แดนผีดุ!
แดนผีดุ!
คอลัมน์ ขุนหัวลุก
"เสน่ห์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกรุงเก่า
สมัยหนุ่มผมอยู่อำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา หรือกรุงเก่าที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อๆ กันมาว่า สงครามระหว่างไทยกับพม่าหลายต่อหลายครั้ง ทำให้มีผู้คนล้มตายเหลือคณานับ ตั้งแต่ทหารจนถึงชาวบ้านร้านช่องที่จับอาวุธสู้ศึกไม่คิดชีวิต
เชื่อกันว่ามีกองกระดูกทับถมกันอยู่ใต้พื้นดินทุกหนทุกแห่ง!
วิญญาณที่เคียดแค้น อัดอั้นตันใจเจียนจะคลุ้มคลั่ง เจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานล้วนแต่สิงสู่อยู่ทุกหมู่บ้านและตำบล แม้ว่าส่วนหนึ่งจะไปผุดไปเกิดแล้วก็ตาม แต่วิญญาณอีกส่วนหนึ่งยังคงล่องลอยอยู่ในกรุงเก่า...ไหนจะวิญญาณใหม่ๆ ที่ตายซับตายซ้อนกันอีกมากมายตามกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานอีกล่ะครับ
เป็นดินแดนผีดุที่สุดในเมืองไทยก็ว่าได้! ตั้งแต่ปากคลองบ้านกุ่มเข้าไป มีบ้านเรือนใหญ่น้อยตามริมคลอง ขนาบด้วยถนนลูกรัง ผ่ากลางระหว่างหมู่บ้านกับท้องนาเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
มีวัดโบสถ์อยู่ด้านซ้ายติดคลอง แต่ป่าช้ากลับอยู่ด้านขวาคนละฟากถนนติดกับทุ่งนา ริมทางเรียงรายด้วยดงสะแกคล้ายจะเป็นรั้วที่กั้นถนนกับป่าช้าที่ซุกซ่อนอยู่ ในดงไม้ดกหนาร่มครึ้ม...มีคนผ่านไปตอนค่ำเห็นร่างดำๆ นั่งยองๆ สูบยาแดงวูบวาบอยู่ข้างเมรุปูนเป็นประจำ
พูดก็พูดเถอะครับ ผมว่าหมู่บ้านเรามีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกชะมัด!
ตั้งแต่วัดโบสถ์ไปจนถึงโรงเรียนครูประสิทธิ์ผู้เป็นอัมพาต ใช้ชั้นบนของบ้านนั่นแหละเป็นชั้นเรียน แม้ว่าครูประสิทธิ์จะดุ ครูลออภรรยาแกก็ใจดี พวกพ่อแม่ล้วนแต่ไว้เนื้อเชื่อใจให้ลูกเต้าไปเรียนที่นั่นแทบทุกหลังคาเรือน
ถัดไปก็คือบ้านลุงพรำ-ลิเกเก่า ฉายา "ลุงพรำอ่างแพร็ม" มีลูกชายลูกสาวหลายคน คนหนึ่งไปเป็นทหารอากาศที่กรุงเทพฯ คนโตช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร่ แต่ก็เกิดอุบัติเหตุสยองตั้งแต่ยังหนุ่มแน่ะครับ
วันนั้นพี่ชายกับน้องที่เพิ่งมาจากกรุงเทพฯ ข้ามถนนไปเล่นที่ท้องนาหน้าบ้าน มีผู้คนค่อนข้างหนาตา ทั้งไปเดินเล่นบ้าง ล้อมวงซดน้ำขาวบ้าง พวกหนุ่มสาวก็นั่งออดพลอดกันสำราญใจ...ลูกชายคนโตลุงพรำไม่รู้นึกยังไง ไต่เดียะๆ ขึ้นต้นตาลคล่องแคล่วเพราะชำนาญมาตั้งแต่สมัยเด็ก คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครสนใจนัก
จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนโหวกโหวยลงมาจากยอดตาล
"เฮ้ย! กูลงไม่ได้โว้ย! ช่วยด้วย..."
ขาดเสียงร้องโหยหวน ทุกคนที่แหงนหน้ามองก็แทบช็อกคาที่ไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างชายเคราะห์ร้ายร่วงลิ่วๆ ลงมากระแทกพื้นดิน...กระดอนขึ้นไปแล้วหล่นลงมาอีกครั้ง เลือดทะลักจากปากจมูกเป็นลิ่มๆ นัยน์ตาลืมโพลงบ่งบอกความอกสั่นขวัญแขวนสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!
ปีต่อมาก็เกิดเรื่องสยองขึ้นอีก เมื่อทิดเยื้อนไปตัดสะแกริมทางมาตระเตรียมไว้เป็นฟืนอยู่ไฟให้เมียที่ท้อง จวนแก่...เหลือแต่โคนแหลมเสี้ยมน่ากลัว แต่คนบางบาลชินเสียแล้วเพราะไม่ช้าก็งอกงามเป็นปกติดังเดิม
ป้าแม้นกลับจากเยี่ยมหลานที่ป่าโมกมาลงรถที่วัดจุฬา แล้วลงแพชักรอกข้ามแม่น้ำขึ้นที่ท่าบ้านกุ่ม...เย็นนั้นฝนตกถนนลื่นมา ตั้งแต่บ่าย ป้าแม้นเดินเลยป่าช้าไปไม่ไกลก็ลื่นไถล...หวีดร้องโหยหวนเมื่อเสียหลักลงไป โดนปลายแหลมของกิ่งสะแกเสียบทะลุอก...ดิ้นรนทนทุกข์อยู่ครู่ใหญ่ก็สิ้นใจ
ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านคลองบ้านกุ่มก็แทบจะไม่เป็นอันสงบสุขกันได้เลย!
ตอนบ่ายแก่ๆ หรือตอนเย็น จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากยอดตาลน่าขนลุกขนพอง...ครั้นตอนค่ำๆ ก็มีเสียงหวีดร้องมาจากดงสะแกแถวๆ หน้าป่าช้า หมูหมาก็หอนโจ๋วรับกันเป็นทอดๆ ไปทั้งสองฝั่งถนน
คืนหนึ่งราวทุ่มเศษ ผมกลับจากจังหวัดมาพร้อมกับไอ้เผือกไอ้ผ่อง-สองพี่น้องที่อยู่บ้านติดๆ กัน เลยบ้านครูประสิทธิ์ไปหน่อย พอพ้นศาลาท่าน้ำมาได้นิดเดียวก็เห็นร่างท้วมๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งเดินนำหน้า ดูคุ้นๆ ตาชอบกล พอดีไอ้ผ่องชะงักกึก หลุดปากว่า...ป้าแม้น?!
ทันใดนั้น ร่างที่เดินนำหน้าก็หันมายิ้มให้ นรกเป็นพยาน! ป้าแม้นนั่นเอง...ท่ามกลางเสียงร้องเอะอะ ผงะหน้าไปตามๆ กัน พร้อมๆ กับที่ร่างท้วมของป้าแม้นเสียหลักเซถลาไปหาดงสะแกที่เคยเสียบอกแกทะลุหลัง เมื่อเดือนก่อน
คราวนี้ก็เช่นกัน...ร่างท่วมเลือดดิ้นรน นัยน์ตาเหลือกลาน ร้องลั่นขอความช่วยเหลือ แต่เราสามคนวิ่งกระเจิงเป็นลมพัด...กลับถึงบ้านก็ถึงกับนอนแผ่หลาด้วยความ เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจตาย!
ยังงี้จะไม่ให้เรียกบ้านผมว่าดงผีดุได้ยังไงครับ? บรื๋ออออ....
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOVEE0TURjMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB3T0E9PQ==