะไม่เสียใจ จะไม่ทุกข์ใจ ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เมื่อรู้ว่าจะต้องถูกไล่ออกจากงาน ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน พอถึงวันที่ให้ออก ก็จะไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่แน่นอน ไปร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงได้ แต่เมื่อยอมรับความจริงแล้วจะรู้สึกเฉยๆ จะยอมรับได้ก็ต่อเมื่อได้พิจารณาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว พิจารณาอยู่เรื่อยๆ ก็รู้ว่าไม่เป็นอื่น ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ยึดไม่ติดกับอะไรแล้ว ก็ไม่เสียอกเสียใจ เวลาคนอื่นตกงานสูญเสียอะไรไป เราก็ไม่ได้ไปเสียอกเสียใจไปกับเขา เพราะไม่ได้ไปยึดไปติดว่าเป็นของเรา แต่เป็นของเขา ของที่เขาเสียกับของที่เราเสียก็เป็นของชนิดเดียวกัน ถ้าเป็นรถก็รถเหมือนกัน เป็นเงินทองเหมือนกัน เป็นเพียงกระดาษ ถ้าไม่ได้เอาไปซื้อข้าวซื้อของเอาไปใช้ เสียกระดาษไปจะไปเสียดายทำไม ถ้าไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ ไม่อาศัยสิ่งต่างๆให้ความสุขกับเรา เพราะมีความสุขในตัวแล้ว มีความสงบในจิตแล้ว เงินทองต่างๆสิ่งของต่างๆไม่มีความหมายอะไร มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อให้ความสุขกับจิต เพราะไม่ได้สุขเท่าที่ควร มันทุกข์มากกว่าสุข ถ้าพึ่งพาอาศัยสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ความสุข มันก็ให้ความทุกข์ด้วย ต้องกังวลว่าจะให้ความสุขไปเรื่อยๆหรือเปล่า เวลาที่มันจากไปจริงๆ เช่นหมดเงินหมดทอง ไปเที่ยวไม่ได้ ซื้อของอะไรไม่ได้ ก็จะทุกข์ใจ แต่ถ้าไม่ได้อาศัยเงินทองไว้ซื้อของที่ไม่จำเป็น ไม่มีก็ไม่เดือดร้อน ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ซื้อรองเท้าใหม่ก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะมีเหลือเฟือเหลือใช้อยู่แล้ว
 
ปัญหาของเราจึงอยู่ที่จิตไม่สงบ เมื่อไม่สงบก็ปล่อยให้ความหลงออกทำงาน ก็จะคิดว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี น่าจะหามาให้ความสุข ก็เกิดความอยาก อยู่เฉยๆไม่ได้ ก็ต้องไปหา หาเงินหาทองไว้ซื้อความสุข แทนที่จะอาศัียธรรมะคือสติเป็นเครื่องหาความสุขให้ กลับไปพึ่งสิ่งภายนอกที่ไม่แน่นอน เช่นเงินทอง กว่าจะได้มาก็แสนจะลำบาก ได้มาแล้วเดี๋ยวเดียวก็หมด ใช้แป๊บเดียวก็หมด สู้หาความสุขที่เกิดจากการเจริญสติไม่ได้ เพราะสามารถเจริญได้ตลอดเวลา ไม่ต้องซื้อสติ ซื้อไม่ได้ด้วย มีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ซื้อสติไม่ได้ ธรรมะให้ความเสมอภาคกับทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจน รวยก็ปฏิบัติได้ จนก็ปฏิบัติได้ เงินซื้อสติไม่ได้ ซื้อสมาธิไม่ได้ ซื้อปัญญาไม่ได้ คนรวยต้องทำบุญทำทานมากกว่าคนจน เพราะมีมากกว่า ถ้าไม่ให้ไม่สละก็จะทุกข์กับเงินทอง การทำบุญให้ทานเป็นอุบายเพื่อปล่อยวาง ไม่ได้ให้ไปหาเงินทองมามากๆเพื่อเอามาทำบุญ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องไปหา ทำเท่าที่มี เพราะเป็นเพียงขั้นหนึ่งของการปฏิบัติ เป็นการปลดเปลื้องให้หลุดจากการยึดติดกับเงินทอง ถ้าไม่สละไปก็จะมีแต่ความกังวล ยึดติดอยู่กับเงินทอง ก็จะต้องเสียเวลากับการดูแลรักษาเงินทอง แล้วก็หามาเพิ่มอีก จนทำให้ไม่สามารถไปรักษาศีลไปภาวนาได้ จึงควรตัดไปปล่อยไปสละไป เก็บไว้เท่าที่จำเป็น จะได้มีเวลาไปทำบุญขั้นที่สูงขึ้น คือรักษาศีลและภาวนา อย่าไปคิดว่าการมีเงินทองมากๆเป็นบุญมาก เพราะเป็นบุญขั้นต่ำ บุญที่สูงกว่าการให้ทานก็คือการรักษาศีล ไม่มีเงินก็รักษาได้ อานิสงส์ของศีลก็สูงกว่าทาน ทานทำให้เรามีเงินมีทอง มีความสุขความสบาย เวลาไปเกิดในภพต่อไปจะไม่อดอยากขาดแคลน แต่ไม่สามารถส่งให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นเทพได้ ถ้าไม่รักษาศีล
 
ถ้าทำบุญทำทานแต่ยังทำผิดศีลผิดธรรม โกหกหลอกลวง ฉ้อโกง ประพฤติผิดประเวณี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เวลาตายไปจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพ ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล แต่จะเกิดเป็นสัตว์ที่มีความสวยงาม เป็นนกสวยงาม เป็นสุนัขสวยงาม ที่คนมีสตางค์ซื้อเอาไปเลี้ยงเป็นลูก คนมีเงินแต่ไม่มีลูก ก็ซื้อหมามาเป็นลูกแทน เลี้ยงหมาเหมือนกับเลี้ยงลูก ถ้าทำทานมามากแต่ไม่ได้รักษาศีล ก็จะเกิดเป็นสัตว์ที่สวยงาม ถ้ารักษาศีลแต่ไม่ได้ทำทานเลย หรือทำตามมีตามเกิด ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นเทพเป็นพรหมต่อไป ต้องมีศีลเป็นผู้พาไป สีเลนะ สุคติง ยันติ ศีลเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ คือภพของมนุษย์ ของเทพ ของพรหม ของพระอริยบุคคล ศีลเป็นปัจจัยเบื้องต้นแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าจะไปสูงกว่ามนุษย์กว่าเทพจะต้องมีสมาธิ จะเป็นพรหมได้ต้องมีสมาธิ จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ต้องมีวิปัสสนา มีดวงตาเห็นธรรม เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา แล้วปล่อยวางได้ เช่นพิจารณาร่างกายว่าเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเพียงธาตุ ๔  ดินน้ำลมไฟ ถ้าเห็นชัดเจนแล้ว จิตก็จะปล่อยวางร่างกาย จะเห็นร่างกายเป็นเหมือนกับขวดน้ำแก้วน้ำ เป็นเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง จะไม่ยึดติดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา จะไม่อยากให้อยู่ไปตลอด รู้ว่าสักวันหนึ่งต้องเสื่อม ต้องเสียต้องตายไป แต่เมื่อปล่อยวางแล้วก็จะไม่ทุกข์ นี่คือการเจริญวิปัสสนา เพื่อปล่อยวางอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา เป็นธรรมะขั้นสูงขึ้นไป จากศีลก็ต้องเข้าสู่สมาธิ จากสมาธิก็เข้าสู่วิปัสสนา เข้าสู่ปัญญา เพื่อไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ ที่เกิดจากการยึดติดกับสิ่งต่างๆ จึงไม่ควรไปกังวลกับการทำทานให้มากจนเกินไป
 
มีคนมาเล่าให้ฟังว่าเวลาไปกราบหลวงตา เห็นคนถวายทองกัน แต่ตนเองไม่มีปัญญาที่จะถวาย ก็น้อยอกน้อยใจ เราก็บอกเขาว่า ไม่ต้องน้อยใจหรอก ทำไปตามฐานะของเรา ถ้ามีก็ทำไป ถ้าไม่มีก็ควรทำบุญที่สูงกว่าที่ดีกว่า เช่นการรักษาศีล เขาบอกว่ารักษาศีลไม่ได้ เพราะพยายามทำงานหาเงินมาทำบุญ แสดงว่ายังติดอยู่กับการให้ทาน ก็เลยไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ธรรมที่สูงกว่าการให้ทานได้ ให้ตามฐานะของเรา มีมากน้อยเพียงไรก็ให้ไป เพราะเราทำเพื่อไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ไม่ต้องกลัวว่าจะกลับมาไม่รวย ถ้ากลับมารวยกลับไม่ดี รวยแล้วปล่อยยาก ปลงยาก ออกปฏิบัติยาก จะติดไปอีกนาน ถ้าเกิดมาแล้วจนจะดีกว่า ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ยากจนทั้งนั้น เป็นลูกชาวนาชาวไร่ ไม่มีเงินมีทองเหมือนพวกเรา จึงออกบวชกันได้ง่าย ปฏิบัติกันได้ง่าย พวกเราเกิดบนกองเงินกองทองกัน สุขสบายกัน พอจะไปอยู่วัดถือศีล ๘ ก็ทำไม่ได้ ไม่มีแอร์ ไม่มีอาหารเย็นรับประทาน ไม่มีฟูกนอน ก็เลยติดอยู่กับการทำทาน รักษาศีลได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ารักษาได้มากก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์บ่อย ถ้ารักษาได้น้อยก็กลับมาไม่บ่อย ถ้าเกิดแล้วก็จะสบาย อย่างน้อยก็พอมีพอกิน ถ้าไม่เหลือกินเหลือใช้ เพราะชอบให้ทานกัน แต่ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ จะไปไม่ถึงไหน กี่ภพกี่ชาติ เจอพระพุทธเจ้ากี่องค์ ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เจอครูบาอาจารย์กี่องค์ก็ทำบุญกับท่านไป ทำบุญกับพระพุทธเจ้าไป ไม่ขยับขึ้นไปสู่การรักษาศีล สู่การภาวนา ไม่ดูท่านเป็นตัวอย่าง ท่านภาวนากัน มีศีลกัน เรากลับไม่คิดอย่างนั้น คิดเพียงว่าอยากจะทำบุญทำทานกับท่าน เพราะได้บุญเยอะ คิดเท่านั้นเอง
 
การทำบุญให้ทานเป็นการปลดเปลื้องความยึดติดกับเงินทอง ที่มีเกินความจำเป็น จะได้ไม่ทุกข์ วุ่นวายใจ เสียอกเสียใจ คนที่ทำบุญอยู่เป็นประจำเวลาเงินทองหายไป หมดเนื้อหมดตัว จะไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยให้ทานไม่เคยทำบุญ เวลาเงินหายไปสัก ๕ บาท ๑๐ บาทก็จะวุ่นวายใจ โกรธแค้นโกรธเคือง แต่ถ้าเคยทำอยู่เรื่อยๆ ก็จะคิดว่าเป็นการทำบุญทำทานไป ไม่ต้องเสียเวลาไปวัด มีคนมารับบริจาคถึงบ้านเลย เพราะไม่ได้อาศัยเงินก้อนนี้อยู่แล้ว จึงอย่าไปกังวลกับเรื่องการทำบุญให้ทาน มีก็ทำไป มีมากก็ควรทำมาก มีน้อยก็ทำน้อย ทำไปตามกำลัง แต่อย่าไปหาเงินหาทองมาทำบุญทำทาน ทำมาหากินไป ถ้าเป็นวาสนาของเราเกิดรวยขึ้นมา ก็เอาไปทำบุญได้ แต่ถ้าไม่รวย ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็ต้องอยู่ไปตามอัตภาพ มารักษาศีลกัน มาภาวนา มาเจริญสติกัน เราสามารถเจริญสติได้ทุกเวลาทุกสถานที่ ไม่ต้องไปวัดก็เจริญได้ เช้าตื่นขึ้นมาก่อนจะลุกจากเตียง ก็ควรตั้งสติก่อน ทำความรู้ว่าจะทำอะไรต่อไป เฝ้าดูกับการกระทำ อย่าไปคิดอะไร พอลุกขึ้นมาจะเดินเข้าห้องน้ำ จิตก็แนบติดไปกับร่างกาย จิตเป็นเหมือนยาม ร่างกายเป็นเหมือนนักโทษ จิตต้องคอยเฝ้านักโทษไว้ นักโทษจะไปห้องน้ำก็ต้องไปกับนักโทษ นักโทษจะดื่มก็ต้องดื่มกับนักโทษ ร่างกายจะทำอะไรก็ให้จิตติดไปด้วย ต่อไปจะมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา พอจะให้อยู่กับพุทโธๆก็จะอยู่ จะไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้ามีความจำเป็นต้องคิดอะไร ก็หยุดทำอย่างอื่นไปก่อน นั่งลงก็ได้ ยืนเฉยๆก็ได้ แล้วก็พิจารณาคิดไปให้พอ ว่าวันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง เมื่อคิดเรียบร้อยแล้ว ก็หยุดคิด แล้วกลับมาทำต่อไป ถ้าต้องแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมตัวออกจากบ้าน ก็อยู่กับการแต่งเนื้อแต่งตัว พอออกจากบ้านก็มีสติอยู่กับการออกจากบ้าน ล็อกประตูก็มีสติรู้ ถ้าไม่มีสติออกจากบ้านไปแล้ว มาคิดทีหลังว่าเมื่อสักครู่นี้ใส่กุญแจหรือเปล่า ก็ต้องกลับมาดู แสดงว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติจะไม่ต้องกลับมาดู จะมีความมั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นี่คือการฝึกสติ ที่เราสามารถทำได้ในชีวิตประจำวันของเรา
 
ถ้ามีเวลาว่างขณะอยู่ที่ทำงาน ช่วงหยุดพักกลางวัน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หามุมสงบนั่งกำหนดพุทโธๆ ดูลมหายใจเข้าออกไป ก็ได้ภาวนาแล้ว ถ้าภาวนาเป็นแล้ว ทำอะไรที่ไหนก็สามารถภาวนาควบไปด้วยได้ มีโยมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เวลาทำงานเขาก็ทำอย่างนี้ มีสติอยู่กับการกระทำ เวลาเดินไปไหนมาไหนก็คิดว่าเหมือนกับเดินจงกรม มีสติอยู่กับการเดิน หรือบริกรรมพุทโธๆควบคู่ไปกับการเดิน แทนที่จะไปคิดเรื่องคนนั้นเรื่องคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตก็มีความสงบอยู่ตลอด ถึงแม้จะไม่สงบแบบรวมลง แต่ก็ไม่ฟุ้งซ่าน มีความหนักแน่น มีความสงบ มีเหตุมีผล ไม่ค่อยมีอารมณ์ต่างๆ ความโลภโมโทสันจะเบาบางลงไป เวลาสัมผัสอะไร ได้ยินหรือเห็นอะไร ก็จะไม่เกิดความโมโหโทโส เกิดความหงุดหงิดใจ เพราะจิตมีสติคอยคุมอยู่ แต่ถ้าไม่มีสติแล้วจะเป็นเหมือนนุ่น เวลาลมเบาๆพัดมาก็จะปลิวตามลมไป ใครพูดอะไรนิดหนึ่งก็ไปแล้ว เสียใจ โกรธ ดีอกดีใจ ไปตามอารมณ์ แต่ถ้ามีสติแล้วจะมีเหตุมีผล ถ้ารู้จักเจริญปัญญาจะยิ่งหนักแน่น จะไม่เกิดอารมณ์ ถึงแม้จะเป็นคำดุด่าว่ากล่าวก็ตาม จะฟังที่เหตุผล ว่าเป็นความจริงไหม ถ้าสิ่งที่เขาตำหนิเป็นความจริง เราก็ต้องขอบอกขอบใจเขา เพราะเป็นเหมือนผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา เป็นเหมือนกระจกส่องหน้า จะรู้ว่าหน้าตาเราเรียบร้อยหรือไม่ ก็ต้องอาศัยกระจก ถ้าแต่งหน้าโดยไม่มีกระจก จะไม่มั่นใจ ถ้าเขาบอกว่าทาคิ้วทาปากได้ไม่ดี มันเบี้ยวมันเลอะเทอะ เราไม่ควรโกรธเขา ควรไปส่องกระจกดู ถ้าเป็นตามที่เขาบอก ก็น่าจะขอบคุณเขา ถ้าเขาว่าเราขี้เกียจ เห็นแก่ตัว มักง่าย ซื่อบื้อ ก็อย่าไปโกรธเขา หันมาพิจารณาดูตัวเราก่อน ว่าเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่ ถ้าเป็นเราจะได้แก้ไข เพราะเมื่อแก้ไขแล้ว ใครเล่าจะได้รับประโยชน์ ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง คนที่ตำหนิเราไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่เป็นความจริง เราก็รู้ว่าเขาตาบอด พูดด้วยอารมณ์ พูดด้วยความโกรธความเกลียด ก็ไม่เห็นจะต้องไปฟังเลย ในเมื่อเราไม่ได้ซื่อบื้อ ไม่มักง่าย ไม่เกียจคร้านอย่างที่เขาพูด ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
 
เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ก็อยู่อย่างนี้ จะไม่กลัวท่าน ท่านจะพูดอะไรก็จะตั้งใจฟัง แต่คนส่วนใหญ่มักจะชอบให้ท่านรัก ให้ท่านเมตตา พอท่านด่าเข้า ก็ว่าท่านไม่เมตตาแล้ว แต่ความจริงท่านเมตตา ถึงได้ว่าเรา ถ้าไม่ว่าแสดงว่าไม่เมตตา เห็นเราทำผิดแล้วไม่ช่วยแก้ไข ไม่ช่วยตักเตือน ถ้าอยากจะปฏิบัติธรรม อยากจะมีครูบาอาจารย์ ก็ต้องกล้าหาญอดทน มีสติ มีปัญญา ครูบาอาจารย์จะดุด่าว่ากล่าวอย่างไร เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปมีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิน ให้นิ่งเหมือนหินเลย ฟังอย่างเดียว แล้วก็เอาไปพิจารณา ถ้าสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง ก็ต้องรีบแก้ไข อย่าให้ท่านว่าท่านสอนซ้ำได้เป็นดี เพราะถ้าต้องว่าซ้ำ ๒ ซ้ำ ๓ แล้ว แสดงว่าเราไม่ได้เรื่อง สั่งสอนอยาก ว่านอนสอนยาก โอกาสที่จะเจริญจะพัฒนาก็จะยาก เพราะยังมีทิฐิ ถ้าไม่มีทิฐิก็โง่จนไม่สามารถมองเห็นความผิดของตน แล้วนำเอาไปแก้ไขปรับปรุงได้ ถ้ามีสติมีปัญญาแล้ว การดำเนินชีวิตของเราจะเป็นประโยชน์ทางด้านธรรมะตลอดเวลา จะไม่สนใจกับคำสรรเสริญเยินยอ จะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะถ้าจริงเราก็เป็นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกเราว่า เราดีอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้ เราก็รู้อยู่แล้ว ถ้าไม่จริง มันก็ไม่ได้ทำให้เราวิเศษขึ้นมา คำสรรเสริญเยินยอสำหรับนักปราชญ์ สำหรับคนที่มีสติปัญญาแล้ว จะไม่มีความหมายอะไร ในสังคมของนักปราชญ์จึงไม่ค่อยชมกัน มีแต่สังคมของคนโง่ที่ชอบชมกัน ยกย่องสรรเสริญกัน ให้รางวัลกัน ทั้งๆที่สงสัยกันว่าได้รางวัลได้อย่างไร จึงขอสรุปว่า ให้พยายามฝึกตั้งสติไว้ให้ดี เพราะเมื่อมีสติแล้วจะพาไปสู่การกระทำที่ดี จะรักษาศีลได้ดีขึ้น จะมีสมาธิ มีปัญญา จะคิดด้วยเหตุด้วยผล จะหลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆที่เราสร้างขึ้นมา ทำไมคนอื่นเขาไม่ทุกข์แต่เราทุกข์ ครูบาอาจารย์ท่านไม่ทุกข์ แต่เราทุกข์ อยู่ในโลกเดียวกัน เจออะไรก็เจอแบบเดียวกัน ท่านไม่ทุกข์แต่เราทุกข์ เพราะเราโง่ ชอบสร้างความทุกข์ให้กับตัวเรา ท่านฉลาด มีสติ มีปัญญา มีสมาธิ จึงไม่สร้างความทุกข์ สร้างแต่ความสุข ด้วยการปล่อยวาง จึงต้องพยายามฝึกเจริญสติอยู่เรื่อยๆ เจริญได้ทุกขณะ ทุกเวลา ทุกสถานที่



 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 



Create Date : 17 กรกฎาคม 2566
Last Update : 17 กรกฎาคม 2566 8:39:09 น. 20 comments
Counter : 576 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณปรศุราม, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณปัญญา Dh, คุณtoor36, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณกะว่าก๋า, คุณหอมกร, คุณkae+aoe, คุณhaiku, คุณeternalyrs, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณSweet_pills, คุณเนินน้ำ, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณดอยสะเก็ด, คุณLittleMissLuna, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณตะลีกีปัส, คุณNENE77, คุณnewyorknurse, คุณJohnV


 
สวัสดียามสายค่ะ คุณเอ็มพี

วันนี้ขอให้เป็นวันที่ดีนะคะ


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 17 กรกฎาคม 2566 เวลา:11:06:12 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 17 กรกฎาคม 2566 เวลา:11:22:13 น.  

 
สวัสดีคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 17 กรกฎาคม 2566 เวลา:13:02:41 น.  

 
สวัสดีครับ คุณ mp5


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 17 กรกฎาคม 2566 เวลา:21:30:58 น.  

 
เอาจริงๆ ถ้าหลุดพ้นได้จะดีกว่า เพราะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่ต้องกังวลด้วยว่าจะเกิดเป็นสัตว์ หรือเป็นอะไร แต่ก็ยากอยู่ดีครับ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2566 เวลา:22:33:23 น.  

 
สาธุ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 17 กรกฎาคม 2566 เวลา:23:26:52 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 กรกฎาคม 2566 เวลา:4:58:50 น.  

 
เห็นรูปพระที่ไรได้ความสงบใจจริงๆ
อนุโมทนาบุญวันพระเมื่อวานจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 18 กรกฎาคม 2566 เวลา:6:49:45 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม
ธรรมะวันนี้ เด่นสุด คือ ว่าด้วยเรื่อง สติ เนาะ
เรื่อง สติ เป็นเรื่อง ยากในชีวิตประจำวันทีเดียวนะ
เรามักสติหลุด เมื่อเจอเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำ
วัน บางครั้งเจอเรื่องร้าย ๆ อาจจะสติหลุดก็ได้
ใครที่สามารถควบคุมสติได้ ย่อมได้ประโยชน์มาก
ที่สุด จ้ะ เรื่องเหล่านี้ ก็ต้องฝึก ควบคุม อยู่บ่อย ๆ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 18 กรกฎาคม 2566 เวลา:14:36:04 น.  

 


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 กรกฎาคม 2566 เวลา:14:49:11 น.  

 


สาธุค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:0:59:19 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:5:23:17 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:10:01:55 น.  

 
สวัสดีตอนเที่ยงค่า คุณเอ็มพี


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:12:29:04 น.  

 
สวัสดีครับคุณ**mp5**

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมบล็อกและส่งกำลังใจให้เช่นกันนะครับ


โดย: มาช้ายังดีกว่าไม่มา วันที่: 20 กรกฎาคม 2566 เวลา:12:03:38 น.  

 
อนุโมทนาบุญครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 20 กรกฎาคม 2566 เวลา:14:23:06 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะ

สาธุค่ะ


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 20 กรกฎาคม 2566 เวลา:14:44:41 น.  

 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 20 กรกฎาคม 2566 เวลา:20:55:24 น.  

 
meclizine 25 mg dosage for vertigo //meclizinex.com/# meclizine 25 mg dosing frequency


โดย: meclison gotas dosis IP: 37.139.53.22 วันที่: 25 กรกฎาคม 2566 เวลา:3:21:07 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2566 เวลา:5:23:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.