พุทธทาสภิกขุ เชื่อว่าหากเราเข้าใจสัจธรรมของโลกแล้วก็จะเห็นว่า
ความจริงมีอยู่หนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม
อย่างไรก็ตามการค้นหาความจริงในแนวทางของพุทธทาสภิกขุผู้
ประกาศตนว่าเป็นทาสของพระพุทธเจ้าก็เป็นไปในวิถีพุทธ
แนวคิดหลักของท่านพุทธทาสคือ "จิตว่าง" หรือความว่างจากความมี
ตัวตนและความเป็นเจ้าของในที่นี้ ท่านไม่ได้หมายความว่าจิตว่างหมาย
ถึงการไม่คิด หรือไม่รู้สึกอะไรแต่คือการคิดและรู้สึก แล้วก็ทิ้งไว้เฉยๆ
ไม่ย้ำคิดย้ำทำนับเอามันมาเป็นภาระหรือประกอบเป็นตัวตนของเรา
แค่เห็นมันเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับมัน
พุทธทาสภิกขุเห็นต่างจากพุทธศาสนากระแสหลักของไทยในเวลานั้น
ว่าการบรรลุธรรมต้องอาศัยบุญบารมีหลายชาติหรือต้องทำบุญด้วยการ
ประกอบพิธีกรรมแต่เห็นว่าการบรรลุธรรมนั้นสามารถทำได้เดี๋ยวนี้ ทำได้
ที่ใจ โดยไม่ต้องบวชก็ได้แต่ผ่านการปฏิบัติในชีวิตประจำวันโดยการฝึก
จิตไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นกับทุกสิ่งที่ไม่แน่นอนและนำพาความทุกข์ต่างๆ
เข้ามา ซึ่งรวมทั้งบุญกรรม และพิธีกรรมแบบพุทธเองก็ด้วย
การศึกษาพุทธศาสนาในมุมมองนี้เรียกว่า "โลกุตรธรรม" คือไม่ได้
เป็นธรรมะที่เกี่ยวข้องกับการทำยังไงให้รวยการดูแลคนรัก หรือการแก้
กรรม (เรียกว่าโลกียธรรม)แต่มีการกำหนดเป้าหมายเป็นนามธรรม คือ
มุ่งเน้นการบรรลุนิพพานหรือหยุดการเวียนว่ายตายเกิดที่พุทธศาสนาเชื่อ
ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและทำให้เราเป็นทุกข์ อย่างไรก็ตาม พุทธทาส
ภิกขุพยายามทำให้โลกุตรธรรมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่น การทำ
จิตว่างเวลาทำงานทำให้ทำงานต่อไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่สับสน
เคร่งเครียดและก็ได้ปฏิบัติธรรมไปด้วย หรือธรรมะคือการอยู่กับ
ธรรมชาติกลืนไปกับความเป็นไปของธรรมชาติ เป็นต้นคือให้เปลี่ยนวิถี
ชีวิตประจำวันเป็นการปฏิบัติธรรมก็ได้ ทำให้ชนชั้นกลางและผู้มีภาระ
หน้าที่ในชีวิตประจำวันที่ไม่อาจะละทิ้งทั้งการงานและภาระทางจิต
วิญญาณหันมาให้ความสนใจเป็นอันมากจนทำให้การอธิบายธรรมะของ
พุทธทาสภิกขุแตกสายออกไปอย่างหลากหลายถูกผูกโยงกับแนวคิด
อื่นๆ อีกมากมาย ทั้งในไทยและทั่วโลก
....................................................