เรื่องราวแบบนี้นั่นแหละครับที่ผมว่าโครตโดนเลย การที่คนเราจะเล่าเรื่องอะไรให้สนุกนั้น มันจำเป็นต้องเล่าความจริงแบบตรงเป๊ะเลยไหม?
ลองคิดดูครับ ตอนที่เราเล่าเรื่องอะไรในกลุ่มเพื่อน กลุ่มที่ทำงาน หรือที่ไหนก็แล้วแต่ เราได้เติมแต่งสีแต่งรสชาดเรื่องราวนั้นไหม แน่นอนครับส่วนใหญ่แต่งเติมเข้าไป พวกเขาเติมเข้าไปไม่ใช่เพื่อจะโกหก บิดเบือนความจริงหรอก แต่พวกเขาเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มอรรถรถ ความสนุกของเรื่องนั้นๆ มันจริงแท้แน่นอนครับ
''ความจริง'' ยังไงมันก็คือ ''ความจริง'' แต่จะเล่า ''ความจริง'' นั้นให้น่าสนใจให้คนอยากฟัง มันก็ต้องอาศัยการเติมสี แต่งกลิ่นใช่ไหมครับ
หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน หนังเล่าความจริงของเรื่องราวพ่อ-ลูก ที่ไม่เคยลงลอยกันในแบบแฟนตาซี พวกเขาเจอปลายักษ์ในบ่อน้ำ แต่บางครั้งพวกเขาก็หามันไม่พบเพราะพวกเขาคิดว่ามันไม่จริง กลับกันถ้าพวกเขาคิดว่ามันมีอยู่จริงล่ะ ปลายักษ์ที่พ่อของเขาเล่าให้ฟัง
มันเคยเป็นนิทานที่สนุกใน ''วัยเด็ก'' แต่โตมากลับคิดว่านิทานเรื่องนั้น ''ไม่จริง'' ทั้งๆที่เคยชอบมัน
เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ผมกลับนึกถึงคำพูดของ "จินตนาการ" สำคัญกว่า "ความรู้" ผมไม่รู้ว่าทุกคนคิดเหมือนผมไหม แต่โลกเรามีทุกวันนี้ก็เพราะ ''จินตนาการ'' เพราะถ้าไม่มี ''จินตนาการ'' จะเอาอะไรมาก่อเกิดความรู้
บางเรื่องเราที่เป็นปัญหา บางครั้งทำให้เราซีเรียส ลองจินตนาการ แล้วเล่าออกมาให้มันเป็นเรื่อง ''สนุก'' เพราะบางครั้งเรานั่นแหละที่เป็นปลายักษ์ หรือแม้แต่ไดโนเสาร์ยักษ์ก็ได้อยู่ที่เราจะเล่ามัน
อยากแนะนำให้หามาดูนะครับ
คะแนนความชอบส่วนตัว 8.5/10