ยารักษาใจ 3

ในขณะใดเวลาใด ถ้าเกิดมีปัญญาขึ้นมาแล้วปลงได้ ในขณะนั้นจิตจะเย็นลงทันที จะสงบตัวลง จะนิ่ง จากความวุ่นวายสับสนอลหม่าน หาที่ยึดหาที่เกาะไม่ได้ ว่าจะทำอย่างไรกับความตายที่กำลังมารออยู่ พอทำความเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของร่างกาย ที่จะต้องแตกจะต้องดับไป เป็นเรื่องปกติ ยอมรับความจริงนี้ แล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามความจริง ไม่ฝืนไม่วุ่นวายกับการไปหาหยูกหายาหาหมอมาแก้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นแหละ ถ้าปล่อยได้จริงๆแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ความสงบ แล้วจะรู้สึกสบาย เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก เมื่อสักครู่นี้ความอยากจะอยู่ ทำให้ทุกข์ทรมานแทบเป็นแทบตาย พอตัดความอยากอยู่ได้เท่านั้นเอง ยอมตายเท่านั้นเอง จิตก็ปล่อย พอปล่อยแล้วมันก็สงบ ก็เหมือนกับเวลาเรานั่งสมาธิ ตอนต้นก็ไม่สงบ เพราะจิตยังยึดยังติดอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กับเรื่องราวต่างๆ เวลานั่งพุทโธๆๆไป ก็จะแวบไปหาเรื่องนั้นหาเรื่องนี้ นั่นแสดงว่ามันยังไม่ปล่อย แต่ถ้ามีสติควบคุมบังคับให้อยู่กับพุทโธๆๆไปได้อย่างต่อเนื่อง จนไม่มีโอกาสที่จะไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆได้ มันก็ต้องปล่อยชั่วคราว ไม่ได้ปล่อยด้วยปัญญา แต่ปล่อยด้วยกำลังของพุทธานุสติ การบริกรรมพุทโธๆๆอย่างต่อเนื่อง เป็นอุบายของสมาธิ ที่จะดึงจิตดึงใจให้ออกจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ออกจากเรื่องราวต่างๆ ถ้าแรงที่จะดึงเข้ามีมากกว่าแรงที่จะดึงออกไป ก็จะทำให้จิตสงบ จิตจะรวมตัวลง ขณะนั้นมันก็สงบนิ่งเย็นสบาย แต่จะสงบได้ไม่นาน อาจจะนานสำหรับบางคน อาจจะไม่นานสำหรับบางคน แล้วก็จะออกมา พอออกมาก็เหมือนกับออกจากห้องแอร์ที่เย็นเฉียบไปสัมผัสกับความร้อนที่อยู่ข้างนอก เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จิตใจดวงนี้สามารถพลิกจากร้อนมาเย็นได้ จากเย็นไปร้อนได้ อยู่ที่เราจะควบคุมบังคับให้อยู่ส่วนไหนเท่านั้นเอง เมื่อเรารู้แล้วว่าวิธีการที่จะทำให้จิตของเราสงบ ก็คือการทำสมาธิ การปลีกวิเวก การหาที่สงบที่สงัด การหนีจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ เราก็ต้องมีความบากบั่น มีความอุตสาหะ มีความขวนขวาย มีความพากเพียรที่จะแสวงหาความสุขอย่างนี้ ถ้าลองได้สัมผัสเพียงครั้งเดียวแล้ว เราจะมีกำลังจิตกำลังใจ เรารู้แล้วว่าผลที่เราจะได้รับจากการเสียสละนั้น มันคุ้มค่ากัน เหมือนกับคนที่ซื้อลอตเตอรี่ แม้จะไม่เคยถูกเลย แต่ก็ยังซื้ออยู่เรื่อยๆ เพราะรู้ว่าถ้าถูกขึ้นมาสักครั้งหนึ่งมันคุ้มค่า เสียแค่ ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท ได้มาเป็นล้านอย่างนี้ ทำไมจะไม่คุ้มค่า ฉันใดพวกเราก็เหมือนกัน เราเพียงเสียสละด้วยการไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้ไปดูหนังฟังเพลง ไม่ได้ไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง แต่ไปอยู่วัดสัก ๒ - ๓ วัน แล้วทำจิตใจให้สงบได้ ทำไมจะไม่คุ้มค่า ถ้าสงบได้จริงๆแล้วรับรองได้ว่าจะไปวัดอยู่เรื่อยๆ จะไปปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อยๆ ที่ไปแล้วไม่ได้ผล จึงไม่ค่อยอยากจะกลับไป ไปแล้วทรมาน เพราะต้องฝืนจิตฝืนใจมาก ฝืนกิเลสที่ชอบดูหนังฟังเพลง ชอบกินอาหารอย่างโน้นอย่างนี้ ชอบนอนที่สุขที่สบาย จึงเป็นการทรมานจิตใจ แต่ถ้าทำจนได้ผลแล้ว เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยไป เพราะว่าผลที่ได้รับจากการทำจิตใจให้สงบนี้ มันเหนือสิ่งอื่นๆ เหนือความสุขอื่นๆที่เราได้สัมผัสมา ความสุขที่ได้ไปเที่ยว ไปดูหนังฟังเพลง ไปรับประทานอาหาร ไปดื่ม เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้จากความสงบของจิตใจแล้ว มันห่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความทุกข์ทรมาน ความลำบาก อดทนอดกลั้นต่างๆ จะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตเลย มันคุ้มค่า ก็เหมือนกับคนที่ซื้อลอตเตอรี่อยู่ทุกงวด ซื้อมากี่ปีไม่เคยถูกก็ยังมีกำลังจิตกำลังใจที่จะซื้อต่อไป ฉันใดการปฏิบัติธรรมก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ขอให้มองว่ามันก็เหมือนกับการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เพียงแต่ยังไม่ถูก แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ยังมีกำลังจิตกำลังใจที่จะบากบั่นไปปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ไปที่วัดก็ปฏิบัติที่บ้านไปก่อนก็ยังดี อย่าไปรอโอกาสรอจังหวะ เพราะมันอาจจะไม่มี ชีวิตของเรามีเรื่องวุ่นวายมาก มีธุระภารกิจต่างๆมาก ถ้าเราไม่ให้เวลากับการปฏิบัติธรรม เราก็จะไม่มีเวลาปฏิบัติ แต่ถ้าเรามองมันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเรา เป็นเพื่อนในยามยากจริงๆ เวลาที่เราตกทุกข์ได้ยากเปล่าเปลี่ยวใจ เราก็จะมีเวลาให้กับการปฏิบัติธรรม ถ้ามีธรรมะแล้วจะไม่มีความรู้สึกว้าเหว่ ไม่รู้สึกว่าไม่มีเพื่อนไม่มีสรณะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเวลาตายไม่เคยคิดถึงใคร ไม่เคยคิดว่าทำไมคนนั้นไม่มาเยี่ยมเรา คนนี้ไม่มาหาเรา ไม่เคยคิด เพราะมีที่พึ่งอยู่ภายในใจแล้ว คือความสงบ พอสงบแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น มันนิ่งอยู่จะไปคิดอะไรได้ ที่คิดก็เพราะมันไม่สงบ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งวุ่นวายใจไปใหญ่ ยิ่งทำให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยทรุดลงไปใหญ่ แต่ถ้าจิตสงบแล้วปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน บางทีมันก็หายของมันเอง โรคบางอย่างเกิดจากการที่ไม่ได้รับการพักผ่อนพอเพียงเท่านั้นเอง ถ้าได้รับการพักผ่อนพอเพียงแล้ว ถึงเวลามันก็ฟื้นขึ้นมาได้ นี่ก็คือเรื่องของธรรมโอสถ สรณะที่พึ่งที่เราควรให้ความสนใจ รีบขวนขวายสร้างขึ้นมา เหมือนกับมียาเตรียมไว้ในบ้าน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้หยิบมารักษาได้ทันท่วงที ไม่ใช่เวลาสบายก็ไม่สนใจที่จะหาหยูกหายามาเตรียมไว้ พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ไม่มียามารักษา ฉันใดธรรมโอสถก็เป็นเหมือนยารักษาใจ ถ้ามีแล้วจะมียาคอยดูแลรักษาโรคใจโรคจิตของเรา ไม่ให้กำเริบ ไม่ให้สร้างความทุกข์ให้กับเรา ถ้าใจไม่มีความทุกข์แล้ว ก็จะไม่มีอะไรเป็นปัญหากับเรา อะไรในโลกนี้จะเป็นอย่างไร ก็เป็นไปตามเรื่องของมัน โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ดั้งเดิม และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคต มีการเกิด มีการดับไปเป็นธรรมดา โลกนี้ก็ไม่ได้อยู่อย่างนี้ไปตลอด สักวันหนึ่งก็คงจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆไป แล้วก็มีโลกใหม่ปรากฏขึ้นมาแทน ดวงจิตนี้สามารถไปได้ทุกแห่งทุกหนในจักรวาล กระแสจิตนี้ไปเร็วยิ่งกว่าจรวดอีก เวลาจะไปเกิดที่ภพไหนภูมิไหนโลกไหน ก็ไปได้ทันที จึงไม่ต้องไปกังวล เรื่องโลกภายนอกนั้นมันไม่มีอะไรที่เราควรไปยินดี ควรมองว่ามันเป็นเหมือนกองไฟมากกว่า เราอย่าเป็นแบบแมลงเม่า เห็นกองไฟแล้วเกิดอาการดีอกดีใจ แมลงเม่านี่มันชอบแสงไฟ แต่มันไม่รู้ว่าไฟนี้มีความร้อนอยู่ด้วย พอเห็นแสงไฟมันก็บินเข้าไปหา มันก็ถูกความร้อนเผาผลาญไป ฉันใดจิตของพวกเราที่ยังมีความอยากอยู่ก็เป็นเหมือนแมลงเม่า มันอยากในกาม ที่ไหนมีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะ มันก็จะวิ่งเข้าหา แต่มันไม่เคยเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ซ่อนอยู่ ก็เลยต้องไปทุกข์กับสิ่งต่างๆเหล่านั้น เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็จะต้องทุกข์กัน แบบที่เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ จะทุกข์มากทุกข์น้อยก็ขึ้นอยู่กับธรรมะที่มีอยู่ในใจของเรา ถ้ามีธรรมะมากทุกข์ก็น้อย ถ้ามีธรรมะน้อยทุกข์ก็มาก จึงควรสร้างธรรมะให้มากด้วยการเข้าหาพระศาสนา หาครูบาอาจารย์ หาหนังสือธรรมะอ่านกัน ศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วพยายามนำเอาไปปฏิบัติ ต้องฝืนต้องบังคับ จะให้ปฏิบัติด้วยความพออกพอใจ เหมือนกับการไปดูหนังฟังเพลงนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะมันตรงกันข้าม เหมือนกับคนที่ถนัดมือขวา แล้วอยู่ๆจะให้มาใช้มือซ้ายด้วยความพอใจนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องบังคับใช้มือซ้าย เช่นสมมุติว่าแขนขวาเราขาดไปใช้งานไม่ได้ เราก็ต้องใช้มือซ้ายแทน เราก็ใช้มันได้ เราฝืนบังคับใช้มันไป หัดใช้ไปสักระยะ ต่อไปเราก็ใช้มันได้ ฉันใดการที่เราจะหาความสุขจากความสงบมันก็เป็นการฝืน เพราะส่วนใหญ่เราจะหาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกัน เวลาไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกันนี้ แทบไม่ต้องชวนกันเลย เพียงแต่นัดกันเท่านั้นเองให้รู้เวลาก็ไปแล้ว แต่เรื่องไปปฏิบัติธรรมกันนี้ อาจจะต้องนัดกันเป็นเวลาหลายเดือน นัดกันหลายครั้งหลายหนกว่าจะไปกันได้ เราจึงต้องกำหนดเวลาขึ้นมาในเรื่องของการศึกษาปฏิบัติธรรม ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัย ตามความพอใจแล้ว ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นก็ตามนิสัยเดิมที่มีอยู่ ถ้าเคยสะสมมาทางนี้มากหน่อย ก็อาจจะปฏิบัติ ศึกษามากหน่อย เข้าหาธรรมะมากหน่อย แต่ถ้าไม่เคยมีนิสัยมาทางนี้เลยก็ยาก ต้องอาศัยเพื่อนฝูงพาไปบ้าง เพียรไปเองบ้าง อาศัยการบังคับจิตใจ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เหมือนกับคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่อยากจะหายจากโรค แต่ไม่ชอบกินยา ก็ต้องบังคับตัวเองให้กินยา ถ้าไม่บังคับไม่กินยา ก็จะไม่หาย ฉันใดธรรมะก็เป็นเหมือนยา ถ้าอยากจะให้จิตใจมีความมั่นคง มีความสบาย มีความสุข ก็ต้องกินยาคือธรรมโอสถนี้ ต้องบังคับ พยายามดึงตัวเราให้เข้าหาศาสนาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่วนงานทางโลก เรื่องเที่ยว เรื่องกิน เรื่องดื่ม ก็พยายามตัดมันไป ให้น้อยลงไปๆ ทำเท่าที่จำเป็น อันไหนที่ไม่จำเป็นก็ตัดไป แลกเปลี่ยนกัน แทนที่จะไปดูหนังฟังเพลงก็ไปฟังธรรมะ ไปดูหนังสือธรรมะ ไปนั่งสมาธิ ที่ไหนก็ได้ ในบ้านเราก็ได้ ที่ไหนสะดวกที่เราทำได้ ก็ทำไป พยายามทำไปเรื่อยๆแล้วจะง่ายขึ้นไปเอง ยิ่งทำมากเท่าไรก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปเรื่อยๆ จนต่อไปจะกลายเป็นความสบาย เป็นความถนัดไป วันไหนถ้าไม่ได้ทำแล้วรู้สึกว่าขาดอะไรไป ถ้าเข้าถึงขั้นนั้นแล้ว การปฏิบัติของเราก็จะเป็นไปอย่างง่ายดาย ถ้ายังอยู่ในขั้นที่ต้องต่อสู้ ต้องพยายามฝืน พยายามอดทน พยายามบังคับไปเรื่อยๆ อย่าท้อแท้ ไม่มีอะไรในโลกนี้จะสำคัญเท่ากับงานสร้างธรรมะ ให้เกิดขึ้นภายในจิตในใจของเรา เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา สิ่งอื่นๆในโลกนี้ไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่ที่พึ่งของเรา ต่อให้มีมากน้อยพียงไร ถึงเวลาที่ใจเราทุกข์แล้ว สิ่งเหล่านี้มาดับทุกข์ให้กับเราไม่ได้ จึงอยากให้ท่านทั้งหลายจงเห็นความสำคัญของธรรมะ แล้วก็พยายามศึกษาและปฏิบัติเท่าที่จะทำได้ การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ต้องขอยุติไว้เพียงเท่านี้
จบเทศนายารักษาใจ
......................................................
ขอขอบคุณที่มาจาก : เว็บ พระธรรมเทศนา
Create Date : 08 ธันวาคม 2565 |
Last Update : 8 ธันวาคม 2565 9:18:24 น. |
|
19 comments
|
Counter : 489 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณtoor36, คุณปรศุราม, คุณThe Kop Civil, คุณปัญญา Dh, คุณทนายอ้วน, คุณSleepless Sea, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณอุ้มสี, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณหอมกร, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณร่มไม้เย็น, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณRain_sk, คุณkae+aoe, คุณeternalyrs, คุณดอยสะเก็ด, คุณกะว่าก๋า, คุณกิ่งฟ้า, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณเนินน้ำ, คุณnonnoiGiwGiw, คุณnoinoi42, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณJohnV |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 8 ธันวาคม 2565 เวลา:11:09:35 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 8 ธันวาคม 2565 เวลา:14:25:05 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 8 ธันวาคม 2565 เวลา:22:12:51 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 8 ธันวาคม 2565 เวลา:23:22:12 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 9 ธันวาคม 2565 เวลา:9:28:44 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 10 ธันวาคม 2565 เวลา:0:45:20 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 10 ธันวาคม 2565 เวลา:18:16:54 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 ธันวาคม 2565 เวลา:19:34:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 ธันวาคม 2565 เวลา:4:40:38 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 14 ธันวาคม 2565 เวลา:1:11:17 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 14 ธันวาคม 2565 เวลา:13:49:27 น. |
|
|
|
โดย: เดหลีสีแดง (noinoi42 ) วันที่: 14 ธันวาคม 2565 เวลา:14:22:12 น. |
|
|
|
|
|