เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ออกแถลงการณ์ว่า จากกกรณีที่มีการชุมนุมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. . . . . ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่กระทำภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่หลังจากรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคพลังชล ได้มีมติร่วมกันถอนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 6 ฉบับ ออกจากวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เพื่อแสดงความจริงใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ประสงค์จะให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีหลักการทำนองนี้อีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นร่างฉบับใดก็ตาม
ส่วนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับที่เป็นปัญหาโต้แย้งคัดค้านอยู่ในขณะนี้ ตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถถอนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวออกจากการพิจารณาของวุฒิสภาได้ จำต้องให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
และหากวุฒิสภามีมติยับยั้งและส่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้คืนมายังสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลจึงขอแสดงเจตนาร่วมกันในสัตยาบันเป็นสัญญาประชาคมต่อประชาชนว่า พรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรหยิบยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นพิจารณาอีก ดังนี้ ย่อมทำให้ต้นเหตุ อันเป็นที่มาของการชุมนุมคัดค้านดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้ว
จากสถานการณ์ในปัจจุบันแทนที่การชุมนุมดังกล่าวจะได้ยุติลง แต่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมกลับไม่ยอมรับการดำเนินการของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลดังกล่าว ยังไม่ยอมยุติการชุมนุมและได้ยกระดับการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล โดยมีกลุ่มทุนสนับสนุนการชุมนุมอยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและขยายความวิตกกังวลในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วประเทศว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองอย่างยืดเยื้อยาวนาน
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะบัญญัติรับรองให้บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ รัฐจะจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมมิได้ แต่หากการชุมนุมนั้นทำให้ประชาชนหรือผู้ใดได้รับความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร รัฐธรรมนูญได้บัญญัติยกเว้นไว้ในทำนองให้จำกัดเสรีภาพในการชุมนุมนั้นได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนและผู้ได้รับความเดือดร้อน หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นมีลักษณะกีดขวางการใช้เส้นทางคมนาคมและการใช้ยานพาหนะของประชาชนโดยทั่วไป ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่สำคัญ เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตปกติสุขของประชาชน เป็นการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของประชาชนที่ใช้ทางสาธารณะ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ซึ่งลักษณะดังกล่าวถือเป็นการกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมเกินกว่าขอบเขตของรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เพราะเป็นการกระทำในลักษณะเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนอันจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหน่วยงานหนึ่งที่มีภารกิจในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาที่สำคัญ โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ รู้สึกเป็นกังวลต่อการกระทำของกลุ่มแกนนำและกลุ่มทุนดังกล่าว ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เมื่อมีการยกระดับการชุมนุมต่อเนื่องและขยายตัวมากขึ้นก็อาจเกิดความรุนแรง จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วจากเหตุการณ์ชุมนุมในอดีต ดังนั้น หากกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมและกลุ่มทุนที่สนับสนุนการชุมนุมยังคงยกระดับการชุมนุมต่อไป ก็จะเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนอันจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงแจ้งเตือนขอให้กลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมและกลุ่มทุนที่สนับสนุนการชุมนุมให้ยุติการชุมนุมดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งการกระทำความผิดอันร้ายแรงดังกล่าวซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์บ้านเมืองได้คลี่คลายลง และรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยกับการเคารพกฎหมายอันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความสงบสุขบนแผ่นดินไทย
จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
ดีเอสไอออกแถลงการณ์เตือนผู้ชุมนุม-กลุ่มทุนสนับสนุน กำลังกระทำผิดกม.ร้ายแรงต่อความมั่นคงแห่งรัฐ
................................