วิญญาณยังอยู่
วิญญาณยังอยู่

ขนหัวลุก

"ใบหนาด"



"ลักษิกา" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากครอบครัวน้องสาว

ผี!! ใช่ว่าจะน่ากลัวเสมอไป ถ้าหากผีนั้นเป็นวิญญาณของคนที่เรารักมากเหลือเกิน เราอยากเจอเขาด้วยซ้ำไป!

เขา อาจทำให้คนอื่นถึงกับจับไข้หัวโกร๋น แต่สำหรับเราแล้ว เราอยากรู้ที่สุดเลยว่าหลังความตายเขายังอยู่จริงหรือเปล่า? สุขสบายดีไหม? หายเจ็บปวดจากสภาพที่ทำให้ตายหรือยัง

เมื่อความตายมาพราก นั่นคือการจากกันชั่วกัลปาวสาน แต่ถ้ามีเหตุการณ์ที่มาพิสูจน์ได้ว่าวิญญาณมีจริง มันจะช่วยบรรเทาความเศร้าโศกไปได้เยอะเลย เพราะทำให้เรามีหวังว่าสักวันเราจะได้พบกัน และอยู่ด้วยกันอีก

ดิฉัน ซาบซึ้งกับความรู้สึกนั้นดี เพราะเมื่อปีที่แล้วน้องสาวของดิฉันประสบอุบัติเหตุ ตายพร้อมกับสามีและลูกๆ ตัวน้อย...ตายทั้งครอบครัวเลยค่ะ!

เรื่องนี้ทำให้เหลือดิฉันอยู่กับคุณแม่เพียงสองคนเท่านั้น

บ้าน น้องสาวอยู่ถัดไปแค่สองซอยกลายเป็นบ้านร้างที่ร่ำลือว่าผีดุมาก ไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้ เคยมีขโมยปีนเข้าไปในยามวิกาลต้องเผ่นออกมา กลายเป็นบ้าเป็นบอไปซะงั้น...มันเพ้อว่าผู้หญิงนอนแช่น้ำเลือดสดๆ อยู่ในอ่าง และมีเด็กผู้หญิงเล็กๆ สองคนมาเล่นจ๊ะเอ๋กับมันด้วย

บ้าน หลังนี้คุณแม่กับดิฉันซื้อที่ดินและปลูกเรือนหอเป็นของขวัญให้น้องต้อย เมื่อพวกเขาตายมันก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณแม่ ซึ่งเรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะขายหรือให้เช่าดี?

เวลาว่างๆ คุณแม่มักจะเดินเรื่อยๆ ไปที่บ้านนั้น และนั่งเหงาหงอยอยู่จนมืดค่ำ หรือจนกว่าดิฉันจะกลับจากทำงานและขับรถไปรับ เพราะเด็กรับใช้ไม่กล้าไป

การถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้านผีสิงทำให้เกิดข้อดีอยู่สองประการ

ประการ แรก ไม่มีขโมยหน้าไหนกล้าเข้าไปถอดประตูหน้าต่าง หรืองัดแงะเอาอะไรไปขายอีกเลย ประการต่อมา ดิฉันรู้สึกแช่มชื่นขึ้นเมื่อสำนึกว่าถ้ามีผีก็แปลว่าวิญญาณน้องสาว น้องเขยและหลานๆ ยังอยู่ที่นั่น...ดิฉันจะได้พบพวกเขาได้อีกสักครั้งไหมนะ?

คืน หนึ่ง หลังจากคุณแม่เข้านอน ดิฉันก็ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองเพราะอยากเห็นกับตา อยากติดต่อถามสารทุกข์สุกดิบ พูดง่ายๆ คือคิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจนทนทรมานอยู่คนเดียวไม่ได้

ดิฉันไปถึงบ้านนั้นเกือบสี่ ทุ่มแล้วล่ะค่ะ ในซอยเงียบกริบ เพื่อนบ้านโผล่มามองทางหน้าต่างเมื่อดิฉันเปิดประตูใหญ่ ถอยรถเข้าไปจอดอย่างดิบดี พวกเขาคงอุ่นใจว่าคืนนี้มีคนมาอยู่ และคงจะทึ่งจัดเมื่อเห็นดิฉันมาค้างคนเดียว

พอไปถึงดิฉันก็เปิด หน้าต่างทุกบานให้อากาศถ่ายเท พลางนึกขำๆ ว่าหน้าต่างพวกนี้เราไม่ต้องปิดก็ย่อมได้ เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่แล้วล่ะ

คืนนี้ดิฉันตั้งใจว่าจะนอนตรง โซฟาหน้าทีวีในห้องรับแขก อ้อ...ทั้งทีวีและเครื่องเสียงยังอยู่ครบไม่มีตีนแมวมาฉกฉวยมันไปหรอก สภาพในห้องอื่นๆ ก็เช่นกัน ของใช้ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม ดิฉันเดินดูรอบๆ บ้านแล้วใจหาย มันดูราวกับว่าน้องสาว น้องเขยและหลานๆ กำลังออกไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง...และกำลังจะกลับเข้าบ้านในนาทีใดนาทีหนึ่ง

ห้า ทุ่มกว่าๆ ดิฉันปิดทีวี ดับไฟทุกดวงในบ้าน นั่งนิ่งๆ ตามลำพังที่โซฟา ความมืดสงัดล้อมรอบ เงียบจนได้ยินเสียงกระดานลั่น เสียงจิ้งจกและแมลงกลางคืน

ไหนนะ? ขโมยมันบอกว่าเจอผู้หญิงนอนแช่เลือดในอ่างอาบน้ำนี่นา!

ดิฉัน เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน แสงสว่างจากไฟถนนทำให้ในบ้านไม่ถึงกับมืดสนิท ดิฉันเปิดประตูเข้าไปดูในห้องนอนของน้องสาวกับน้องเขย จากนั้นก็เข้าไปในห้องหลานๆ นี่ถ้าพวกแกนั่งตาแป๋วอยู่ล่ะก็ดิฉันจะดีใจมากเชียว

ใจระทึกนิดหน่อย เมื่อเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำ จ้องไปที่อ่างอาบน้ำก็ได้ยินแต่เสียงน้ำหยด ดิฉันเอื้อมมือไปปิดก๊อกให้สนิท ถอนใจยาวแล้วกลับมานอนที่โซฟา พยายามทำใจให้เป็นสมาธิ เผื่อว่าวิญญาณจะได้ติดต่อกับดิฉันได้

เสียงแมวร้องครวญครางมาจากที่ไกลๆ เสียงหมาหอนกันขรมแล้วก็เงียบไป

ดิฉันหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และฝันเห็นทุกคนที่ล่วงลับไปแล้วนั้น...

ใน ฝัน เป็นตอนเช้าที่มีแสงแดดสว่างสดใส หลานๆ มานั่งดูการ์ตูนอยู่ใกล้ๆ ดิฉัน ที่ยังนอนเหยียดยาวบนโซฟา น้องเขยล้างรถอยู่ข้างนอก มองออกไปจากตรงนี้ก็เห็น ส่วนน้องสาวทำกับข้าวอยู่ในครัว พลางคุยกับดิฉันแทบไม่หยุดปาก เพียงแต่ดิฉันไม่ได้ยินอะไรเลยได้แต่นอนลืมตาเฉยๆ

มันเป็นฝันที่ เหมือนจริงมากๆ จนเมื่อตื่นขึ้นมาดิฉันยังรู้สึกว่าพวกเขายังอยู่ใกล้ๆ และดำเนินชีวิตอยู่ในบ้านนี้ในขณะนั้นจริงๆ ตามที่ดิฉันเห็น

ดิฉัน ออกจากที่นั่นด้วยจิตใจที่เบาสบายขึ้น และเล่าเรื่องให้แม่ฟัง...แม่ยิ้มและบอกว่า พวกเขาคงอยู่สบายในอีกมิติหนึ่งอย่างที่ดิฉันได้เข้าไปพบเจอนั่นแหละค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV4TURJMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNaTB4TVE9PQ==



Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 19:16:41 น.
Counter : 728 Pageviews.

0 comment
ปีศาจตึกร้าง
ปีศาจตึกร้าง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ลุงแมว" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบ้านสวนธนบุรี

ตึก ที่ไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ บ้านย่านบางกอกน้อย เจ้าของเดิมชื่อลุงเปี๊ยก อดีตนักเลงเก่าย่านนั้นมาตั้งแต่หนุ่มๆ เป็นตึกแถวสามคูหา เคยเปิดโล่งกว้างขวาง ค้าขายทั้งอาหารตามสั่ง และของชำสารพัดอย่าง รวมทั้งน้ำชากาแฟและเหล้าเบียร์ที่มีคนในซอยมาอุดหนุนไม่ขาดระยะ

ยิ่ง ตอนเย็นๆ ค่ำๆ ด้วยแล้ว คอเหล้ารุ่นเล็กรุ่นใหญ่จะมาตั้งวงกันทั้งในร้านและหน้าร้านราว 2-3 โต๊ะ คุยโม้โอ้อวดกันตามประสาคอเหล้า รวมทั้งสัปดี้สีปดนสารพัด

จู่ๆ ลุงเปี๊ยกก็ตกบันไดลงมาคอหักตายตอนกลางดึก หลังจากเผาศพไปแล้วลูกเมียก็อพยพไปอยู่ที่อื่น เห็นว่าจะกลับไปบ้านเดิมที่มหาชัย ตึกแถวก็ปิดทิ้งไว้เฉยๆ ได้ข่าวว่าเขาประกาศขายเหมือนกัน แต่ยังหาคนซื้อที่จะตกลงจริงๆ จังๆ ไม่ได้ซักที

อาจารย์หยอยอาชีพ "ใบ้หวย" กับตาบ่ายบอกว่าผีลุงเปี๊ยกดุจะตายชัก ใครขืนมาอยู่ที่นั่นมีหวังโดนเล่นงานขวัญหนีดีฝ่อแน่นอน!

ตอน แรกๆ สองเกลอเคยเดินควงคู่กันออกมาจากก้นซอยตอนเย็นๆ แถมนุ่งโสร่งเก่าๆ ชนิดใกล้จะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่ แล้วมานั่งจุ้มปุ๊ก ส่งเสียงขากกับกระแอมกระไอ ก่อนจะร้องสั่งเหล้าขาวหรือเชี่ยงชุน ส่วนกับแกล้มก็แล้วแต่เงินในกระเป๋าจะอำนวย

อาจารย์หยอยมักจะ เริ่มอารัมภบทว่า...ไอ้เราเรอะให้หวยแม่นเป็นตาเห็น บอกว่าหมากัดกัน หน็อย! พวกมันเล่น 24 เพราะว่าหมา 2 ตัวมี 4 ขา แต่ไอ้บ้างก็เล่น 28 เพราะหมา 2 ตัวมีขา 8 ขา...แล้วเป็นไง? หวยมันออกมาตรงๆ 10 เสือกไม่มีใครแทงถูกซักคนเดียว

"หวยออก 10 แล้วเอ็งจะว่ามันออกมาตรงๆ ได้ยังไง?" ตาบ่ายสงสัย

" อูบ๊ะ! ไอ้เซ่อ...นี่แหละที่เขาว่าโง่แล้วยังอยากนอนเตียง" อาจารย์หยอยตบโต๊ะผาง "หมา 2 ตัวน่ะมันย่อมมี 8 ขากับ 2 หางใช่ไหมเล่า?" เมื่อนับรวมกันแล้วก็ได้ 10 ตรงๆ เสือกคิดไม่ออกกันเอง พุทโธ่!"

ตา บ่ายพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงเห็นพ้องด้วย สาเหตุเพราะอาจารย์หยอยเป็นเจ้ามือเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่ก็ไร้ปัญหา เพราะอาจารย์หยอยมีความสามารถในการพูดจาให้ลุงเปี๊ยกใจอ่อน ยอมให้แปะโป้งได้ทุกครั้ง

เมื่อร้านเหล้าขาประจำกลายเป็นตึกร้าง สองเกลอก็ต้องถ่อออกไปเกือบถึงปากซอย มีผ้าขาวม้าพาดไหล่เพิ่มเติม อาจารย์หยอยใช้ลูกไม้บอกเลขเด็ดให้ป้าแล่มเจ้าของร้านชนิดเป็นความลับสุดยอด ...ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่สองเกลอก็ถูลู่ถูกังหาเหล้ายาคอหอยได้แทบทุกวันไป

จนกระทั่งโดนผีลุงเปี๊ยกหลอกเข้าอย่างจั๋งหนับ!

คืน นั้นบังเอิญป้าแล่มถูกหวยที่ได้จากอาจารย์หยอย แกก็เลยออกปากให้สองเกลอดื่มกินอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นการสมนาคุณอย่างถึงอกถึงใจ สองสหายเจอะเจอลาภปากเข้าก็นั่งติดลมจนปาเข้าไปสี่ทุ่มเศษเลยเวลาปิดร้าน ป้าแล่มเลยตัดรำคาญด้วยการเปิดเหล้าตราเสือขวดใหม่มาให้อาจารย์หยอยหิ้วกลับ บ้าน

สองเกลอเดินซดเหล้าพลางร้องเพลงอย่างมีความสุข เข้าซอยที่ดูว่างเปล่าเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟ...เสียงหมาหอนโจ๋วมาเข้าหูทำให้ อาจารย์หยอยด่าพึมพลางเหลียวซ้ายแลขวา...จนกระทั่งผ่านตึกร้างของลุงเปี๊ยก พอดี

"ว่าไงวะ ไอ้หยอย? เมื่อไหร่จะใช้หนี้ค่าเหล้ากูซักที?"

เสียงแหบห้าวดังมาจากใต้ชายคาสว่างสลัว สองเกลอหันขวับไปป้องหน้ามอง

" ใครวะมาเรียกกูไอ้หยอย? ชะช้า! กูชื่ออาจารย์หยอยโว้ย... อ๋อ! นึกว่าใคร..." แกหัวเราะร่าเมื่อเห็นร่างดำๆ ของลุงเปี๊ยกยืนเท้าสะเอวจ้องมอง "พ่อเปี๊ยกนี่เอง...หายหน้าหายตาไปไหนซะตั้งนานล่ะ ออกจะคิดถึงแน่ะ"

ฝ่าย ตาบ่ายหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป จ้องมองดูปีศาจลุงเปี๊ยกแทบจะกลั้นใจ เอื้อมมือสั่นๆ ไปสะกิดเอวเพื่อนเกลอ แต่อาจารย์หยอยกลับหัวเราะร่า ยื่นขวดเหล้าไปให้ผีลุงเปี๊ยก พลางคะยั้นคะยอให้ดื่มซะหน่อย

ปรากฏว่ามือที่ถือขวดทะลุร่างของ ฝ่ายนั้นไปดื้อๆ เล่นเอาอาจารย์หยอยชะงักกึกเสียงสั่นเครือของตาบ่ายก็ดังขึ้นว่า...ผีตา เปี๊ยกชัดๆ เผ่นเถอะโว้ย!

ลมหนาวกระโชกวูบ ยอดไม้ไหวซ่าพร้อมๆ กับร่างลุงเปี๊ยกหายวับไปกับตา...อาจารย์หยอยร้องจ้า โยนขวดทิ้งจนแตกกระจายโครมคราม ยิ่งทำให้ชายชราเผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตมีร่างตาบ่ายกวดตามมาติดๆ แว่วเสียงหัวเราะแหบโหยของปีศาจลุงเปี๊ยกดังไล่หลังมาติดๆ

สองเกลอสิ้นสติอยู่แถวพงหญ้าข้างทางนั่นเอง กว่าจะฟื้นก็รุ่งอรุณเมื่อศิษย์ตถาคตออกบิณฑบาตโปรดสัตว์พอดี!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV3TURJMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNaTB4TUE9PQ==



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 19:21:24 น.
Counter : 786 Pageviews.

1 comment
นรกในลิฟต์
นรกในลิฟต์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"พิมพ์บุญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลิฟต์สุดหลอน

ดิฉัน ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ ไปที่เคยฝันทั้งดีทั้งร้าย บางครั้งก็ฝันดีมากจนตื่นขึ้นมายังอยากให้ฝันเป็นจริง แต่บางคราวก็ฝันร้ายจนสะดุ้งตื่น หัวใจเต้นโครมครามเหมือนเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นชนิดจวนเป็นจวนตาย มาหยกๆ

แต่ความฝันที่กลายเป็นจริง แถมหลอนสุดขีดที่ดิฉันได้ประสบมาเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง คือฝันร้ายที่จะไม่มีวันลืมลงไปจนชั่วชีวิตสลาย

เรื่องเป็นดังนี้ค่ะ

ดิฉัน ทำงานที่บริษัทต่างประเทศแห่งหนึ่งที่ถนนสีลม ชีวิตส่วนตัวยังครองโสดอยู่กับพ่อแม่และญาติห่างๆ ที่มาช่วยเป็นแม่บ้านแถวบางพลัด ก่อนนอนดิฉันสวดมนต์ไหว้พระทุกคืน บางคืนถ้าไม่เพลียจนเกินไปก็จะนั่งสมาธิราว 10-15 นาที ช่วยให้จิตใจสงบดีมากๆ

คืนนั้นเองดิฉันก็ฝันเห็นสาวสวยผู้หนึ่งใน ชุดกระโปรงรัดรูปสีแดง ผมยาวสยายแต่งหน้าเข้ม สะสวยเหมือนดาราหรือนางงาม รูปร่างดูระเหิดระหงสมส่วน ไม่มีที่ให้ติเลยค่ะ

สถานที่นั้นดูไม่ แน่ชัดว่าเป็นแห่งหนใด รู้แต่กว้างขวาง เวิ้งว้าง รู้สึกใจหายเหมือนกัน เพราะตัวเองกลัวความสูง แต่ผู้หญิงคนนั้นหันมองด้วยนัยน์ตาดำขลับ ดูโดดเด่นด้วยอายแชโดว์กับมาสคาร่าสีเข้ม แล้วเธอก็ยิ้มให้ดิฉัน...

วูบหนึ่ง ดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัวเพราะรอยยิ้มของเธอนั่นเอง!

บอก ไม่ถูกจริงๆ ว่าเป็นยิ้มที่แสดงความรู้สึกแบบไหนกันแน่? เพราะมันมีทั้งความเริงร่าและเศร้าสร้อย ยั่วเย้าระคนเย้ยหยัน ที่ดูไม่ออกว่าประชดประชัน เยาะเย้ยโลกทั้งโลกหรือแม้แต่เย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น...ผมยาวสยายกระจายช้าๆ เหนือแผ่นหลังคล้ายภาพสโลว์โมชั่น...

ร่างแสนสวยในชุดแดงพุ่งลิ่วหาย ไปต่อหน้าต่อตาเหมือนกับนกที่บินเร็วที่สุดในโลก แว่วเสียงหวีดร้องเสียงแหลม โหยหวนบาดใจห่างวูบออกไปในพริบตา!

ดิฉัน เองก็หวีดร้องด้วยความตกใจ สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อแตกซิกเต็มหน้าผาก...ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อนึก ได้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝันเพ้อเจ้อ ไร้สาระ อย่างที่เขาว่า "กินมากก็ฝันมาก" เท่านั้นเอง

พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน...ไม่อยากคิดถึง ความฝันน่าใจหายใจคว่ำนั้นให้เสียเวลาหลับนอน...มิหนำซ้ำเธอในฝันก็ไม่ใช่ ญาติมิตร หรือแม้แต่เคยหน้ามาก่อนสักครั้งเดียว

เช้าวันรุ่งขึ้น เกิดมีอุบัติเหตุขวางซอย ทำให้ไปถึงบริษัทสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง

รีบ ร้อนก้าวขึ้นลิฟต์ กดไปชั้นที่ 12 ไม่มีพนักงานหนาแน่นเหมือนตอนใกล้เวลาทำงาน...มีคนในลิฟต์อยู่ก่อนคนเดียว ...ผู้หญิงผมยาวในชุดแดง!!

ดิฉันยืนตะลึง อ้าปากค้าง เย็นวาบตั้งแต่ท้ายทอยไปตามไขสันหลัง... แม้ว่าเธอจะยืนสงบนิ่ง หน้าตาที่แต่งเข้มแบบเดียวกับที่เห็นในฝันจะมองดิฉันยิ้มๆ อย่างเป็นมิตร...แต่เธออยู่ในลิฟต์ก่อนที่ดิฉันจะใช้ลิฟต์ชั้นล่างสุดแท้ๆ

พยายาม นึกในแง่ดีว่าเธออาจจะตามหลังดิฉันเข้ามา แต่ก็แน่ใจว่าไม่มีใครแน่ๆ แล้วเธอจะลงมาจากชั้นบนเพื่อกลับขึ้นไปอีกทำไม? หรือลืมของไว้เลยกลับขึ้นไปเอา

ช่างเถอะน่า ดิฉันพยายามสลัดความคิดสับสนอลเวงออกไป...อีกไม่ช้าก็จะถึงจุดหมายแล้ว แต่อดเจ็บใจไม่ได้ว่าทำไมเกิดอุบัติเหตุให้ต้องมาช้านะ? ไม่งั้นก็จะมีเพื่อนขึ้นลิฟต์หลายคน ไม่ต้องเจอะเจอสาวชุดแดงคนนี้...

คุณพระช่วย! เราไม่เคยรู้จักกันเลย ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนด้วยซ้ำ ทำไมดิฉันฝันถึงเธอล่ะ? ฝันตอนดึก พอรุ่งเช้าก็เจอตัวจริงทันที!

หรือ จะเป็นผีที่ตายในลิฟต์? กระโดดตึกตาย? แล้วเธอไปเข้าฝันทำไม? แถมมารอพบในลิฟต์สองต่อสองอีกต่างหาก! โอย...อยากกลั้นใจตายอยู่ตรงนั้นให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ลิฟต์เจ้ากรรมทำไมช้าเหลือเกิน...ครั้นเหลือบตาไปมองก็พบว่าเธออมยิ้มนิดๆ เหมือนจะรู้เท่าทันทุกอย่าง

ประตูลิฟต์เปิดออก! ดิฉันรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น กระโดดโหยงออกไปก่อนจะหันขวับ...เธอยิ้มกว้างที่เต็มไปด�วยเลศนัยเหมือนใน ความฝัน โบกมือช้าๆ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิท

ดิฉันแทบจะคลานไป ผลักประตูเข้าห้องทำงาน พนักงานต้อนรับกับแม่บ้านหันมามองอย่างงุนงง...ดิฉันกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก ไม่ถามและไม่เล่าให้ใครฟังทั้งนั้นว่าเกิดเรื่องน่าสยดสยองอะไรขึ้นบ้าง?

เธอ อาจจะเป็นลมในลิฟต์ หรือกระโดดตึกตาย...ถึงแม้จะได้คำตอบก็จริงแต่คงไม่มีใครบอกได้แน่ๆ ว่า...ดิฉันฝันถึงเธอได้ยังไง? นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREE1TURJMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNaTB3T1E9PQ==



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 19:20:00 น.
Counter : 776 Pageviews.

0 comment
คืนอุบาทว์
คืนอุบาทว์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ต้น"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาผีสิง

ผม กับเจ้าต๋องเป็นเด็กบ้านสวนมาแต่อ้อนแต่ออก นอกจากจะอยู่บ้านใกล้ๆ กันแล้วยังเรียนหนังสือและจบออกมาพร้อมกัน นิสัยใจคอชอบเที่ยวเตร่คล้ายๆ กัน...ที่น่าแปลกและชวนให้ขนหัวลุกก็คือ เราถูกผีหลอกพร้อมๆ กันเลยครับ

สาเหตุ มาจากนิสัยรักสนุก เสาร์อาทิตย์ชอบชวนกันไปเที่ยวตะลอนๆ ไม่ว่าวงเวียนใหญ่ สวนจตุจักร เขาดิน บางคืนก็เข้าคาเฟ่ เฮฮากับนักร้องน้องรักไปจนมึนได้ที่ ถึงจะนั่งรถเมล์กลับบ้าน

คืนเกิดเหตุเราไปดูดนตรีลูกทุ่งกลางแจ้ง ที่เขาจัดเป็นประจำทุกวันอาทิตย์มาหลายปีแล้ว ผู้คนคลั่กๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพราะดูฟรี ถ้าใครไปช้าก็ต้องตีตั๋วยืนครับ ถ้าหน้าฝนก็มักจะเตรียมร่มเอาไว้กันแดดกันฝนเรียบร้อย

ค่ำนั้นไม่รู้ ผมเขม่นตาเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่เพลงดี ดนตรีไพเราะ นักร้องหนุ่มสาวก็โชว์ลูกได้ไม่เลว โดยเฉพาะหางเครื่อง...แหม! ล้วนแต่สูงยาวเข่าดีกันเกือบทุกคนเชียวคุณเอ๋ย

หรือผมจะนึกรำคาญพวก ที่ชอบไปยืนเกาะเวที ถือดอกไม้มั่ง พวงมาลัยมั่ง ชูว่อนคล้ายจะขอส่วนบุญงั้นแหละ ทั้งๆ ที่นักร้องกำลังร้องเพลงให้แฟนนับพันฟังอยู่แท้ๆ เขายังไม่ผละมารับมาลัยก็ชูว่อนๆ เรียกร้องจนนักร้องทนไม่ไหว ต้องถือไมล์มาก้มตัวรับมาลัยบ้าๆ นั่น

โธ่! เขายืนร้องเพลงใส่อารมณ์อยู่ดีๆ นะครับ ถ้าไม่มารับดอกไม้หรือมาลัยก็หาว่าเล่นตัว แต่ถ้าต้องมาย่อเข่าก้มหน้า...หรือแม้แต่ยื่นมือออกมารับเสียงเพลงก็สะดุดไป ไม่มากก็น้อย...น่าจะมีใครประกาศเตือนให้รักษามรรยาทซะมั่งก็ยังดี

อยากมอบดอกไม้จริงๆ ก็น่าจะรอให้เขาร้องเพลงจบซะก่อน...น่าเกลียดจัง!

ผม ชวนไอ้ต๋องออกมากลางคัน แวะหาอะไรดวดดื่มดีกว่าไปทนรำคาญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ราวสองทุ่มกว่ารู้สึกเขม่นตาขึ้นทุกที ตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า...เดี๋ยวจะมีเรื่องมีราวให้เดือดร้อนเพราะอารมณ์บ่ จอยอย่างที่ว่า

นั่งรถเมล์มาต่อรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายพอดี...

ผู้ โดยสารลงตามรายทางที่มีเรือกสวนเปล่าเปลี่ยว เหลือแต่เราสองคนนั่งไปจนสุดระยะที่ลานวัด...รถตีวงย้อนกลับทางเก่า สรรพสิ่งดูเงียบเชียบเยือกเย็นอยู่ในแสงสว่างจากเสาไฟฟ้า เราเดินผ่านเมรุที่ยืนทะมึนอยู่ทางขวาไปสู่ศาลาท่าน้ำ เพื่อจะเลี้ยวไปตามทางเดินที่เลียบลำคลอง มองเห็นต้นไม้ใหญ่น้อยฝั่งตรงข้ามร่มครึ้มน่าวังเวงใจ

เอ๊ะ! ใครมานั่งกอดเข่าสูบยาแดงวาบๆ อยู่ในความมืดสลัวของศาลาเก่าแก่นั่นน่ะ...เห็นรูปเงาตะคุ่มๆ ว่าเป็นตาแก่ผอมกงโก้ เปลือยอกทั้งๆ ที่อากาศในเดือนธันวาคมค่อนข้างหนาวเย็น

ช่างเถอะ เราไม่หวั่นกลัวอะไรหรอกเพราะเป็นถิ่นตัวเอง เคยเดินผ่านทั้งกลางวันกลางคืนมาตั้งแต่เด็กจนเติบหนุ่ม ได้ยินเสียงไอ้ต๋องพึมพำมาเข้าหูว่า...ใครวะ? แต่ผมไม่ตอบให้เสียเวลา รีบเดินนำหน้าไปสู่ทางเลียบคลองเพราะอยากถึงบ้านเร็วๆ แต่เสียงไอ้ต๋องดังขึ้นอีก

"เอ๊ะ! มันหายไปไหนวะ?"

คราวนี้ผมหันขวับ...อะไรหาย? อ๋อ! ผู้ชายที่นั่งกอดเข่าสูบยาแดงวาบๆ ในศาลาน่ะซีครับที่หายไปไหนไม่รู้

เอา ละซี! เราเห็นกันทั้งคู่ ไม่ใช่ว่าใครเห็นคนเดียวเสียที่ไหน ผมเขม่นตาตุบๆ จนหงุดหงิดไม่มีเหตุผล บอกว่ามันคงหลบไปอยู่ข้างล่างใกล้ๆ บันไดท่าน้ำแหละ จู่ๆ จะหายไปได้ยังไง เออ! ถ้าเป็นผีก็ว่าไปอย่าง...

คุณพระช่วย! ที่ศาลานั่นไม่มีวี่แววของใครเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากกลิ่นเหม็นอับๆ สาบๆ สางๆ เหมือนผีตายซากลอยกรุ่นอยู่รอบๆ ตัว...

จู่ๆ ยอดไม้ริมคลองก็ไหวซ่าจนผมหวิดสะดุ้ง ไอ้ต๋องเบียดแจ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ส่วนผมก็พูดอะไรไม่ออก รีบผละออกเดินเลียบคลอง...แต่เสียงสั่นๆ ก็ดังขึ้นว่า...มึงดูที่เมรุซีวะ! เห็นมั้ย?

นรกเป็นพยาน! ร่างผอมกงโก้ของชายคนเดิมไปนั่งกอดเข่าสูบยาวาบๆ ที่เชิงตะกอน เล่นเอาผมก้าวขาไม่ออก อ้าปากค้าง เบิกตาจ้องมองดูร่างประหลาดที่ลุกพรวดพราดขึ้นมาจนไอ้ต๋องร้องเอิ๊บ! ผีหลอกโว้ย...

ผมเผ่นผึงปานลมพัด ไอ้ต๋องห้อตามมาติดๆ กว่าจะถึงบ้านก็หอบแฮกๆ แทบปางตายทั้งคู่...ไม่ตกน้ำตกท่าให้ขนหัวลุกยิ่งกว่านี้ก็ถือว่าเป็นบุญ แล้วครับ! บรื๋อออ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEyTURJMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNaTB3Tmc9PQ==



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 19:08:15 น.
Counter : 763 Pageviews.

0 comment
เสียงสาป
เสียงสาป

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ตั๊กแตน" เล่าประสบการณ์สุดหลอนจากห้องนอน

ใน บ้านช่องห้องหับของเราเองนี่แหละค่ะ ที่มีภูตผีปีศาจแวดล้อมสิงสู่อยู่เต็มไปหมด ส่วนมากมักจะล่องลอยมาจากที่อื่นๆ มีทั้งใกล้และไกลโพ้น ปรากฏทั้งภาพและเสียงให้ได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าเรามีเครื่องรับ ไม่ว่าวิทยุหรือทีวี รับรองว่าจะได้เห็นและได้ยินเสียงกู่ร้องหลอกหลอนจนขนหัวลุกได้ง่ายๆ

ภูต ผีล้วนแต่จำแลงมาแสดงภาพและเสียงมายาให้เราได้เห็นและได้ยินโดยไม่มีวันสิ้น สุด...สิ่งที่น่าสยดสยองก็คือ "เสียง" ค่ะ เป็นมายาการอันน่าสยดสยอง ชวนให้ขนลุกขนพองจนแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังในชั่วครู่เดียว!

น่าอิจฉาหลายๆ คนที่โชคดี ไม่รู้ตัวว่าโดนผีหลอกเข้าจังๆ ก็ถือว่าเป็นบุญไปค่ะ

เหมือนบางคนที่เห็นผีแต่ไม่รู้ว่าเป็นผีนั่นแหละค่ะ

ดิฉัน เองอยู่ในบ้านที่ทุ่งมหาเมฆนี่เอง มีพ่อแม่พี่น้องที่อบอุ่นดีในตอนกลางวัน แต่เมื่อเลยค่ำไปแล้ว เราก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอน บางทีก็ดูหนังฟังเพลง หรือดูรายการวิเคราะห์ข่าวประจำวัน ก่อนที่จะหลับนอนเอาแรงไว้ต่อสู้กับงานหนักวันต่อไป

คุณพระช่วย! ภูตผีเข้ามาสิงสู่อยู่ในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เพราะไม่เคยสังเกตมาก่อน แต่แล้วคืนหนึ่งก็มีพลังรุนแรงมากระตุ้น ตักเตือนให้รู้ตัวว่าดิฉันไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียวในห้องนอนอีกแล้ว...

จากทีวีปลายเตียงนั่นเองค่ะ!

คืน นั้นดิฉันทำงานที่คั่งค้างจากบริษัทจนเสร็จราวสองยาม เปิดทีวีด้วยความเคยชิน เข้าห้องน้ำทำธุรกิจส่วนตัว ล้างหน้าทาครีมก่อนนอนตามประสาผู้หญิง...แต่แล้วก็ต้องชะงักงันด้วยความเอะ ใจอะไรบางอย่างที่ดังแว่วๆ มาจากในห้อง

"สวัสดีครับ ท่านผู้ชมและผู้ฟังที่รักครับ คืนนี้เนี่ยนะครับ...ถึงเวลาที่ผมจะมาเสนอข่าวในรอบนี้เนี่ยให้ท่านผู้ชมที่ เคารัพรักเนี่ยนะครับ...ได้ฟังนะครับ คืนนี้เนี่ยมีข่าวที่น่าสนใจเนี่ยนะครับ...มากมายนะครับ...อีกทั้งนะครับ... เราจะ...นะครับ...บอกข่าวว่าคืนนี้เนี่ยมีข่าวดีนะครับ...คือว่าข่าวแรกของ คืนนี้เนี่ย..."

ดิฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นนะคะ...เอ๊ย! ยากเย็นเฉยๆ เพราะมีอะไรที่สะกิดใจ ชวนให้นึกคุ้นๆ หูอะไรบางอย่างที่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่ไม่ได้สังเกตเท่านั้นว่ามันคืออะไร? ได้ยินมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

เสียงน่าขนลุกขนพองก็พลันดังต่อเนื่องกันไป...

" ข่าวแรกนะครับ เมื่อตอนบ่ายวันนี้เนี่ย....ท่านนายกรัฐมนตรีเนี่ย...ได้ต้อนรับคณะ ทูตานุทูตเนี่ย...ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ในการพบปะในครั้งนี้เนี่ย... บรรยากาศเนี่ย...เต็มไปด้วยมิตรไมตรีนะครับ อีกทั้งนะครับ.... ท่านทูตประเทศหนึ่งเนี่ย...นะครับ...ได้กล่าวยกย่องท่านนายกฯ เนี่ย...นะครับ...ว่าเป็นผู้ที่มีวิชั่น...เอ๊ย! ประทานโทษนะครับ...ไอ้ผมเนี่ย...แหม! มันติดปากเนี่ย...นะครับ...คืออะไรล่ะ? อ้อ! ท่านทูตเนี่ย...ได้ชมวิสัยทัศน์เนี่ย...ของท่านนายกฯ เนี่ย...นะครับ..."

ดิฉัน ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว คว้าผ้าเช็ดตัวเผ่นออกจากห้องน้ำ หัวใจเต้นครึกโครมแทบทะลักออกมานอกอก...รีบกดรีโมตเปลี่ยนช่องชนิดกระหืด กระหอบ

คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถอะเจ้าค่ะ!

"...ปัญหา เยาวชนชอบความรุนแรงเนี่ยนะคะ...ทางผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเนี่ย...จะต้อง รีบแก้ไขปัญหาเรื้อรังเหล่านี้เนี่ย...นะคะ...โดยเร็วที่สุดเพราะทุกวันนี้ เนี่ย...ปัญหาเด็กยกพวกตีกันเนี่ย...นะคะ...ดูๆ ไปแล้วเนี่ย...ไม่มีใครเนี่ย...ยึดอกมารับผิดชอบปัญหาพวกนี้เนี่ย...นะคะ อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าจะไปพูดแล้วเนี่ย... เราทำแบบว่า วัวหายล้อมคอกนะคะ...ดิฉันเองเนี่ย...."

คราวนี้ดิฉันถึงกับหนาวสะท้านเหมือนคนไข้หนัก ตะปบปิดรีโมตอย่างขวัญหนีดีฝ่อมือไม้สั่นไปหมด ก่อนจะถอยหลังกรูดไปที่เตียง

" ใครส่งดอกไม้เนี่ยมาให้น้องแจ๋นล่ะคะ? แบบว่า อยากให้นะคะ...บอกแฟนๆ เนี่ยนะคะ...ให้รับรู้นะคะ...แหม! แบบว่าไม่ทราบจริงๆ เนี่ย...ก็ลองเดาได้มั้ยคะ? มีสองคนเองเนี่ย...คือนะคะ...แบบว่าไม่ดุ่มก็โด่งเนี่ย...ต้องเป็นคนใดคน หนึ่งนะคะ...แหม! แบบว่าเดาไม่ถูกเนี่ย...ก็ลองแบบว่าเดาดูนะคะ...คือ...แบบว่าเดาน่ะค่ะ... เรื่องนี้เนี่ย...เดาไม่ยากนะคะ...เนี่ย...."

ดิฉันตะกายขึ้นเตียง ปิดทีวี ชักผ้าห่มคลุมโปง ตัวสั่นเทาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงจนหัวใจเต้นกระหน่ำ...เสียงหลอกหลอนยัง ดังอ้อยอิ่งอยู่ในห้องไม่จบสิ้น

โอย...แบบว่ากลัวนะคะ! ต่อไปนี้เนี่ยจะไม่ยอมเปิดนะคะ...วิทยุทีวีเนี่ย...แบบว่า กลัวภูตผีนะคะ...เนี่ย...ตามหลอกหลอนแบบว่า...เนี่ย...นะคะ...แบบว่า...จะ ให้คืนนี้เนี่ย...โอย....

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREExTURJMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNaTB3TlE9PQ==



Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2552 19:21:32 น.
Counter : 759 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend