|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
The Elegance of the Hedgehog

: : :
ความสง่างามของเม่น . . . ฮึ่ม แปลเป็นไทยแล้วนึกไม่ออกว่า หนังสือเป็นยังไง ตอนเห็นหนังสือเล่มนี้ทีแรก ชอบหน้าปก ดูแล้วให้ความรู้สึก surreal ดี เหมือนน้องคนนี้กำลังเดินอยู่ต่างมิติ พอเปิดอ่านหน้าแรกปุ๊บ ก็ติดกับทันที มันเหมือนเป็นหนังสือที่เราอยากอ่านมานานแล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่าอยากอ่าน จนมีคนเขียนมันออกมา
The Elegance of the Hedgehog เป็นนิยายอิงปรัชญาเล่าผ่าน Renee คนเฝ้าประตูตึกอพาร์ทเมนท์ของครอบครัวผู้มีอันจะกินในปารีส ภายนอก เรอเนเป็น concierge ตามที่คนทั่วไปคิดว่าควรเป็นทุกกระเบียดนิ้ว แต่จริงๆแล้ว เรอเนเป็นนักปราชญ์ เธอมีปัญญาเกินกว่าที่คนเฝ้าประตู ธรรมดาๆควรมี และเพราะเชื่อว่าชนชั้นแต่ละชนชั้นมีเขตแดนของตัวเอง ใครอยู่ชั้นไหนไม่ควรก้าวข้ามเส้นแดนไปยังอีกฝั่งนึง เรอเนจึงได้แต่ซ่อนตัว ตนที่แท้จริงของเธอไว้ภายใต้คราบคนเฝ้าประตูที่แสนจะธรรมดา มองดู ความเป็นไปในตึกและในโลกผ่านร่างของคนเฝ้าประตูนั้น
Paloma เด็กน้อยอายุสิบสอง ลูกสาวครอบครัวผู้มีอันจะกินที่อาศัย อยู่ในอพาร์ทเมนต์ชั้นห้าของตึก ผู้มีปัญญา ไม่แปดเปื้อนไปด้วยอคติแบบที่ เด็กที่มาจากครอบครัวมั่งคั่งควรจะเป็น เด็กน้อยสามารถมองทะลุรูปลักษณ์ ภายนอกของคน และเห็นคนๆนั้นอย่างที่เป็น รวมถึงเรอเนคนเฝ้าประตูด้วย
เมื่อคนเฝ้าประตูผู้แอบซ่อนรูปทองอยู่ใต้เปลือก และคุณหนูผู้ไม่แยแส ความมีอันจะกินของตัวเอง แต่กระตือรือร้นที่จะค้นหาความเคลื่อนไหวที่ น่าสนใจของโลก มาพบกัน จะเกิดอะไรขึ้น
ขอสปอยล์หน่อยว่า ตอนจบหักมุมสมกับเป็นนิยายอิงปรัชญา อ่านแล้วรู้สึก ถึงความ absurd ของชีวิต และชอบย่อหน้าสุดท้ายของคนเขียนมากๆ
[I have finally concluded, maybe that's what life is about: there's a lot of despair, but also the odd moment of beauty, where time is no longer the same. It's as if those strains of music created a sort of interlude in time, something suspended, an elsewhere that had come to us, an always within never.
Yes, that's it, an always within never.]
[ในที่สุดฉันก็สรุปว่า นี่แหละคือชีวิต เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็มีบางขณะที่เต็มไปด้วยความสวยงาม ซึ่งเวลาได้แปรเปลี่ยนไป มันเหมือนกับว่า ท่วงดนตรีเหล่านั้นทำให้เกิดคล้ายๆการสลับฉากของเวลา บางสิ่งถูกดึงไว้ชั่วคราว ที่อื่นได้มาเยือนพวกเรา ความเป็นตลอดไปใน สิ่งที่ไม่มีอีกต่อไป
ใช่เลย ความเป็นตลอดไป ในสิ่งที่ ไม่มีอีกต่อไป ]
- - -
ไม่รู้จะมีคนแปลเล่มนี้รึเปล่า (หรือมีคนแปลแล้วรึยัง) ต้นฉบับเล่มนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส เราอ่านฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ มีศัพท์หรูเยอะมาก อ่านไปเกาหัวไป แต่ก็ยังพอได้อรรถรส แต่ถ้าแปลเป็นไทย คงได้ฟีลแบบไทยๆ นึกไม่ออกว่าจะเป็นไง แต่ก็อยากให้คนอ่านเรื่องนี้เยอะๆ คนเขียนเขียนได้คมคาย สวยงามดี (แต่สมัยนี้คนคงไม่ค่อยสนใจเรื่องคมคาย สวยงามอะไรแล้ว เพราะอย่างงี้ พอมีหนังสือแบบนี้ออกมาที เลยรู้สึกว่า เราขาดสิ่งเหล่านี้ไป)
เดี๋ยวนี้คนเราใช้ชีวิตแบบ functional เกินไปจนขาดความสวยงามรึเปล่า บางทีถ้ามันเป็นแบบนั้นก็น่าเบื่อนะ เพราะคนเรามีความสามารถในการ appreciate ชีวิตในระดับลึกกว่านั้น ปล่อยให้ศักยภาพนั้นไม่ได้ออกกำลัง อยู่ๆมันอาจจะทื่อขึ้นมา มีคนเคยบอกเราว่า ทำอะไรควรคำนึงถึงความ สวยงาม ทำอย่างสง่างาม แม้แต่กิจกรรมธรรมดาๆในชีวิตประจำวัน ถ้าเราทำมันอย่างส่งๆไปที ชีวิตเราก็จะเป็นแบบนั้น เป็นชีวิตที่ส่งๆไปที เหมือนกัน เหมือนที่เคยได้ยินป้าญี่ปุ่นคนนึงพูดในรายการทีวี (ตอนอยู่ ญี่ปุ่น)
おしゃれ心がないと人生は面白くない ถ้าไม่มีใจที่รื่นรมย์แล้ว ชีวิตก็ไม่น่าสนใจ
นี่ขนาดป้าแก่ธรรมดาๆในญี่ปุ่นยังคิดได้เลยนะเนี่ย ฟังดูแล้วมันน่าเชื่อถืออะ
- - -
ป.ล. 1 อัพเดทชีวิตช่วงนี้หน่อย ตอนนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางกับบ้านใหม่แล้ว ยังขาดเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาแทนของเก่าอยู่บ้าง แต่จะค่อยๆทยอยหา ซื้อไป เวลาย้ายบ้านที ทำเอาตารางชีวิตเขวไปเหมือนกัน เพราะมีนู่นนี่ จิปาถะต้อง ทำเยอะ เพราะรู้ว่าต้องทำ ใจก็เริ่มว้าวุ่น ไม่นิ่ง อยู่ไม่สุข พาลทำอย่างอื่น ไม่ได้ไปด้วย เลยรวนไปหมด ต้องค่อยๆแก้ไปทีละปม สรุปว่า ต้องใช้เวลา เดือนหน้าคงเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้
ป.ล. 2 บอกว่าจะอัพบล็อกบ่อยขึ้น แต่ก็ทิ้งช่วงมาสามอาทิตย์ นานเหมือน เดิม พอนึกว่าจะเขียนบล็อก อีกใจนึงมันก็บอก เอาไว้ก่อนละกัน ผลัดไปๆ จนรู้ตัวอีกทีก็สามอาทิตย์แล้ว ว่าจะผลัดน้อยลงแล้วเชียวนา เอาน่ะ นี่เดี๋ยว อาทิตย์หน้าก็เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้ว เรียนภาษาญี่ปุ่นที่เมกานี่เหมือน น้ำเชี่ยวเอาเรือขวางเลยนะ (นึกภาพออกมั๊ย) คือ วันๆทุกคนรอบตัวก็พูดแต่ ภาษาอังกฤษ เราก็จะฝืนหัดพูดภาษาญี่ปุ่นให้ได้ แบบมันต้องฝืนกระแส ตัวเองมากๆ นั่นคือ สิ่งที่เราอยากพูดอะ แต่ถ้าไม่เรียนไปเรื่อยๆ เดี่ยวก็ลืม หมด ต้องทนเข้าไว้
วันก่อนดูรายการทีวีญี่ปุ่น(อีกแล้ว) ไปสัมภาษณ์คน ต่างชาติที่ได้ทำงานในออฟฟิศญี่ปุ่น ยังยกสำนวน ishi no ue ni san nen คล้ายๆ ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ทำอะไรต้องมีความเพียรอดทน ประมาณนั้น เหวอเลยเรา ต้องเอามั่งๆ ยอมพี่ต่างชาติไม่ได้ (แบบว่า พี่เค้ายังพูดได้ เราเอเชียด้วยกันยอมน้อยหน้าพี่ต่างชาติไม่ได้)
เฮ้อ ความจริงมีเรื่องอยากเล่ามากมาย แต่เอาไว้ค่อยๆ ทยอยเล่าดีกว่า วันนี้แค่นี้ก่อน
ป.ล. 3 ตัวเลขบล็อกเคาเตอร์มันขึ้นเอาๆ แต่ไม่เห็นคอมเมนท์ (หรือว่าเรากด เข้ามาดูบ่อยไปหว่า) ฮ่าๆ
Create Date : 20 มกราคม 2554 |
Last Update : 20 มกราคม 2554 12:36:17 น. |
|
9 comments
|
Counter : 888 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: na IP: 121.215.223.189 วันที่: 20 มกราคม 2554 เวลา:15:19:36 น. |
|
|
|
โดย: mommy45 IP: 219.20.252.51 วันที่: 20 มกราคม 2554 เวลา:21:41:01 น. |
|
|
|
โดย: bumu_chan IP: 68.173.96.113 วันที่: 21 มกราคม 2554 เวลา:5:50:48 น. |
|
|
|
โดย: bag by pat IP: 125.24.66.69 วันที่: 22 มกราคม 2554 เวลา:10:35:03 น. |
|
|
|
โดย: MamaBun IP: 94.15.28.41 วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:5:39:43 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ว่าแต่..จะมีเป็นไทยมั้ยนี่ อยากอ่านอย่างแรง
วันนี้มีึคิวโหวตครบสามบล็อกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาโหวตให้สำหรับกลุ่มบล็อกหนังสือนะคะ
เรื่องคอมเม้นท์ หลายคนชอบมาอ่านโดยไม่เม้นท์ค่ะ แนะนำให้เวลาไปบล็อกคนอื่นก็ทิ้งคอมเม้นท์ไว้นะคะ บางที่เพื่อนบล็อกก็จะกลับมาอ่านแล้วก็ทิ้งคอมเม้นท์ไว้เหมือนกันค่ะ