คืนอุบาทว์
คืนอุบาทว์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แก่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนสยองขวัญ

ผมเคยเล่าเรื่องไอ้จ่อยโดนผีหลอกที่หลังร้านเหล้า เพราะออกไปยืนระบายโซดาเหมือนคนอื่นๆ แล้วคืนนั้นเอง ไอ้จ่อยก็ถูกงูกัดตาย!

เรื่อง นี้เล่าลือกันไปทั้งหมู่บ้านนาคำไฮ แม้แต่แคมป์สร้างทางของพวกเราก็ยังอดพูดกันไม่ได้ เพราะอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ไอ้จ่อยมันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาที่โต๊ะ ปรากฏว่าโดนผีญาติสาวหล้าหลอกหลอน...กับตอนขากลับที่มันลงจากรถปิกอัพของหัว หน้าจักรเป็นคนแรก

ใครจะไปนึกล่ะครับว่าไอ้จ่อยจะไปโดนงูเห่ากัดตายน่ะ?

ที่พูดกันปากต่อปากก็คือ...ผีเฒ่าสายมาบอกหรือมาเตือนให้ไอ้จ่อยรู้ตัว จะว่าเป็นลางร้ายหรือลางมรณะก็ได้!

ตอน แรกๆ ก็ดูท่าว่าจะเข็ดหลาบร้านเหล้าในหมู่บ้านแล้วละครับ แต่อาทิตย์ต่อมาพวกเราก็ยกโขยงไปที่ร้านเดินตามเคย อ้างว่าเห็นแก่คุณพี่จักร-นายช่างเซอร์เวย์...แกคงไม่อยากส่องกล้องดูถนนหน ทาง มีแต่ความแห้งแล้งน่าเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตา แต่คงอยากจะส่องกล้องน้องหล้าขาวสวย หน้าอกหน้าใจตูมเต่งเต็มอกซะไม่มีมากกว่า! แฮ่ม...

สรุปว่าเย็น วันเสาร์ก็ขมีขมันยกโขยงขึ้นรถปิกอัพของพี่จักรไปล้อมวงกันที่เก่า เราได้เหล้าเข้าไปหน้าตึงๆ กับลูกพี่เล่นหูเล่นตากับสาวหล้าได้ซักพัก ก็เป็นอันว่าลืมเรื่องผีเฒ่าสายซะสนิท แต่ยังไม่ถึงกับกล้าหาญออกไปยืนฉี่หลังร้านหรอกครับ มันมืดสลัว แถมน่าวังเวงใจยังไงบอกไม่ถูก...กะว่ามีใครเดินออกมาแล้วเราถึงจะรีบสวนทาง ไปเข้าห้องน้ำ

เหตุการณ์ผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบานมาราวเดือนเศษ...

ระหว่าง นั้น คุณพี่จักรมักจะขอตัวเข้าห้องน้ำบ่อย นึกเอะใจหันไปมองดูน้องหล้าก็ไม่เห็น คิดในแง่ดีว่าอาจจะมีตู้กับชั้นวางสินค้าบังอยู่ก็เป็นได้ แต่พอสาวน้อยเดินอกกระเพื่อมหน้าแดงออกมาทางหน้าร้านได้เดี๋ยวเดียว พี่จักรก็เดินยิ้มระรื่นออกมาด้านหลังไล่ๆ กัน

"ปากว่ามือถึงเลยลูกพี่" ไอ้ผินยุตามเคย หน้าตากระเหี้ยนกระหือรือสุดๆ "จ๊กทะแม่ะ! บ้านผมบอกว่าล้วงได้ล้วงเลย"

"ไอ้โง่เอ๊ย!" ไอ้เวียงด่าเพื่อน "มึงอย่าพูดจาลามกเลยวะ บาดหูว่ะ...ป่านนี้พี่จักรจ๊กเข้าไปถึงไหนๆ แล้วมั้ง"

เล่น เอาฮากันตึง นายช่างเซอร์เวย์จากโคราชยังอดปล่อยก๊ากไม่ได้... เผลอหันไปมองน้องหล้าคนงาม แหม! เธอกำลังมองอย่างระแวงอยู่พอดี เลยขว้างค้อนให้ซะ 2-3 วงติดๆ กัน...พวกผู้ชายขี้เมาก็แบบนี้ล่ะ อย่าถือสาหาความกันเลยครับ

คราวนี้ก็ถึงตอนขากลับ...

ตอน ที่ไอ้จ่อยตายใหม่ๆ น่ะ ต้องยอมรับว่าพวกเราอดนึกหวาดไม่ได้...โดยเฉพาะตอนที่รถแล่นผ่านทางเข้าบ้าน มัน มีแต่ป่าละเมาะร่มครึ้ม จะมีอะไรซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังก็ไม่อาจล่วงรู้หรือมองเห็น...มิน่าล่ะ เพื่อนเราถึงได้พลาดพลั้งไปโดนงูเห่าฉกเข้าให้น่ะ

จนกระทั่งถึงคืนอุบาทว์ชาติชั่วของพวกเราทั้งสามคน...

คืน นั้น ร้านเหล้าค่อนข้างบางตาชอบกล ดูเหมือนคอเหล้าหลายคนจะชวนกันเข้าอำเภอเพื่อเปิดหูเปิดตา กับหาซื้อของกินของใช้ แต่พวกเราก็ไปปักหลักตั้งแต่ตอนเย็นตามเคย

สังเกต ว่าลูกพี่ไม่ค่อยเข้าห้องน้ำบ่อยๆ เหมือนเสาร์ก่อนๆ สาวหล้าอกอะร้าอร่ามกว่าเดิมก็ไม่หายไปจากหน้าร้าน...จนกระทั่งสบโอกาสตอน พี่จักรไปเข้าห้องน้ำ น้องหล้าก็ทำเฉยเมยคล้ายไม่สนอกสนใจอะไร ผมเลยถามไอ้ผินว่า...ตอนนี้เขาเลิกจ๊กกันแล้วเหรอะวะ? ไอ้เวียงยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่ตอบแทนเพื่อน

ตอนกลางวันพี่จักรเขาขับรถไปปูเสื่อกินข้าวกับนังหล้าในป่าโปร่งนั่นแล้วโว้ย!

แค่ นี้ก็ถึงบางอ้อ...หนุ่มสาวสมัยนี้ไวไฟไม่ว่ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดหรอกครับ...เสียดายที่พอถึงไคลแมกซ์แล้วงานกร่อยไปพะเรอแน่ะ... จนกระทั่งถึงขากลับ เรานั่งกันเงียบๆ มาถึงจุดที่เคยส่งไอ้จ่อยลงเมื่อเดือนที่แล้ว ...แสงไฟสาดจ้าไปกระทบกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ริมทางใกล้ๆ ป่าละเมาะพอดี

"ใครวะ? คล้ายไอ้จ่อย" ไอ้ผินหลุดปาก ไอ้เวียงด่าพึม...ก็พอดีร่างนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ แสงไฟส่องจับใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาดำปี๋ ปากอ้าเผยอราวจะเรียกพวกเรา...ไอ้จ่อยน่ะเอง

เสียงด่า ขรมถมเถไม่รู้ว่าใครเป็นใคร...รถปิกอัพที่แล่นมาดีๆ กระชากพรวดจนผมผงะหงาย ม่านตาลายพร่า สองหูอื้ออึงแต่ยังได้ยินเสียงไอ้จ่อยแหบโหยตามหลังมา...รอด้วย...รอกูด้วย!

คืน นั้น ไอ้ผินไม่ยอมลงรถเป็นคนแรก แต่ขอลงตามผมกับไอ้เวียง เพราะมันกลัวจะเจอไอ้จ่อยรออยู่กลางทาง...ตั้งแต่นั้นก็เลิกไปกินเหล้าที่ ร้านในหมู่บ้านจนกระทั่งเสร็จงาน ไม่อยากช็อกตายเพราะโดนผีหลอกน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUzTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4Tnc9PQ==



Create Date : 17 มีนาคม 2552
Last Update : 17 มีนาคม 2552 19:22:11 น.
Counter : 791 Pageviews.

1 comment
ลางตาย!
ลางตาย!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"แก่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสัญญาณมรณะ

ผม เป็นเด็กอีสานอยู่บ้านนาคำไฮ พอเรียนจบม.ต้นแล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา เหมือนกับเพื่อนฝูงหมู่บ้านเดียวกันเช่น ไอ้ผิน ไอ้จ่อย ไอ้เวียง ว่างเข้าก็ออกยิงนกตกปลา หากบหาเขียด หาอึ่งหากะปอมกินไปตามเรื่อง

แถว บ้านผมงูชุกชุมเอาการ โดนกัดเหมาะๆ เข้าก็ไปเกิดใหม่ได้เหมือนกัน เวลาเข้าป่ารกต้องมีมีดมีไม้คอยให้สุ้มให้เสียงเสียก่อนก็หมดปัญหา ผมกับเพื่อนๆ ต้องระวังเรื่องนี้ เพราะเรามักจะตั้งวงกันตอนเย็นๆ ที่ร้านเหล้าบ่อยๆ กว่าจะแยกย้ายกลับก็ค่ำมืดแทบจะดึกดื่นเป็นประจำ

เหตุเกิดเมื่อทางการเขาจัดการทำถนนแดงมาเป็นถนนดำเข้าหมู่บ้านน่ะซีครับ

ถนน ลาดยางนั่นแหละครับ ระยะทางจากถนนหลวงเข้ามาเป็นระยะ 12 กิโลเมตร มีการตั้งแคมป์ทั้งที่ปากทางกับหมู่บ้าน เพื่อสร้างทางไปบรรจบกัน ทำให้พวกเราได้งานทำกันทุกคน โดยมีหน้าที่ตีขอบทาง เพื่อให้เขาเอากรวดกับทรายมาเท ไม่ให้มันไหลออกนอกทางที่จะราดยางไงครับ ไม่งั้นมีหวังเทเท่าไหร่มันก็ไหลลงข้างทางหมด

ไอ้หนุ่มลูกทุ่งเพิ่งจะทำมาหากินได้อาทิตย์ละพันสองร้อยบาท (วันอาทิตย์หยุด) ตกเย็นวงเหล้าของเราก็ครึกครื้นยิ่งกว่าเดิมเป็นพะเรอ!

คุณ พี่จักร-นายช่างเซอร์เวย์เป็นหนุ่มโคราช อาศัยหลับนอนอยู่ในแคมป์ แถมมีรถปิกอัพส่วนตัวใช้ ตกเย็นมักจะชวนพวกผมไปหาอะไรกินในหมู่บ้าน...ดูเหมือนจะปิ๊งน้องหล้า หลานสาวเจ้าของร้านซะแล้ว...พวกเราเชียร์สนั่นเป็นที่ถูกใจคุณพี่จักรนักแล

อ้อ! พวกผมไม่ใช่ตลกบริโภคนะครับ บอกก่อน...จะให้เขาเลี้ยงเหล้าพวกเราบ่อยๆ ก็ไม่สวย เลยช่วยกันออกเงินทองตามสมควร... สัมพันธภาพของเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นทุกที

คืนหนึ่งเกิดเหตุร้ายโดยไม่มีใครนึกฝัน!

คืน นั้นตรงกับวันเสาร์พอดี ไม่ต้องสงสัยละครับว่าวงเหล้าของเราจะครึกครื้นแค่ไหน...เงินเต็มกระเป๋า พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องทำงาน นอนแถกเหงือกกันตะวันโด่งได้ตามสบาย ปัญหาน่ารำคาญในวงเหล้าหรือโต๊ะใกล้เคียงก็ไม่มี เพราะล้วนแต่คนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น รู้จักกันแทบทุกคนอยู่แล้ว

ใครอยากคุยโม้ บ้าน้ำลายจนพูดพล่าม ร้องเพลงประสานเสียงกันก็เชิญตามสบาย ไม่มีใครขุ่นเคืองหรือขัดคอ มีแต่เสียงเฮๆ น่าสนุกพิลึก

คุณ พี่จักรกับน้องหล้าทำท่าว่าจะเข้าอกเข้าใจกันดี เพราะเอาแต่มาลันดูแกมาแลดูกันจนแทบจะไม่แยแสคนอื่น เดี๋ยวๆ คุณพี่ก็เข้าห้องน้ำแวะคุยใกล้ชิดกับคุณน้อง ขาออกมาก็คุยต่อกะหนุงกะหนิง...ใครจะแซวยังไงก็ไม่สน ทำเป็นหูหนวกตาบอดดื้อๆ ซะยังงั้นเอง

พวกเรามักจะลุกเข้าห้องน้ำหลังร้านบ่อยๆ บางทีก็ต้องยืนรอ ใครทนไม่ไหวก็ออกประตูหลังไประบายของเหลวที่ป่าละเมาะมืดครึ้ม

ตอน นั้นสี่ทุ่มกว่าแล้ว...บอกกล่าวกันว่าแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้าย แล้วทยอยกันเข้าห้องน้ำ...จนถึงคราวไอ้จ่อยที่มันผอมกะหร่องสมชื่อ เดินกระย่องกระแย่งหายลับไปทางด้านหลัง ส่วนไอ้ผินก็หันไปมองคุณพี่จักร...ยุยงให้ไปเจ๊าะแจ๊ะน้องหล้าก่อนจากกัน ไอ้เวียงส่งเสริมว่า กอดได้ก็กอด จูบได้ก็จูบนะหัวหน้า!

หนุ่มโคราช หัวเราะเขินๆ หน้าแดงก่ำเชียว เมื่อเจอลูกยุให้กระทำตนเป็นคนมือไวใจเร็ว หรือปากว่ามือถึง...ผมว่าคุณพี่จักรแกก็คงนึกหมั่นเขี้ยวน้องหล้าหน้าหวานๆ อกอวบอั๋นสั่นกระเพื่อมล่อตาไม่ใช่น้อย...

พอดีไอ้จ่อยเดินหน้าตา ตื่นออกมา บอกว่าเจอลุงแก่ๆ ยืนจ้องเขม็งมาจากพุ่มไม้ ตอนที่มันกำลังยืนฉี่อย่างสบายอารมณ์...ไอ้ผินก็พูดดังๆ ว่าญาติน้องหล้าละมั้ง?

แหม! เด็กสาวหูไวออกมายืนฟังแล้วส่ายหน้าดิก ถามว่า...ลุงที่ว่าผมขาว หนวดขาวใช่ไหม? ไอ้จ่อยพยักหน้า หล้าก็ย่นคิ้วกลืนน้ำลายเอื๊อก...พ่อเฒ่าสายตายไปหลายปีแล้วนี่นา!

ไม่ ต้องพูดอะไรอีกแล้ว บรรยากาศมันเยือกเย็นวังเวงใจจนพูดไม่ออก นอกจากให้คิดเงินแล้วขึ้นรถกลับกันเงียบๆ ไอ้จ่อยถึงก่อน... ตามด้วยไอ้ผิน ส่วนผมกับไอ้เวียงเป็นคนสุดท้ายที่ลงรถก่อนจะถึงแคมป์

คืนนั้น แทนที่จะหลับสนิท ผมกลับนอนสะดุ้งผวา มองเห็นแต่หน้าพ่อเฒ่าสายที่ไอ้จ่อยมันเห็น นัยน์ตาดุวาวจ้องเขม็งน่ากลัวพิลึก

ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อครับ รุ่งขึ้นตอนสายๆ ก็ได้ข่าวว่าไอ้จ่อยถูกงูเห่ากัดตายก่อนถึงบ้าน...คนอื่นๆ ก็ไปถ่ายเบาที่หลังร้านกันทั้งนั้น แต่ทำไมเพื่อนผมถึงได้ซวยสุดขีดคนเดียว...ได้แต่พูดกันว่าไอ้จ่อยดวงขาดพอดี นึกแล้วขนหัวลุกครับ บรื๋อออ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUyTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4Tmc9PQ==



Create Date : 16 มีนาคม 2552
Last Update : 16 มีนาคม 2552 18:25:07 น.
Counter : 1268 Pageviews.

2 comment
ผีกระต่ายจาม!
ผีกระต่ายจาม!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป้างาม" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากป่าช้าผีดุ

ป้าเพิ่งเล่าเรื่อง "ป่าช้าผีดิบ" กับ "ป่าช้าผีแห้ง" ไปหยกๆ พอดีมีหลานยายพาเพื่อนจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวอยุธยา แหม! ป้าเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของแม่พวกสาวๆ สมัยใหม่แล้วแทบจะเป็นลมตาย!

คุณ เธอสวมเสื้อยืดคอกว้างแขนกุด แหม...ก็เสื้อกล้ามเราดีๆ นี่แหละคุณ อวดหน้าท้องขาวจั๊วะเหมือนท้องหนูพุกเชียว กางกุ้งกางเกงของแม่เจ้าประคุณทูนหัว...แค่คืบเดียวเท่านั้นจริงๆ ถ้ามดเท็จล่ะก็ให้ป้าตายไปอย่าได้พบพระพบเจ้าเถอะค่ะ

ขอบกางเกงอยู่ใต้ท้องน้อย...แปะติดตรงนั้นแหละค่ะเอาไว้แทบไม่มิด ขากางเกงก็เสมอเป้า แถมเว้าขึ้นไปทั้งสองข้างอีกต่างห่าง โชว์ก้นกอยกับขาอ่อนขาวจั๊วะชนิดถึงไหนถึงกัน ทำไมแม่เจ้าประคุณถึงไม่แก้ผ้าแก้ผ่อนออกมาเดินอวดชาวบ้านให้สิ้นเรื่องสิ้น ราวไปก็ไม่รู้ซีคุณ?

แหม! พวกเจ้าหนุ่มเจ้าแก่เห็นเข้าถึงกับตาลุกตาชัน จ้องมองเหมือนลูกกะตาจะถลนออกมานอกเบ้า พวกแม่สาวๆ ชาวกรุงน่ะหรือคะ? โอ๊ย! เจ้าหล่อนไม่อับอายอะไรหรอก...ไม่สนใจไยดีซะด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะชอบอกชอบใจซะอีกที่มีพวกผู้ชายมาจ้องมองเหมือนจะจัดการแก้ผ้าแก้ ผ่อนด้วยมือของนัยน์ตา...ว่าไปนั่นเลย! ฮิฮิ

ในที่สุดก็มาถึงเรื่องขนหัวลุกจนได้ เมื่อป้าเล่าเรื่องป่าช้าผีสดกับป่าช้าผีแห้งให้ฟัง

"ไอ้ต้นกระต่ายจามนี่มันเป็นยังไงคะ? คุณป้าขา" เพื่อนหลานป้าชื่อหนูแอร์ถามขึ้น ทำตากะแป๋วแหวว แอ๊บแบ๊วน่าตบ...เอ๊ย! น่าร้าก...ป้าก็ทำเป็นพูดช้าๆ เนิบๆ อธิบายในอาการของคนภูมิเยอะ พอให้เข้าใจว่า...

ชื่อเป็นทางการคือ "การบูรป่า" เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป ต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ขอบใบจักถี่ มีกลิ่นคล้ายกะเพราและโหระพา ดอกเล็กสีม่วงออกเป็นช่อเรียวยาวตามง่ามใบและยอด ชาวบ้านเรียก ข้าวคำ หรือ พริกกระต่าย, กระต่ายจาม

อีกชนิดหนึ่งชื่อกระต่ายจามตรงๆ ชอบขึ้นตามพื้นที่ลุ่มต่ำ แฉะ ต้นเตี้ยติดดินคล้ายต้นผักเบี้ย ใบเล็กเว้าเข้าทั้งสองด้าน ปลายใบแหลมคล้ายสามง่าม ใบมีกลิ่นเหม็น ใช้ทำยาได้ บ้างก็เรียกว่า กระต่ายจันทร์, สาบแร้ง, หญ้ากระจาม หรือหญ้าจาม สรุปว่า ทั้งคนทั้งกระต่ายไปดมเอาใบแห้งๆ เข้าก็จามฮัดเช้ย...หูตาสว่างไสวทั้งนั้นแหละ หนูจ๋า...

"คุณป้าเล่าว่าต้นกระต่ายจามชอบขึ้นในป่าช้าผีแห้ง ที่อื่นๆ ไม่มีมั่งหรือคะ? หนูไม่เคยเห็นในกรุงเทพฯ ซักครั้งเดียว" หนูแอร์ซักไซ้ขึ้นมา แม่แก้มหลานสาวป้าก็เสริมขึ้นว่าหนูก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน...ถ้าไปดูที่ ป่าช้าจะเห็นมั้ยคะ?

ป้าตอบไปตามตรงว่าป้าไม่ได้มีธุระปะปังไปที่นั่นนานมาแล้ว อาจจะยังอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ อยากรู้ต้องไปดูเอาเอง...หนูแอร์ดีใจตบมือจนอกกระเพื่อม

"พรุ่งนี้บ่ายๆ ไปดูกันนะ แก้ม...คืนนี้นอนเถอะ ดึกล้าว..."

ป้าฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้างเลยค่ะ...ไม่รู้ว่า "ดึกล้าว" กับ "ดึกแล้ว" ของหนูแบ...เอ๊ย! หนูแอร์นี่มันจะแปลความอย่างเดียวกันหรือเปล่า...ดัด...เอ๊ย! น่ารักจริงจริ๊งแม่คุณ! เฮ้อ...

วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายพวกสาวๆ พากันไปทัศนาจรป่าช้า ส่วนป้าก็จัดการเข้าครัวทำกับข้าวพวกกุ้งและปลาให้เด็กๆ กิน แม่แก้มหลานป้าบอกว่าอยากกินฉู่ฉี่ปลาน้ำเงิน...บอกว่าอยากอวดฝีมือป้าว่า เจ๋งแค่ไหน! ดูมันช่างพูดให้คนแก่ชื่นอกชื่นใจ ยอมเหนื่อยเพราะบ้ายอนี่เอง

อ้าว? เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า พวกสาวๆ ก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาซีดเซียวกลับบ้าน บอกว่าโดนผีหลอกเข้าให้...ป้าไม่อยากเชื่อเลยถามว่าผีมันหลอกยังไงยะหล่อน?

แม่แก้มกับหนูแอร์เล่าว่า ที่ป่าช้าแห้งไม่มีกระต๊อบเก็บผีใส่โลงไว้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว แต่มีพวกกอไผ่หลายกอ, ต้นไม้เล็กๆ อย่างสะแก, ข่อย และไม้พุ่มอย่างมะกล่ำตาหนู...มองหากระต่ายจามเท่าไหร่ก็ไม่พบ คิดว่าคงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว

ขณะนั้นเมฆหนาทึบก็เคลื่อนเข้ามาบังแสงอาทิตย์ อากาศเย็นวูบ ลมแรงๆ พัดซ่าจนขนลุกซู่...กระต่ายอวบอ้วนสีขาวตัวหนึ่งกระโดดหยองๆ จากไหนไม่รู้มาที่โคนกอไผ่แล้วเอียงคอมองพวกสาวๆ อย่างสนใจ

คุณพระคุณเจ้า! ฉับพลันทันใดนั้น กระต่ายเจ้ากรรมก็ยกหัวขึ้นแล้วสะบัดหน้าทำท่าจามแฟ้ดออกมาเสียงดัง...ฮัดเช้ย!!

หนูแบ...เอ๊ย! หนูแอร์ร้องวี้ดสุดเสียง กระโดดกอดหนูแก้ม เพราะเสียงกระต่ายจามนั่นมันคือเสียงคนชัดๆ พร้อมกับเสียงกอไผ่โดนลมเบียดเสียดกันดังออดแอด พอมองเข้าไปก็ตัวแข็งทื่อไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างผู้ชายดำมะเมื่อมยืนตาแดงจ้าอยู่กลางกอไผ่นั่นเอง

หนู แอร์ขอตัวกลับกรุงเทพฯ เย็นนั้นเอง บอกว่าทนอยู่ไม่ไหว...ภาพของผีตนนั้นมันติดหูติดตาเหลือเกิน! เล่นเอาป้าพลอยขนหัวลุกไปอีกคนค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV5TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4TWc9PQ==



Create Date : 12 มีนาคม 2552
Last Update : 12 มีนาคม 2552 22:09:30 น.
Counter : 789 Pageviews.

3 comment
ห้องอาถรรพณ์
ห้องอาถรรพณ์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ฟองน้ำ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพัก

ฉันเป็นคนกลัวผี ดังนั้น เมื่อต้องหาหอพักเช่าอยู่เพื่อความสะดวกในการไปเรียนมหาวิทยาลัย ฉันจึงต้องเลือกเฟ้นที่มันดูใหม่เอี่ยมที่สุด จะได้ไม่มีประวัติซับซ้อนมากนัก และฉันก็ได้สมใจค่ะ...แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังจะนำฉันไปสู่ประสบการณ์ขนหัว ลุกสุดขีด!

เจ้าหน้าที่สาวสวยที่ลงทะเบียน และทำสัญญาเช่าหอให้ฉันนั้นดูจะกังวลยังไงพิกล

"เหลือห้องเดียวนะคะ...ห้อง 814" อ๊ะ! บวกได้ 13 พอดี...ฉันคิดในใจ แล้วรู้สึกฉงนเมื่อหล่อนพูดต่อ "น้องมีเพื่อนมาพักด้วยรึเปล่า? ถ้ามีก็ดีนะ หรือหากยังไม่มีก็รีบหามาเร็วๆ"

"เอ๊ะ! ทำไมล่ะคะ?"

"อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ จะได้แชร์ค่าเช่ากันไง"

ฉันรับคีย์การ์ดและกุญแจห้องดอกเล็กๆ มา แล้วหล่อนก็พาฉันขึ้นไปดูห้อง

มันเป็นห้องที่สวยพอใช้ได้ เหมาะจะอยู่คนเดียว มีห้องน้ำและระเบียงเล็กๆ มองลงไปจากที่สูงลิ่วจนใจหวิวๆ

เป็นอันว่าตกลงกันเรียบร้อย ฉันขนของมาอยู่วันรุ่งขึ้น รู้สึกเหงาๆ เพราะไม่เคยฉายเฉี่ยวอย่างนี้เลย ปกติก็อยู่บ้านที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย แต่ดูเหมือนทุกคนไม่ค่อยห่วงฉันนัก...อย่างแรกอาจจะเป็นเพราะฉันเป็นสาวห้าว เรียนศิลปะป้องกันตัวมาอย่างดี และมีมือถือไว้โทร.หาแม่ได้ตลอดเวลา

แม้จะเหงา แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นอิสรเสรี เหมือนกับว่าต่อไปนี้ฉันจะเผชิญโลกด้วยตัวฉันเอง!

คิดถึงแม่จัง...น้ำตาชักจะรื้นๆ ขึ้นมาล่ะซิ ฉันยกชายเสื้อขึ้นมาซับจนเสื้อเปียกเป็นดวงโต ช่วยไม่ได้! ตอนนี้ฉันกำลังยืนดูตะวันตกดินอยู่ที่ระเบียงเล็กๆ ของห้องเช่า...นับเป็นสนธยาครั้งแรกสำหรับการใช้ชีวิตตามลำพัง

กำลังจะกลับเข้าห้อง เอ๋...นั่นอะไร?

กลุ่มควันสีขาวเหมือนหมอก ลอยตัวอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้า ห่างไปราว 3-4 ก้าว...มันอยู่ในห้องที่มืดสลัวเพราะฉันยังไม่ได้เปิดไฟ ฉันแทบลืมหายใจเพราะมัวแต่จ้องมอง...

กลุ่มควันนั้นมีขนาดเท่าครึ่งตัวคน ลอยจับตัวเป็นวงรี สูงระดับตาฉันพอดี แล้วมันก็ม้วนตัวหายไป...ไม่ใช่สลายไปในอากาศหรอกนะ แต่จางไปเฉยๆ เออ...แปลกแฮะ! หรือว่าเราตาฝาดเพราะมองแสงตะวันนานไปหน่อย

จะอย่างไรก็ตาม ฉันกลับไม่นึกกลัวว่ามันเป็นผีสางอะไร แค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้น

นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นมัน!!

ครั้ง ที่สองเกิดขึ้นตอนกลางดึก คือฉันตื่นขึ้นและมองนาฬิกาหัวเตียงว่าเป็นตีสองครึ่ง พอลุกจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำ ฉันก็เห็นกลุ่มควันประหลาดนั่นอีก...มันลอยอยู่หน้าห้องน้ำเป็นหมอกมัวๆ รูปวงรีแนวตั้ง สูงระดับตา แล้วทันใดนั้น ราวกับมันอายที่ฉันเห็นมัน...ควันนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

คราวนี้ชักจะยังไงๆ แล้วซิ ฉันขนลุกซ่าตามแขน...หรือว่ามันจะเป็นควันจากเครื่องปรับอากาศ?

ครั้งที่สามเกิดขึ้นในวันที่ห้า...ครั้งนี้ล่ะที่ทำให้ฉันต้องเผ่น!

ตีสองครึ่ง ฉันตื่นเหมือนถูกใครปลุก นี่ขนาดนอนเปิดไฟไว้ดวงหนึ่งนะ ก็บอกแล้วว่าเป็นคนกลัวผี จะให้นอนปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อได้ยังไง...ฉันจึงเห็นกลุ่มควันนั้นชัดเจน มันลอยอยู่ข้างเตียงและขยายยืดยาวลงมา

คุณพระคุณเจ้าช่วย! ฉันเห็นว่าภายในกลุ่มหมอกควันที่น่าขนหัวลุกนั้นเริ่มมีเงาจางๆ ก่อตัวขึ้น เป็นผู้หญิงผมยาว ผอม สูง ใส่ชุดนอนแบบไนลอนสีขาวๆ เธอยืนก้มหน้า...และชัดขึ้นทุกทีๆ

ใครจะไปรอให้มันมีอะไรมากไปกว่านี้ล่ะคะ ฉันเผ่นออกจากห้องทันที และวิ่งไปที่ลิฟต์ กดลงไปหายามที่เป็นลุงแก่ๆ แกเป็นชีวิตเดียวที่ตื่นอยู่เหมือนฉัน

ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณนั้นมาจากไหน? แต่เขาเจอกันทุกคนที่มาอยู่ห้องนี้!

รุ่ง ขึ้นฉันจับไข้ ไม่เรียนหนังสือ และบอกให้พ่อขับรถมารับกลับบ้านด่วน ยอมผิดสัญญา ยอมเสียค่าประกัน ยอมเดินทางไกลจากบ้านไปมหาวิทยาลัย...บอกแล้วไงว่าเป็นคนกลัวผี! บรื๋ออออ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV4TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4TVE9PQ==



Create Date : 11 มีนาคม 2552
Last Update : 11 มีนาคม 2552 19:49:20 น.
Counter : 710 Pageviews.

1 comment
ป่ากลางกรุง
ป่ากลางกรุง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"มัธยันต์" เล่าประสบการณ์สุดหลอนจากคืนพระจันทร์เต็มดวง

แม้ ว่าบ้านผมที่ราชวัตรจะพูดได้เต็มปากว่าอยู่กลางกรุงเทพฯ แต่อาณาเขตเกือบสองไร่ในซอยมิตรอนันต์ ตรงข้ามกรมสรรพสามิต แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมาย ราวกับเป็นป่าโปร่งขนาดย่อมๆ กับสวนดอกไม้แทบจะท่วมท้นไปถึงสนามหน้าบ้านก็แล้วกัน

ไม้ใหญ่ที่ว่า มักจะปลูกอยู่ริมรั้ว เช่น มะขามเฒ่า, มะม่วง, มะยม, ปีบ, คูน, ลิ้นฟ้า, จำปี, ปาล์ม, ท้อ, มะพร้าวและสาเก...สองอย่างหลังโค่นทิ้งเพราะใบรกกับใกล้หมดสภาพเต็มที

ขนาดรองๆ ลงมาก็คือ ทับทิม, ฝรั่งเวียดนาม, แค, ชะอม, มิกกี้เมาส์, จันทน์แดง หรือจันทน์ผา, วาสนา, ตะโกดัด, โมก, นมแมวและราตรี

เทียน หยดเหลืองอร่ามไปทั้งต้น เทียนกิ่งแดงฉาน ประชันกับดอกปีบขาวโพลนตอนต้นฤดูหนาว แสงจันทร์สีทองงามสะพรั่งทั้งในแสงแดด และแสงจันทร์ ชวนชมน้อยใหญ่ที่ออกดอกแสนสวยตรงปลายยอด เรียกขานเสียใหม่ว่า "ลีลาวดี" เพื่อหลบเลี่ยงคำว่า ลั่นทมป้องกันคล้าย คลึงกับ "ระทม" นั่นประไร

...ไหนจะกุหลาบ, มะลิ, พุดสามสี, หอมเจ็ดชั้น กลิ่นเหมือนเนยอวลกรุ่นน่าชื่นใจ

นอก จากนั้น ยังมีจำปีแขก, หงอนไก่, ไผ่ตงที่ใต้ร่มเงาพริกขี้หนูกับมะเขือพวง, เฟิร์นข้าหลวง, อัญชันเลื้อยพันต้นหม่อนที่พุ่งชะลูด พอๆ กับเฟื่องฟ้าที่เลื้อยขึ้นไปคลุมรั้ว ชวนชมใหญ่และแคระ...กระถางขุนแผน นั่งแท่น, เฟิร์นกระดุม, เฟิร์นก้างปลา, หางกระรอก, สาลิกาลิ้นทองต้นเล็กๆ แต่ตกลูกสะพรั่งต้น พอๆ กับส้มจี๊ดที่อวดลูกสีทองแสนดกให้ชื่นใจแรมเดือน

ครั้น ลูกแก่เริ่มร่วงหล่นก็ผลิดอกขาว ก่อนจะปรากฏผลนิดๆ สีเขียวให้ชื่นชม รอวันเติบโตอีกแล้ว พอๆ กับ "เงินไหลมา" ที่ตัดกิ่งก้านทิ้งไม่ช้าก็ผลิใบสวยงามตามเดิม...

ตอนเย็นๆ ค่ำๆ พวกเราจะนั่งรับลม ชมนกชมไม้ที่เจริญตาเจริญใจ ...กระรอกแสนสวย 2-3 ตัววิ่งเล่นไล่กันมาจากต้นมะม่วง โดดลงมาเหลียวซ้ายแลขวาที่กิ่งหม่อน ก่อนจะโดดแผล็วไปที่หมากเหลืองกอใหญ่ ต่อไปถึงวาสนาที่ออกดอกระย้าเต็มต้น

บนพื้นดินมีว่านสวยๆ เรียงรายใกล้ๆ กระถางบัวที่ชูก้านอวดดอกสีสวยๆ ทั้งม่วง, เหลืองและขาว ขึ้นมารับแดดตั้งแต่เช้าแทบทั้งวัน

ซันนี่-นกแก้วมาคอว์ที่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็น "ลูกป้อน" ร้องกรี๊ดกร๊าดจากกรงในบ้านไม่ขาดเสียง

หมา พันทาง 3-4 ตัวหมอบอยู่ใกล้ๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องขังนกแก้วกับกระต่ายขาวชื่อ มูนนี่ ไว้ในกรง...เจ้าสองตัวนี่ไม่ถูกกัน อันที่จริงเจ้าซันนี่ไม่ถูกกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่าหมา, กระต่าย, กระรอกที่คอย เกาะแข้งเกาะขาเกือบทุกคนอยู่ตลอดเวลา

เจ้าซันนี่มันคง นึกว่าตัวเองเป็นหมาเมื่อไปร้องโวยวายเหมือนจะท้าเจ้านินจา-หมาดำตัวใหญ่ให้ มาสู้กัน...นินจามันงับทีเดียวก็ทะลุตัวซันนี่แล้วล่ะ!

วันหนึ่ง กระต่ายขาวมูนนี่ก็สิ้นลมหายใจทั้งๆ ที่นัยน์ตาสีทับทิมยังลืมโพลง...

เรา ขุดหลุมฝังมันที่ใต้ต้นจำปี ใกล้ๆ กับโคน "กล้วยพัด" ที่หามาปลูก ตั้งแต่ยังต้นน้อยๆ จนสูงไล่ๆ รั้วบ้านแล้ว...ที่นั่นยังมีกระถางหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้นเล็กๆ กับกระถางตะบองเพชรแคระที่ยังจำศีลอยู่ในดิน

ตอนที่มูนนี่ตาย ใหม่ๆ เราเก็บกรงและขวดน้ำ ทำความสะอาดจนโล่งกว้าง...แต่เมื่อปล่อยนกแก้วออกจากกรง ซันนี่ชอบเดินเตาะแตะไปเอียงคอมองตรงที่เคยมีกรงของมูนนี่อยู่ บางทีก็เดินอ้อมไปมา ไม่ยอมเหยียบไปตรงที่เคยตั้งกรงเด็ดขาด!

ตอนค่ำๆ เสียงนกแก้วร้องเบาๆ ตามองเป๋งเหมือนจะทักทายกระต่ายที่เคยเป็นคู่อาฆาตกันมาก่อน...

จนกระทั่งคืนหนึ่ง ตรงกับวันพระใหญ่ พระจันทร์เต็มดวง

เรา นั่งที่โต๊ะสนามหน้าซุ้มอัญชันและต้นหม่อน แหงนหน้ามองดูกระต่ายในพระจันทร์เต็มดวง ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็น สรรพสิ่งดูเงียบเชียบ มีแต่เสียงสายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้...เสียงลูกชายคนเล็กที่คอยดูแล ทั้งนกแก้วกับกระต่ายก็ชี้มือไปที่โคนกล้วยพัด

"พ่อแม่ดูที่นั่นซี..."

ผม หันมองตามสายตาไป...กระต่ายสีขาวตัวหนึ่งกำลังหมอบอยู่ที่พื้นหญ้าริมรั้ว นัยน์ตาสีชมพูมองดูดวงจันทร์ก่อนจะหันมามองเรา...เสียงใครดังขึ้นว่า มูนนี่!

กระต่ายขาวผงกหัวคล้ายจะขานรับก่อนจะกระโดดช้าๆ ไปที่ข้างกระ ถางหม้อข้าวหม้อแกงลิง...แล้วเผ่นแผล็วหายเข้าไปในต้นกล้วยพัดที่แผ่ใบกว้าง ขวาง เหมือนจะปกป้องบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่อาจจะรู้เห็น หรือประจักษ์แจ้งด้วยประการทั้งปวง...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV3TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4TUE9PQ==



Create Date : 10 มีนาคม 2552
Last Update : 10 มีนาคม 2552 19:32:15 น.
Counter : 827 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend