วันที่ไปเดินเล่นวันที่สองสามของทริป ฝนเลยตกพรำๆ
เวลาฟ้าเทาหม่น ฝนตกแปะๆ บวกกับอากาศเย็นเฉียบๆ
มันก็โรแมนติกดีเหมือนกันนะคะ
โดยเฉพาะเมื่อถูกโอบล้อมด้วยตึกเก่ากับสวนสวยๆกลางปารีส
วันนั้นพวกเราเดินไปถึงย่าน Les Halles ที่เค้าบอกว่า
ครั้งหนึ่งเคยเป็น "Belly of Paris" เพราะเคยเป็นตลาดใหญ่
แต่ด้วยเหตุผลทางสุขอนามัยหรืออะไรบางอย่าง
ตอนนี้ร้านพวกนั้นก็ย้ายออกไปนอกปารีสกันเกือบหมด
เหลือแต่เพียงชื่อที่ยังอยู่
เราไปแถวนั้นเพราะจะไปร้านขายพวกของทำงานฝีมือ La Droguerie
ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะซื้ออะไร (นี่แหละน่ากลัว)
แต่อยากจะไปดูหน่อยว่า ร้านขายของพวกงานฝีมือที่ฝรั่งเศส
อารมณ์ประมาณไหน
ปรากฏว่า เข้าแล้ว ออกไม่ได้
ไปติดอยู่แถวๆหลังร้านที่มีผ้าเนื้อดี ลายจุดๆ มัดเป็นม้วนเล็กๆ
ม้วนละ 4 ยูโรวางอยู่ในตะกร้านานเลย
มีทุกสีทั้ง แดง ชมพู ส้ม เขียว เหลือง ม่วง เทา น้ำตาล
แถมมีพวกผ้าลาย Liberty เต็มไปหมด
ผ้าของเค้าเนื้อละเอียดมากๆ เวลาจับแล้วมันบ๊างง บาง
บางกว่าผ้าคอตตอนที่เคยเห็นๆมาเยอะเลย
มือเรามันก็คว้าสองสามมัดมากำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เสร็จแล้วก็ย้ายมาตรงแผนกกระดุม
ที่นี่ใช้ระบบขายแบบเก่าคือ
มีพนักงานขายหนึ่งคนรับผิดชอบหนึ่งแผนก
แต่แผนกกระดุมดันคนรอซื้อเยอะ เป็นป้าๆน้าๆฝรั่งเศสสี่ห้าคน
แต่ละคนก็ใช้เวลาน๊าน นาน ส่วนคนขายก็ไม่รีบเลย(ฝรั่งเศสแท้)
เลยใช้เวลาเกือบครึ่งชั๋วโมงกว่าจะถึงตาเรา
กระดุมที่นี่มันก็มีน่ารักๆที่เราไม่เคยเห็นอยู่บ้าง
แต่ส่วนใหญ่เราว่า ก็เป็นแบบที่น่าจะหาได้ทั่วไป
แต่เนื่องจากเครียดเพราะต่อแถวนาน(มั๊ง)
พอถึงตาเรา เราเลยจิ้มๆๆใหญ่แบบลืมตัว
"เอานั้นนี้ค่ะ แล้วก็อันนั้น อันโน้นด้วย"
ซื้อเสร็จ คนหยิบก็เอาถุงไปวางให้ที่แคชเชียร์ข้างหน้ารอจ่ายตังค์
ไม่มีเวลาเปลี่ยนใจ หรือคิดซ้ำสองว่า อันนี้เอาดีไม่เอาดี
พอเสร็จจาก La Droguerie ก็พากันแวะดูเสื้อร้านข้างๆ
ตรงนั้นเหมือนเป็น headquarter ของร้าน Agnes b.
มีร้านเสื้อผู้หญิง เสื้อเด็ก และเสื้อผ้าผู้ชายอยู่เรียงกัน
แถมตรงทางเข้าเหมือนมีซากประตูสมัยเก่า (เข้าขั้นซากปรักหักพังแล้ว)ตั้งอยู่
มันสวยดี โรแมนติก
พวกเราใช้เวลาอยู่ตรงมุมถนนนั้นอยู่นานเหมือนกัน เพราะฝนพรำด้วย
เลยไปหน่อยมีร้านเบเกอรี่ (ที่นี่เค้าเรียกว่า boulangerie ใช่มั๊ย)
ที่มีพาสทรี่ย์น่ากินเพียบๆ
ลองนึก ขนมหวานฝรั่งที่เค้าชอบเคลือบด้วยน้ำตาลจนมันเงาสะท้อนแสงไฟในร้าน
แต่ก็ไม่มีเวลาเข้าไป เพราะเพิ่งกินข้าวเที่ยงมา
เราชอบบรรยากาศฝนตกแบบนี้
โดยเฉพาะมุมนั้นในวันนั้นของปารีส
ตรงข้ามร้านที่พวกเรายืนกันอยู่เป็นโบสถ์
เข้าๆออกๆร้านตรงนั้นนานจน ได้ยินโบสถ์ตีระฆังตอนเย็น
แล้วเดินเข้าไปที่ช้อปปิ้งใหญ่ the Forum ตามคำแนะนำของ
คนขายในร้านเสื้อผ้าเพื่อหาซื้อร่ม
เพิ่งรู้ว่า การหาซื้อร่มในปารีสนี่ยากจริงๆ ให้ตายสิ
ถ้าเป็นนิวยอร์ก แค่ฝนตกหยดเดียว
ก็มีคนเอาร่มมาเยือนเรียงขายตรงหัวมุมถนน รอเก็บเงินสบายใจเฉิบแล้ว
จะเอาแบบ 3 เหรียญ 5 เหรียญ 10 เหรียญ เลือกตามสบาย
วันนั้นเดินเข้าห้างก็ยังต้องวนหาอยู่นานมาก
กว่าจะไปเจอในร้านขาย accessories ของผู้หญิง
แล้วลองทายดูว่าได้ร่มแบบไหนมา
ร่มลายจุด! (เอาไว้นึกถึงวันฝนพรำวันนั้นในปารีส :)
- - -
ไปคราวนี้ เราหนีบไกด์บุ๊คญี่ปุ่นไปด้วยเล่มนึง
ตอนกลับมาบรรดาไกด์บุ๊คของเราตั้งตัวอยู่บนโต๊ะกินข้าวเป็นอาทิตย์
ไม่ยอมขยับไปไหน มีทั้งไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง
พร้อม โมนาลิซ่าบน museum pass สองอันที่ส่งสายตามาให้ทุกครั้งที่เราเหลือบไป
(จนเราต้องคอยเอาซองกระดาษทิชชู่ปิดหน้าเธอไว้)
ดาร์วินชีเค้าวาดยังไงของเค้า ให้โมนาลิซ่ามีสายตาแบบนั้นได้นะ
เราชอบไกด์บุ๊คญี่ปุ่นที่เค้าจะแนะนำไปจนถึงขนาดซื้ออะไรในซุเปอร์มาร์เกตดี
เราว่า ถ้าไกด์บุ๊คไหนแนะนำไปถึงระดับนั้นแล้วละก็
แสดงว่า คนทำเข้าถึงการช้อปปิ้งในระดับ hard core ไปแล้ว
เราเป็นคนนึงที่เวลาเดินทาง ชอบช้อปของในซุเปอร์มาก
เพราะว่ามันทำให้เราได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของคนที่นั่น
เค้ากินนมขวดหน้าตาเป็นไง โยเกิร์ตแบบไหน ฮิตสบู่แบบไหนกัน
อีกอย่าง ของในซุเปอร์มันเป็นของฝากราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับกระเป๋าเราด้วย
ถ้าพูดถึงของใช้ในชีวิตประจำวันจากฝรั่งเศสก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ต้องนึกถึง
แยม Maman ที่มีฝาเป็นลาย gingham (นึกออกมั๊ย)
แต่เราหอบอะไรแก้วๆ หนักๆไม่ไหวแล้ว
อีกอย่างเพราะแยมอันนี้ที่เมกาก็มี ที่บ้านเราก็มี เลยขอบาย
เบนความสนใจมาที่สบู่เหลวแทน
(ยังไม่วายหยิบของหนัก) ก็ลายบนขวดมันน่ารักดี
วันนี้จบแค่นี้ก่อน
แต่เรื่องยังไม่จบ
(ยังมีต่อ ^&^)