เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 53
ตอนที่ 53
ดวงแก้วสุกใสเม็ดขนาดเท่านัยน์ตาแมวลูกหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องบุกำมะหยี่ บ่อยครั้งที่หญิงสาวเปิดออกดูในใจจดจ่อไปยังเพชรพญานาคที่หล่อนถือครองอยู่ ป่านนี้เจ้าของน้ำตาหยดนี้เป็นอย่างไรบ้างหนอ แต่ไม่เคยมีคำตอบกลับมา หลายวันมานี่เหมือนหล่อนถูกกีดกันออกจากเรื่องราวในอดีตชาติ วิมุตติที่จะเป็นสะพานเชื่อมได้แต่เคียงฟ้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา เกรงจะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
ทำไมกันนะ...ในเวลาที่ฉันอยากทำอะไรเพื่อเรื่องในชาติก่อนบ้าง ทุกอย่างกลับดูติดขัดไปหมด
หล่อนรำพันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ในเมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าหล่อนควรจะแก้ไข สำนึก และรับรู้ แล้วทำไมการติดต่อทั้งหมดถึงถูกตัดหายไป แต่ในช่วงแรกช่วงที่หล่อนปฏิเสธสัญญาเก่าจากอดีตชาติ ทุกอย่างกับพุ่งเข้าใส่หล่อน ราวกับกลัวว่าหล่อนจะลืมเลือนมันไปเสีย
โชคชะตากำลังจะเล่นตลกอะไรกับฉัน? รอยกรรมไยจึงพรากหล่อนให้ห่างจากเขา เป็นทุกข์ที่ไม่รู้ กับทุกข์ที่จำต้องรับรู้ อย่างไหนสาหัสกว่ากัน
เจ้าภู...คุณได้ยินฟ้าไหมคะ? ได้โปรดเถอะค่ะ ถ้าคุณยังมีเยื่อใยให้มหิตาบ้าง...ขอให้ฉันได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเถอะค่ะ
รู้ไปทำไม? รู้แล้วแก้ไขอะไรได้ รู้กับไม่รู้ต่างกันอย่างไร ทุกข์หายไปหรือไม่ คำถามในใจผุดขึ้นมาเหมือนถูกใครตั้งปุจฉา เคียงฟ้าไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงเสียงในใจของตนเองหรือเสียงจากแดนไกล
ลืมมันเสียเคียงฟ้า...นั่นคือประสงค์ของภูวิษะเจ้า จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่าได้เกี่ยวข้องหรือพานพบกันอีก
เสียงนั้นยังกังวานอยู่ในใจ สติของหล่อนค่อยลอยเลื่อนตาม ไม่อาจตอบโต้ได้ดังใจ สองตาค่อยหลับพริ้มลง เงาร่างของใครบางคนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ร่างนั้นมีประกายแสงนวลลออตานัก หล่อนไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในดวงจิตสัมผัสได้
อาจารย์หรือคะ? เคียงฟ้าถามออกไปด้วยสติอันเลื่อนลอย ใกล้ดิ่งดับเต็มที่แล้ว
อย่ากลัว...เคียงฟ้า อย่าได้กลัว แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป
มะ...ไม่ หล่อนปฏิเสธด้วยสติสุดท้ายซึ่งล้าเต็มที
เพียงแค่ตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เจ้าจะดำเนินชีวิตไปตามแต่บุญกรรม
อย่..า... หล่อนครางออกมาด้วยเสียงแผ่ว น้ำตาหยาดหยดออกมาทั้งที่หลับอยู่
เจ้าภู... เสียงสุดท้ายที่เคียงฟ้าได้ยิน คือเสียงของตนที่เรียกชื่อชายอันเป็นที่รักก่อนจิตจะสิ้นเรี่ยวแรงลง
ในมโนอันมืดมิดนั้น มีแสงสว่างอีกแสงหนึ่งที่เรื่อรองไม่แพ้แสงแรก ซ้ำยังเจิดจ้ากว่าเสียด้วยซ้ำ หากแสงนั้นเย็นฉ่ำไปด้วยพรแห่งความกรุณา เคลื่อนเข้ามาประชิดแสงแรก
เมื่อรู้จักทุกข์...จึงหายทุกข์ เพราะเข้าใจ หญิงผู้นี้อธิษฐานมาอย่าไปขวางทางเขา อีกเสียงหนึ่งดังมาเสียงนั้นอบอุ่นนุ่มนวลนัก แสงแรกจึงชะงักการกระทำลง ค่อยเปลี่ยนสภาพเป็นร่างบุรุษ พร้อมกันนั้นร่างสูงพลันคุกเข่าลงแล้วพนมมือขึ้น
เข้าใจแล้วพระคุณเจ้า....หากเป็นดังนั้น นางจักลืมมัน เมื่อใดนางปฏิเสธที่จะรับรู้ เทพบุตรจากเมืองแมนกล่าว
ถึงอยากลืมก็ไม่ลืมดอก เพราะมันเป็นทุกข์ ทุกข์อยู่ในใจลืมไปชั่วคราวก็เหมือนแกล้งลืมนั่นแหละ มันไม่หายทุกข์หรอก วิธีที่จะหายทุกข์คือวางลงมิใช่แกล้งลืม จงเข้าใจในวิถีของทุกข์แม้ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวมาจากอดีตแสนไกลจะมาทักทายเพื่อการณ์ใด เอาแค่รู้รู้แล้วก็ปลดปลง ใจจะเบาขึ้น ส่วนกรรมก็ผ่อนผันใช้กันไป เวรหมดกรรมไม่หมด...อย่าผูกพยาบาทต่อเป็นพอ
ร่างแสงอันสุกสกาวของผู้มาเยือนกล่าวมาทางหล่อน ก่อนจะคลี่รอยยิ้มน้อยๆ แล้วหันหลังเดินจากไป ในมโนนั้นหล่อนทันได้เห็นชายจีวรขยับไหวอยู่ลิบๆ แล้วเคียงฟ้าก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก คงมีแต่เสียงสังวัธยายมนต์ที่หล่อนไม่เข้าใจความหมายและไม่เคยค้นหามรรคาของบทสวดเหล่านั้น ทว่าอำนาจเมตตาก็แผ่ปกคลุมจนใจหล่อนสงบลง นิ่ง และเข้าสู่ภวังค์ไปในที่สุด ดวงจิตดำดิ่งสู่อนธการอีกครั้ง แต่ในความมืดนั้นจู่ๆ ก็มีแสงปรากฏขึ้น แสงนั้นห่างไกลออกไปจากที่หล่อนยืนจนสุดสายตา
ไป..ตามแสงนั่นไป ใครบางคนชี้ทางให้ หล่อนอยากหันไปมองให้เต็มตาว่าใช่คนที่คาดเดาหรือไม่ แต่ไม่อาจทำตามที่ใจต้องการได้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงพบด้านที่สว่างจ้าอยู่ปลายทางคล้ายแสงนั้นรอดออกมาจากปลายอุโมง หล่อนเดินไปตามคำบอก แสงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ และห้อมล้อมรอบกายจนมองไม่เห็นสิ่งใด หญิงสาวหยีตาหลบแสงจนปรับสายตาได้ หล่อนจึงค่อยปรือตาลืมขึ้น เงาทึบแสงของหญิงนางหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาหาหล่อน เมื่อลืมตาขึ้นเจ้าของหน้านวลนั่นเป็นสตรีคิ้วหนาเข้มที่รอยยิ้มแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์
พระเทวี! ตื่นเถิดเพคะ
เอ๊ะ? เคียงฟ้าพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองไปที่คู่สนทนา พี่ศรีดารา? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
อ้าว? ก็ทรงสั่งให้หม่อมฉันปลุกแต่หัวรุ่ง วันนี้เราจะไปตลาดบน กันอย่างไรเล่าเพคะ
เคียงฟ้าลุกขึ้นอย่างงุนงงจากนั้นไม่นานก็พบว่าตนเองอยู่ในร่างของมหิตาเทวี หญิงสาวยิ้มให้กับเงาในกระจกทองเหลืองอย่างแสนดีใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบรับคำอธิษฐานของหล่อนแล้ว หนนี้คราวนี้จะต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดให้ได้
เราจะไปตลาดบนกันทำไมรึ?
หมู่นี้พระเทวีไม่ค่อยสดใส หม่อมฉันว่าเราออกไปเดินชมตลาดสักหน่อยดีกว่าเพคะ นางเทวีไม่ทันได้ปฏิเสธก็ถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่อง โดยมีนางกำนัลหลายนางห้อมล้อม
อย่าประดับประดามากนะเพคะ จะได้ไม่เป็นจุดเด่น หาไม่งั้นแล้วหากต้องมีทหารเดินตามเป็นขบวนคงไม่สนุกเป็นแน่
แต่อย่างไรก็ต้องมีคนติดตามคอยคุ้มครองบ้าง ปทุมมาออกความเห็น
แค่ 4 นายคงพอกระมัง
แล้วมหิตาเทวีกับนางกำนัลอีกหลายนางก็พากันไปท่องตลาด โดยนางเทวีนั่งเสลี่ยงไปเมื่อถึงประตูวังก็ลงเดินปะปนไปกับชาวบ้านร้านตลาด เคียงฟ้ารู้สึกตื่นตาตื่นใจตั้งแต่หล่อนเห็นอดีตชาติ ชีวิตก็ถูกจำกัดอยู่เพียงในตำหนัก หรืออย่างมากก็ไปเพียงนาคาลัยเท่านั้น จึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีลืมสิ่งที่ต้องมาค้นหาไปชั่วขณะ
ชีวิตของผู้คนในตลาดต่างจับจ่ายใช้สอยกัน อื้ออึงไปด้วยเสียงพูดคุย มีร้านรวงมากมายข้างทาง หล่อนแวะดูนั่นดูนี่อย่างเพลิดเพลิน ผู้คนรอบตัวเมียงมองนางเทวีเพราะความงาม แต่ครู่เดียวก็รีบปลีกกายไป หญิงสาวสังเกตว่าคนที่นี่ล้วนเร่งรีบกว่าปกติ
วันนี้รู้สึกแปลกนักว่าไหม? ปทุมมาเอ่ยถามศรีดารา
แปลกอย่างไรหรือพี่ปทุมมา? เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีถามขึ้นมา
หม่อมฉันก็ว่าอย่างนั้น ศรีดาราทูลตอบ
แต่ละคนดูเร่งรีบพิกล ปกติแล้วมักจะมีพวกคอยห้อมล้อมชมโฉมพระเทวีของหม่อมฉันนี่เพคะ
แหม...อย่างนั้นเชียวรึ? แม้ว่านี่จะใช่โฉมหน้าในปัจจุบันของหล่อน แต่หญิงสาวก็อดภาคภูมิใจไม่ได้
เห็นจะต้องไปถามดูสักหน่อย ศรีดารากล่าวแล้วก็รุดเข้าร้านที่อยู่ข้างหน้า ถามไถ่สถานการณ์จากป้าเจ้าของร้านครู่หนึ่งก็วิ่งกลับมาทูลความ
ผู้คนกำลังหาซื้อข้าวของไปเป็นเสบียงไว้น่ะเพคะ
เสบียง? เพื่อกระไรรึ?
ทั้งชาวจุมภะ ทั้งปาล และเมืองอื่นในระแวกใกล้เคียง กำลังวิตกว่าหากสงครามเริ่มขึ้นแล้วจะออกจากเมืองไปมาหาสู่กันไม่ได้ หาซื้อข้าวของก็ลำบากนัก อะไรที่เป็นของแห้งของเก็บได้นานก็ซื้อหาไว้เป็นเสบียงเพคะ
สงคราม...? เมื่อเห็นมหิตาเทวีมีสีพระพักตร์ประหลาดพระทัย ศรีดาราจึงขยับเข้ามาแล้วกระซิบแทบกระกรรณ ที่ท่านภูวิษะไปประชุมอยู่ในระยะนี้ ก็เรื่องตีเมืองปาล นี่อย่างไรเล่าเพคะ ดวงเนตรเบิกกว้างหลังฟังความจากนางกำนัลคนสนิท
ปาลแม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่เป็นเมืองผ่านสำหรับการค้า น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ลำน้ำไหลผ่านซอกซอนไปถึงสามโค้ง ทุ่งราบรอบโค้งนั่นก็ทำนาปลูกพืชผลได้สะดวกกว่าเมืองอื่นนักเพราะมันใกล้น้ำ เมืองนี้จึงเป็นที่หมายปองของเมืองอื่นด้วยเช่นกันเพคะ แต่เพราะเป็นเมืองเล็กที่ผ่านมาก็สงบเสงี่ยมดี แต่ช่วงนี้เมืองปาลเอนใจไปทางพะโคจึงกล้าแข็งเมืองกับเรา จึงต้องไปตีให้เข็ดหลาบ อยู่ดีไม่ว่าดีนะเพคะ ตีมาก็กลายเป็นเมืองขึ้นไม่รู้นึกเยี่ยงไร
สำหรับเคียงฟ้าแล้วหล่อนแทบไม่มีเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำเลย รู้แต่ว่าระยะนี้เจ้านาคราชมีราชกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาให้ชายานัก เป็นเหตุให้เกิดความน้อยพระทัยสะสม เมื่อระลึกขึ้นได้จึงพยายามทบทวน สัญญาจากอดีตบอกหล่อนการศึกกับปาลปุระมีบางอย่างที่อยู่ก้นบึ้งของความทรงจำ สร้างความขุ่นมัวและหม่นหมองในความรู้สึกนัก ความฝื่นขมเริ่มตีตื้นขึ้นมาจากช่องท้องจนอยากอาเจียน
ปาลปุระ...นามนี้มีความลับใดซ่อนอยู่กันฤา ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มหิตาเทวีเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระที่เคียงฟ้าสวมร่างอยู่ ยังไม่พ้นกำหนดโทษจากพระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวี ที่สั่งห้ามมิให้พระนางออกงานใดๆ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงไม่อาจสืบเรื่องราวจากวงประชุมได้ ครั้นจะถามภูวิษะเจ้าก็ยังอยู่ในช่วงเมินหมาง ถามคำก็ตอบคำคล้ายไม่อยากเสวนาด้วย
พี่ศรีดารา ไปสืบเรื่องศึกเมืองปาลมาหน่อยสิ
สืบเรื่องกระไรเพคะ?
ก็เรื่อง... พระนางตรัสค้างไว้เพียงแค่นั้น เพราะยังดำริไม่ออกเช่นกัน มีแต่ลางสังหรณ์ในใจเท่านนั้นที่เด่นชัดขึ้นมา
จักต้องมีเหตุวิปโยคอันใดอุบัติขึ้นเป็นแน่แท้...
โถ...พระเทวีเพคะ อย่าได้กังวลพระทัยไปเลย เมืองเล็กๆ เยี่ยงเมืองปาลอย่างไรเสียก็ไม่อาจสู้ทัพใหญ่จากจุมภะได้ดอกเพคะ หม่อมฉันว่าอีกไม่นานคงมีการเจรจาเกิดขึ้น ปาลคงไม่อยากเสียเลือดเสียเนื้อ
แล้วเหตุใดจึงกล้าแข็งเมือง? คำถามนี้แม้บุตรีขุนพลมหัทนะก็สิ้นวาจาเพราะที่มาซับซ้อนยิ่งนัก เพียงลำพังตัวนางไม่กล้าพิพากษ์ เกรงว่าจะเป็นเพียงวินิจฉัยตามความเข้าใจของผู้อยู่วงนอกเท่านั้น
น่าจะมั่นใจในอำนาจของเมืองพะโค แต่เหตุผลลึกๆ นั้นเอาไว้หม่อมฉันจะเลียบเคียงถามพ่อให้นะเพคะ
เรื่องนั้น...ช่างเถิด แต่ที่ข้าสนใจเรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับเสด็จพี่?
เคียงฟ้าขมวดคิ้วการเมืองก็ย่อมเป็นการเมือง ปาลปุระคงมีเหตุผลของตนเองและคงเชื่อมั่นในอำนาจผู้หนุนหลังถึงได้หาญกล้ามาแข็งข้อกับเมืองใหญ่เช่นจุมภะได้ แต่สิ่งที่หล่อนให้ความสำคัญคือมันจะต้องมีเหตุเกิดขึ้นระหว่างมหิตาเทวีกับภูวิษะเจ้าต่างหากเล่า จิตสัมผัสของหล่อนวนเวียนอยู่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น
ก็ภูวิษะเจ้า จะเป็นหนึ่งในผู้กุมทัพออกศึกอย่างไรเล่าเพคะ ศรีดาราเฉลย เมืองเล็กแค่นั้น คงไม่ได้ใช้กำลังพลมากนัก แต่ที่ยังรอเวลาก็เพื่อรอดูท่าทีเมืองพะโคผู้หนุนหลัง หาไม่แล้วศึกเล็กจะกลายเป็นศึกใหญ่จึงต้องรอบครอบเอาไว้ก่อน
แต่เรากับพะโคก็ยังค้าขายกันอยู่
ต่างคนต่างสงวนท่าที พะโคก็มิได้ออกหน้าแก่เมืองปาลอย่างเปิดเผย
การศึกนี้ช่างซับซ้อนยิ่งนัก แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร... มหิตาเทวีหยุดถ้อยดำรัสไว้ชั่วครู่ แล้วทอดพระเนตรไปรอบวรกาย สงสารก็แต่ประชาชน ไม่มีใครต้องการสงครามดอก
นั่นสิเพคะ
กลับกันเถิด
เอ๋...แต่ว่าพวกเราเพิ่งมาถึงนะเพคะ นั่นเป็นเพราะเคียงฟ้าไม่มีอารมณ์จะเดินชมตลาดแล้ว สังหรณ์ลึกๆ บอกให้หล่อนรีบค้นหาความจริง การศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอนมันส่งผลเยี่ยงไรต่อชีวิตคู่ของมหิตาเทวีและภูวิษะเจ้ากันนะ
เมื่อนางเทวีตรัสดังนั้นเหล่านางกำนัลก็จำต้องคล้อยตาม แม้จะอยากเดินเที่ยวเล่นอยู่ก็บ้าง ศรีดารา เป็นคนที่แสดงท่าทางเสียดายเป็นออกมาเป็นที่สุด
ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน ข้ารู้สึกปวดหัวน่ะ ตรัสปลอบใจนางกำนัลคนสนิท
หญิงสาวเกิดความกระวนกระวายใจ จะเป็นหล่อนคิดมากและกังวลไปเอง หรือจากความจำในอดีตชาติกันหล่อนก็ไม่อาจบอกได้ ดังนั้นเมื่อกลับจากตลาดบน ก่อนที่จะเข้าสู่ประตูวังจึงสั่งให้ทหารแบกเสลี่ยงไปยังอโศกคยาหลวง แล้วเข้าไปทำการบำบวงต่อวิษณุเจ้า เพื่อขอให้ทรงประทานพรมิให้ลางอัปมงคลที่สัมผัสได้อุบัติขึ้นจริง เคียงฟ้าใช้เวลาอธิษฐานอยู่เนิ่นนาน ในใจนั้นหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงออกไปพบนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอก
อะไรกัน นี่เจ้าไม่รู้เรื่องดอกรึ? ศรีดาราอุตส่าห์เป็นบุตรีขุนพลใหญ่แท้ๆ เสียงค่อนแคะที่ดังมากระทบโสตนั้นคุ้นเคยอยู่มิใช่น้อย นางเทวีจึงหยุดฝีเท้าลง
อ้อ! ข้าลืมไป พระเทวีของเจ้าถูกห้ามมิให้เข้าเฝ้านี่นะ บัวลออนางกำนัลคนสนิทของพินทุมณีเทวีส่งยิ้มเย้ยคู่อริ นางคิ้วเข้มฟังความเข้าก็เขม่นกลับ
รู้ช้าเพราะไม่ได้ออกไปสาระแนเรื่องของเจ้าของนาย ทั้งข้าทั้งเจ้าเป็นแค่นางกำนัลหากไปสอดแทรกคงไม่งามดอกจริงไหม ? ศรีดาราหันไปบุ้ยใบ้กับคนที่มาด้วยกัน แม้จะพยายามรักษามารยาทแต่นางกำนัลของมหิตาเทวีก็กลั้นหัวเราะกันไม่อยู่ ทำให้บัวลออขุ่นเคืองยิ่งนัก
เจ้านี่มันปากคอเราะร้าย ดีนะพระเทวีของเจ้าไม่ถือสา หากเป็นพินทุมณีเทวีของข้า เจ้าคงโดนตบปากวันละไม่รู้กี่หน
นั่นสินะ เป็นบุญของข้าจริงๆ โบราณว่าบ่าวถูกเจ้า ข้าถูกนาย เห็นทีคงจะจริง นางคนทะเล้นตอบอย่างไม่ลดละ
ไม่เอาน่า เจ้าทั้งสองพอได้แล้ว อย่าทำให้พระเทวีมัวหมองไปด้วยฝีปากของพวกเจ้าเลย ปทุมมาห้ามปราม
ข้าก็มิได้อยากต่อปากต่อคำดอกนะปทุมมา ก็ข้าถามนางดีๆ ว่ารู้เรื่องคำทำนายเรื่องศึกเมืองปาลหรือยังนางก็โต้มาเช่นนี้ คอยดูเถิดพระเทวีของเจ้ามารู้เข้าทีหลังเจ้าจะถูกโบย ข่าวแบบนี้น่ะยิ่งรู้เร็วยิ่งดี ศรีดาราเจ้าควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ
ข่าวกระไร? เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา แต่บัวลออทุ่มเถียงกับศรีดาราอยู่จึงมิทันได้หันไปมองว่าเป็นผู้ใด
นี่ก็อีกคนหูหนาตาเล่อนัก ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวใดกับเขาบ้างเลย ก็ข่าวที่โหรหลวงทำนายเรื่องศึกเมืองปาลน่ะสิ แล้วก็ว่าถึงผู้นำทัพจะเป็นใครไปได้นอกจากท่านภูวิษะกันเล่า
เจ้าว่าอย่างไรนะ? เสียงทรงอำนาจตวาดดังก้อง หนนี้เหล่านางกำนัลที่สนทนากันอยู่หันมาที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว
พระเทวี!!!
มหิตาเทวีเสด็จมาประทับเบื้องหน้าด้วยสีพระพักตร์ไม่พอพระทัย ดวงเนตรนั้นขุ่นด้วยความกริ้ว นางกำนัลทุกนางพากันทรุดกายลงถวายคำนับทันที บัวลออนั้นหน้าซีดเผือดเนื่องด้วยพินทุมณีเทวีมิได้เสด็จมาด้วย หากมีเรื่องเข้าผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือกัน
เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรบัวลออ
มิได้เพคะ...หม่อมฉันเพียงแค่สนทนากับศรีดาราเท่านั้น
ยังจะปดอีกรึ? เจ้าเอ่ยชื่อสวามีเรา นางคนปากดีหน้าขาวจนซีดไม่กล้าเงยหน้าสบพระพักตร์
นางบอกว่า นางได้ยินคำทำนายเกี่ยวกับผู้นำศึกครั้งนี้มาเพคะ แล้วยังบอกอีกด้วยว่าเพราะพระเทวีของพวกเราโดนห้ามมิให้เข้าเฝ้าจึงมิได้รู้เรื่องราวเลย ศรีดาราชิงทูลฟ้องขึ้นมาก่อนทำให้บัวลออยิ่งแก้ตัวไม่ได้
ศรีดารา... ปทุมมาตีแขนนางคนปากกล้าเบาๆ แล้วส่งสายตาตำหนิ แล้วจึงทูลความถวายพระเทวีเอง
ไม่มีอะไรดอกเพคะ พระเทวีก็เป็นการทำนายอย่างทั่วๆ ไปเหมือนเช่นทุกครั้งที่มีการศึก
พี่ปทุมมา เงียบไปเถิดเรากำลังถามบัวลอออยู่ ว่าอย่างไรอยากให้เรารู้มิใช่รึ? งั้นก็เล่ามาเสียสิ
หม่อมฉันมิกล้าเพคะ
จะเล่าไม่เล่า
คือว่า
พี่ศรีดารา ตบหน้านางจนกว่านางจะพูด รับสั่งนั้นเฉียบขาดนัก ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงด้วยความหวาดกลัว แม้นางกำนัลตำหนักเดียวกันกับบัวลออยังไม่กล้าทูลทัดทาน เพราะรับสั่งได้ถึงเพียงนี้แปลว่ามิได้เกรงพระทัยพระพี่นางแล้ว
เอ้อ...จะดีเหรอเพคะ คนได้รับคำสั่งยังเก้กัง แม้จะไม่ถูกกันก็ตาม
ต้องให้เราพูดซ้ำหรือ ศรีดาราจึงรีบคลานไปหาบัวลออ
ยังไม่พูดอีก หรืออยากให้ข้าตบหน้าเจ้าจริงๆ
พะ..เพคะ คือว่าเมื่อวันก่อนท่านชยาทัตตรัสเล่าประทานให้พระเทวี แล้วข้าอยู่ตรงนั้นพอดี... นางลำดับความ
เอาแต่เนื้อๆ สิ เดี๋ยวก็ทรงกริ้วหรอก ศรีดารารีบสั่ง
คือว่า...พระบาทเจ้าทรงให้โหรหลวงทำนายทายทักเรื่องศึกเมืองปาล ท่านโหรก็ว่าศึกนี้จะชนะมาได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ในคำทำนายนั้นมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่า
เรื่องนั้นคือ?
คือ...ตอนนั้นหม่อมฉันไปจัดหาของถวาย กลับมาเลยฟังความไม่ครบถ้วน ทราบแต่ว่าเกี่ยวข้องกับท่านภูวิษะเพคะ
เจ้านี่มัน ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียดยังมีหน้าเล่าถวายอีกรึ? ศรีดารายกมะเหงกขึ้นเขกหัวบัวลออทันที
ข้าก็จะมาถามเจ้าอย่างไร ว่าตกลงเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่
แล้วทำไมไม่ทูลถามพินทุมณีเทวีเสียล่ะ?
ก็ข้า... แล้วสองนางก็ถกเถียงกันไป โดยมีมหิตาเทวีประทับนิ่ง
บัวลออ เจ้าแน่ใจนะว่าได้เล่าทั้งหมดแล้ว
เพคะ
อย่าให้ข้ารู้ทีหลังว่าเจ้าปิดบังเข้าล่ะ
มิกล้าดอกเพคะ
มหิตาเทวีเสด็จไปแล้วบัวลออถึงหายใจหายคอคล่องขึ้นบ้าง แต่นัยน์ตาของนางยังสอดส่ายด้วยความอยากรู้ เพราะคาดว่าหลังจากนี้ต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นแน่นอน แล้วสิ่งที่นางคาดเดาก็มิได้ผิดเพี้ยน ในเย็นวันเดียวกันนั่นเองมหิตาเทวีเสด็จไปยังตำหนักของพินทุมณีเทวีทั้งที่เคยรับสั่งตัดเป็นตัดตายกับพระภคินีแล้ว! +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 10 กรกฎาคม 2556 |
|
3 comments |
Last Update : 10 กรกฎาคม 2556 2:32:20 น. |
Counter : 1584 Pageviews. |
|
|
|