|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
ハーブ&ドロシー

: : : : :
เมื่อเร็วๆนี้ดูข่าวว่า ที่ญี่ปุ่นคนธรรมดาเริ่มหันมาสะสมงานศิลปะ เป็นอาร์ทบูม หลังจากหนังเรื่องนี้เข้าฉาย
Herb & Dorothy เป็นหนังกึ่งสารคดีเกี่ยวกับสามี ภรรยา คู่นึงที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ทั้งสองคนเป็นคนธรรมด๊า ธรรมดา เฮิร์บเป็นพนักงานไปรษณีย์ ส่วนดอรอธี่เป็นบรรณารักษ์ที่ห้องสมุดบรู๊คลิน แต่ทั้งสองมีความสนใจส่วนตัว ในงานศิลปะ เรียกว่าเป็น passion ที่บริสุทธิ์ก็เห็นจะได้
ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก็เจียดรายได้ส่วนหนึ่งไปซื้องานศิลปะที่ชอบทุกเดือน กฏในการเลือกงานศิลป์ของเค้ามีง่ายๆคือ หนึ่ง ต้องราคาพอซื้อได้ สอง ขนาดต้องไม่ใหญ่เกินอพาร์ทเมนต์ขนาดหนึ่งห้องนอนของเค้า
หลังจากนั้นก็เริ่มสะสมงานศิลปะตั้งแต่เริ่มทำงาน เรื่อยมาจนเกษียณ ก็มีคอลเลคชั่นงานศิลป์ที่เจ๋งที่สุดอันหนึ่ง พิพิธภัณฑ์หลายแห่งอยากขอไปจัดแสดง เพราะงานบางอันเป็นของศิลปินที่ตอนนี้ดังมาก แต่สองคนนี้เค้าไปสอยมา ตั้งแต่ยังไม่ดัง สุดท้าย สองคนนี้ก็ตัดสินใจยกงานที่สะสมมาทั้งหมด ให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไปแสดงที่ดีซี
ให้ไปฟรีๆไม่เอาตังค์ ทางพิพิธภัณฑ์ก็ให้เงินตอบแทนเล็กน้อยเป็นค่ากิน ค่าอยู่ เพราะเห็นแก่แล้ว ปรากฏว่า แทนที่จะเอาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์หรืออะไร แกก็เอาไปซื้องานศิลปะเพิ่มอีก (ไม่รู้ว่า รักจริงหรือเริ่มเข้าข่ายหมกมุ่นเล็กๆ)
สรุปว่า คนญี่ปุ่นเห็นหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ได้แรงบันดาลใจ งานศิลป์ไม่จำเป็น ต้องจำกัดอยู่เฉพาะในวงคนที่มีรายได้สูงเท่านั้น คนธรรมดาๆเดินดินอย่าง เฮิร์บ และดอรอธี่ อย่างเราๆ ก็เป็นนักสะสมงานศิลป์ได้ ว่าแล้วก็เริ่มออกล่า งานอาร์ทมั่ง เห็นแล้วก็ขำดี คงไปโดนปุ่มคนญี่ปุ่นพอดี
เราชอบบุคลิกลุงเฮิร์บ ดูแกเป็นพวก non-conformist ดูจากในหนัง แกไม่ค่อยพูดค่อยจา แกบอกไม่ชอบไปโรงเรียน เพราะไม่ชอบให้คนมาสั่งให้ทำอย่างงู้น อย่างงี้ พอเรียนจบก็ออกมาหางาน ทำเลย เพราะรู้ว่าคนเราต้องทำมาหากินเลี้ยงชีวิต ได้งานที่ไปรษณีย์ก็ทำ ไปจนเกษียณ
ระหว่างทำงานที่นั่น แกก็ขวนขวายหาหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ จากห้องสมุดมาอ่านเอง เรียกว่า สนใจทางนี้จริงๆ แกบอกว่า ตอนทำงานที่ ไปรษณีย์ รู้สึกว่า ไม่สามารถคุยกับเพื่อนร่วมงานคนไหนได้เรื่องศิลปะ เลยเก็บไว้เงียบๆคนเดียว ไม่มีใครรู้ว่า แกดังในวงการสะสมงานศิลป์ขนาด ไหน เพิ่งมารู้กันตอนหลังแกเกษียณออกไปแล้ว
ดูแกแล้วทำให้นึกถึง The Elegance of the Hedgehog คือ เหมือนแกมีชีวิตอยู่ในอีกมิตินึง ส่วนในชีวิตประจำวันก็ทำเป็นออกไปทำงาน เป็นพนักงานไปรษณีย์ธรรมดา ตอนนั้นมีเพื่อนร่วมงานคนนึงได้ยินเรื่อง แกดังในวงศิลปะมาถามแก แกก็ทำ ชู่ว์.. ให้เงียบๆ อย่างกะกลัวว่าจะต้อง เผยตัวจริงออกมา
แกบอกว่า แกชอบธรรมชาติ ในบ้านก็มีเต่า ปลา แมว ใช้ชีวิตอย่างสมถะ คนที่รู้จัก พอรู้ว่า ทั้งสองคนตัดสินใจยกคอลเลคชั่นที่สะสมมายาวนานให้ พิพิธภัณฑ์ไปฟรีๆ (มูลค่าคงมหาศาล) ก็บอกว่า ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มีใครคิด ทำอย่างนั้นแน่ เพราะขายแค่รูป สองรูป ก็ได้หลายตังค์แล้ว นี่ยกให้ หมดทั้งคอลเลคชั่นฟรีๆ เราว่า ทั้งสองคนต้องเป็นนักบุญกลับชาติมาเกิดแน่ๆ
เพื่อนศิลปินอีกคนบอกว่า สำหรับสองคนนี้ ศิลปะคือ ชีวิต เราว่าก็จริง น่ายกย่องนะ ในขณะที่หลายคนมัวแต่ทำนั่งปั้นศิลปะเหมือนนั่ง อยู่บนหอคอยงาช้าง อยากเป็น"ศิลปิน"ซะเหลือเกิน แต่สองคนนี้เค้าทำชีวิตให้เป็นศิลปะเลย เป็นการเย้ยชีวิตกลายๆทางหนึ่ง ก็ในเมื่อชีวิตมัน absurd อยู่แล้ว ทำไมเราถึงจะเอาคืนโดยทำให้มัน absurd กว่าไม่ได้ เราว่านี่อาจจะเป็นทางออก
เพื่อนศิลปินอีกคนของแกบอกว่า ไม่ว่าใครก็เลือกที่จะเข้าถึงศิลปะด้วยวิธีนี้ได้ (แบบที่เฮิร์บกะดอรอธี่ทำ) แต่ก็ไม่มีใครทำ ฟังแล้วก็ได้คิด จริงว่ะ บางทีทางง่ายๆมันมีอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ทำ ไปเลือกทำทางยากๆ จนกว่าจะมีคนแบบนี้มาโชว์ ให้เห็นว่าทำได้ แล้วก็แห่กันมาทำซึ่งก็หมายถึง สายไปแล้ว หรือถึงไม่สาย ก็ไม่มีความเป็น original เหมือนคนริเริ่ม เป็นข้อคิดของวัน ... เฮิร์บแอนด์ดอรอธี่กับชีวิตแบบ original
ป.ล. เผื่อใครอยากหามาดูหนังเป็นเสียงภาษาอังกฤษ เห็นว่าได้รางวัลมา เยอะอยู่ ผู้กำกับเป็นคนญี่ปุ่น
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2554 |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2554 2:24:21 น. |
|
4 comments
|
Counter : 901 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: fl96 IP: 161.200.142.47 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:21:47 น. |
|
|
|
โดย: marumura วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:14:42:39 น. |
|
|
|
โดย: foneko IP: 58.8.14.197 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:28:09 น. |
|
|
|
โดย: koreaserie (loveyoupantip ) วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:9:04:23 น. |
|
|
|
|
|
|
|