ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 36 ความรัก ความโกรธ ความกลัว
ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 37 คุณพู่ให้โจทย์มาว่าให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ ความรัก ความโกรธ ความกลัว ขออนุญาตให้ชื่อเรื่องนี้ว่า
พาใจตื่นจากฝันร้าย
ปราชญ์กล่าวไว้ว่า
ความฝันคือความจริงระยะสั้น ความจริงคือความฝันระยะยาว
เราจะดีใจที่สุดที่รู้ว่าที่ผ่านมาเป็นแค่ฝันร้ายไปเท่านั้นไม่ใช่ความจริง
ไม่ว่าเราจะหลับหรือตื่นอยู่ก็ตาม
ชีวิตของคนเราคล้ายความฝัน บ่อยครั้งที่เราจะรู้ตัวก็ต้องรอเวลา
ให้เรื่องร้ายออกไปจากจิตใจของเราจนหมด
แล้วเราก็จะรู้สึกว่าฝันร้ายได้ผ่านชีวิตเราไปได้แล้ว
ความรักคือสุดยอดของความฝันดีและฝันร้าย
เราอาจเคยอกหักผิดหวังจากความรักอย่างรุนแรง
บางคนใช้เวลานานมาก บางคนก็ใช้เวลาไม่นาน
เพราะในเวลาไม่นานก็อาจมีหมอสวยๆหล่อๆประจำตัวมาช่วยรักษา
แผลใจให้หายแล้วแต่ว่ารักษาได้ถูกกับโรคหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ความผิดหวังนั้นก็จะกลายเป็นเพียงฝันร้าย
ที่ค่อยๆจางหายไปตามวัยและกาลเวลา
แต่อาการบางอย่างเช่นความโกรธ ความกลัว
อันเป็นเหมือนฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเราให้เกิดความไม่สบายใจ
ต่อเราอยู่เสมอ เราควรทำอย่างไรดี?
อารมณ์โกรธนั้นดูจะรุนแรงน้อยกว่าความกลัว
คนเราโกรธได้เรื่อยๆตามความเคยชิน
ยิ่งที่โกรธบ่อยๆก็ยิ่งโกรธอะไรได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
ถึงรู้ว่าโกรธนั้นไม่ดี แต่ถ้าโกรธแล้วรู้สึกว่าสะใจหรือได้อะไรตอบสนองตามที่ตนต้องการ
ก็เหมือนได้เติมเชื้อให้ไฟแห่งความโกรธนั้น เมื่อเติมเชื้อไฟคราวต่อๆไป
ไฟก็ยิ่งกองใหญ่และโหมแรงขึ้นทุกที
คนที่โกรธง่ายสังเกตว่าอาจได้นิสัยมาจากครอบครัวที่มีผู้ใหญ่ชอบแสดงความโกรธบ่อยๆ
เราก็จะรับถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมครอบครัวติดมาโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ^^
ความโกรธนั้นยังพ่วงกับอัตตามานะทิฏฐิของเราเองด้วย
คนที่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น มีตำแหน่งสูงกว่า
ก็ชอบโกรธหรือรังแกดุด่าว่ากล่าวคนที่ตำแหน่งต่ำกว่า
คนที่ได้รับการตามใจ คนที่เอาแต่ใจตัวเอง หงุดหงิดง่าย ก็โกรธง่าย
คนที่มองโลกแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่สนใจไม่เห็นใจในสิ่งที่คนอื่นกระทำ
เพราะขาดความเมตตา ไม่รู้จักให้อภัยและปล่อยวาง ก็โกรธเกลียดอะไรได้ไม่ยากเลย
ความกลัวนั้นจะแฝงซ่อนลึกในใจมากกว่าความโกรธ
เรากลัวได้ทุกอย่างเช่นกันเช่นกลัวความยากจน กลัวผี กลัวตาย กลัวแก่
กลัวความมืด กลัวความสูง กลัวคนจะมอง กลัวสังคมจะวิจารณ์ กลัวไม่มีชื่อเสียงฯลฯ
จนบางครั้งทำให้เราทำทุกอย่างเพื่อไม่ต้องพบหรือเจอกับมัน
ทำทุกอย่างในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความกลัวของเรา
เราจะกลัวทุกอย่างที่เรายังไม่รู้จริงหรือยังยอมรับมันไม่ได้
ความกลัวนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง
มันทำให้เราไม่ประมาทเมื่อเข้าใกล้สิ่งนั้น เช่นกลัวงู กลัวความสูง
เราก็ไม่เข้าใกล้ กลัวผีก็ทำให้เข้าหาพระ กลัวจนก็ขยัน
กลัวตายกลัวแก่ก็หมั่นดูแลสุขภาพขยันออกกำลังกาย เป็นต้น
ในแง่ที่ไม่ดีความโกรธและความกลัวนั้นบั่นทอนต่อสุขภาพจิต
เหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น
เราโกรธคนที่เราไม่ชอบก็สร้างความความบาดหมาง
กลัวสังคมรอบข้างก็ต้องหาของมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น
กลัวคนมองก็ทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไร
กลัวความยากจนในอดีตก็เลยทำทุกอย่างเพื่อความร่ำรวย ทั้งกอบโกยเบียดเบียนคดโกง
กลัวแก่กลัวไม่สวยก็ทำศัลยกรรมเพื่อหนีสังขารก็เป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น
สำหรับความโกรธความกลัวเราควรคิดหรือทำอย่างไร?
ทำอย่างไรจึงจะตื่นจากฝันร้ายได้เสียที?
ถ้าเราโกรธเรากลัวสิ่งใดให้เราพิจารณาให้เห็นตามที่มันเป็นจริง
มีความรักเมตตาให้อภัยต่อกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เราไม่ชอบ
อย่าไปฆ่าสัตว์เล็กๆที่เราเกลียด
ยิ่งเราโกรธใครหรือสิ่งใดมากเท่าใดก็เหมือน
เรายิ่งทำร้ายตัวเองด้วยการเผาไหม้ใจของตัวเองทุกครั้งที่คิดถึงหรือเจอเขา
และการกระทำที่เราทำลงไปก็ยังเป็นไปตามกฏแห่งกรรม
ที่เขาและเราจะต้องจองเวรกันไปทุกภพทุกชาติอีกด้วย
ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธเราต้องมีศีลห้าเป็นอย่างน้อยเพื่อไม่ให้เราไปฆ่า
ไปทำร้ายหรือไปด่าว่าใคร
และสิ่งสำคัญในการตื่นจากฝันก็คือการฝึกให้มีสติ
เพราะเมื่อมีสติที่ตั้งมั่นและฝึกไว้ได้ดีแล้วจะเห็นโลกตามความเป็นจริง
ว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ความรักความโกรธและความกลัว
เป็นอารมณ์ที่เกิดและดับไปเป็นธรรมดาเหมือนอารมณ์ทั่วๆไป
เมื่อมีสติรู้ตามเป็นจริง เราก็สามารถตื่นจากความหลงต่างๆ
ไม่ว่าจะหลงรัก หลงโกรธ หลงกลัว
ชีวิตที่ตื่นขึ้นมาจากการลืมตาฝัน แม้จะเป็นระยะสั้นๆด้วยสติ
ก็ย่อมได้รับความสุขจากความรู้สึกว่า
เมื่อกี้มันแค่ฝันร้ายไปแค่นั้นเอง
แทนที่จะต้องผิดหวังในความรัก
หลงไปโกรธหรือกลัวกันทั้งชีวิต
ก็จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ชีวิตเราก็จะค่อยๆโปร่งเบา
เพราะไม่ได้แบกสิ่งคิดว่าดีหรือไม่ดีเอาไว้ให้ต้องเป็นทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ฝันร้ายครั้งต่อไปอย่าฝันกันนานนะครับ
เดี๋ยวกว่าจะรู้ว่าฝันร้ายก็อาจเป็นลมหายใจสุดท้ายแล้วก็ได้
เพราะชีวิตของเราก็เป็นแค่ความฝันเรื่องหนึ่ง
ก่อนที่จะเดินทางกันต่อไปในสังสารวัฏอันยืดยาวจนหาที่เริ่มต้น และที่สิ้นสุดไม่ได้
มีสติรักเมตตาและให้อภัยกันเถิดนะครับ
เราก็ต่างเกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมสุข ร่วมทุกข์ไม่ต่างกันทั้งนี้น
คิดได้อย่างนี้โลกคงจะสดใสน่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ
คุณคิดอย่างผมบ้างไหมครับ ^^
อ๋า วนารักษ์ เรื่องและภาพประกอบทั้งหมด
Create Date : 19 กรกฎาคม 2554 |
|
102 comments |
Last Update : 9 สิงหาคม 2554 14:30:05 น. |
Counter : 3813 Pageviews. |
|
|
|