เสียงสะอื้นในราตรี
เสียงสะอื้นในราตรี

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"บุญมาก" เล่าเรื่องสยองขวัญจากวัดป่าหนองหิน มหาสารคาม

ผม กับภรรยาไปเที่ยวมหาสารคาม ฉายา "ตักสิลา" หรือเมืองแห่งการศึกษาในสรรพวิชาการหลากหลาย ญาติสนิทได้พาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยออกเนื้อออกตัวว่า เมืองนี้ค่อนข้างเล็กกว่าขอนแก่น อุดรฯ เป็นไหนๆ

แม้กระนั้นก็ยังได้ไปเที่ยวชมหมู่บ้านทอผ้า มีเสื้อผ้าชนิดต่างๆ ล้วนสวยงามและราคาย่อมเยา รวมทั้งร้านโอท็อปหน้าเรือนจำที่มีสินค้ามากมายแทบไม่น่าเชื่อ ล้วนแต่น่าซื้อหาเป็นของใช้และของฝากทั้งนั้น

แต่ประเด็นที่จะเล่าสู่กันฟังก็คือเรื่องขนหัวลุก!

เรื่องนี้ได้รับความกรุณาจากคุณหอมหวล โชเฟอร์สาวน้อยฝีมือดีของรถปิกอัพ ที่เต็มอกเต็มใจพาเราตระเวนไปหลายต่อหลายแห่ง ข้อสำคัญคือเล่าประสบการณ์น่าหวาดเสียวที่เธอได้ประสบมากับตัวเองสดๆ ร้อนๆ

สถานที่ก็คือวัดป่าหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง ที่เคยเล่าไว้ในตอนที่แล้ว เรื่อง "เพื่อนของสมภาร" นั่นแหละครับ

หลวงพ่อชัชวาลย์ จตุตมโล หรือ "หลวงพ่อ" ของชาวบ้านในละแวกนั้นนั่นเอง ที่ท่านบอกว่าถึงแม้จะอยู่วัดป่ารูปเดียว...วัดกลางป่าช้าเก่าก็ว่าได้ แถมยังมีหลุมศพที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาเผาอีกมากมาย แต่ท่านก็ไม่หงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอะไร เพราะตอนดึกๆ จะมีเด็กเล็กๆ มาวิ่งเล่นเกรียวกราวที่ศาลาเป็นประจำ

คุณหอมหวลได้ไปปฏิบัติธรรม หรือนิยมเรียกกันว่า "บวชชีพราหมณ์" ที่วัดนี้กับแม่ชีเป็นเวลา 15 วัน ต้องกินอยู่หลับนอนกลางป่าช้าเก่าเช่นกัน!

อันว่าป่าช้าเก่าที่ ชาวบ้านนำศพญาติๆ มาฝังไว้นั้น ล้วนแต่มิได้ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ แต่ตายเพราะโดนรถชนบ้าง ตกต้นไม้บ้าง จมน้ำตายบ้าง...จนถึงถูกฆ่าตายและฆ่าตัวตาย

อย่างที่รู้ๆ กันน่ะแหละครับว่าเป็น "ผีตายโหง" ซึ่งไม่นิยมเผาในทันทีทันใด แต่ต้องเก็บหรือฝังไว้ก่อน สามเดือนบ้าง หนึ่งปีบ้าง หรือไม่ก็จนกว่าญาติๆ จะมีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะกระทำพิธีฌาปนกิจตามประเพณี

ได้ข่าวว่ามีศพเด็กๆ ที่ตกต้นไม้ตายบ้าง ตกน้ำตายบ้าง แม้แต่ตกบันไดลงมาคอหักตายก็มี!

ธรรมเนียมของหลุมฝังศพที่นั่นค่อนข้างแปลกกว่าที่อื่น ตรงที่ไม่มีการเขียนชื่อปักป้ายไว้ที่หลุมฝังศพ โดยญาติของผู้ตายจะจดจำได้แม่นยำว่าญาติของตนจะถูกฝังเอาไว้ตรงไหน

นึกถึงป่าโปร่งที่ดูโล่งกว้าง ร่มรื่น น่าเดินทอดน่องชมนกชมไม้...ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ากำลังเดินไปบนหลุมศพที่นอนสงบ นิ่งอยู่เบื้องล่าง! แต่ถ้ารู้แล้วก็เชื่อว่าคงจะไม่มีใครกล้ามาเดินชมวิวเล่นอย่างแน่นอน

คุณหอมหวลเล่าว่ามีความศรัทธาปสาทะหลวงพ่อชัชวาลย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...โดยเฉพาะคติเตือนใจที่ไม่มากมายฟุ่มเฟือยเหมือนวัดอื่นๆ

"ถ้ารักจงรักพร้อมกัน แต่ถ้าเกลียด จงอย่าเกลียดพร้อมกันเลย"

"ที่พึ่งอันเกษมคือตนเอง พึ่งตนเองแล้วไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องมีสุข ทุกข์ เนื่องด้วยการโปรดปรานหรือไม่โปรดปรานของใคร"

พูดถึงบรรยากาศ วัดป่าที่มีพระภิกษุจำวัดอยู่เพียงรูปเดียว ยามราตรีย่อมมีแต่ความสงัดวิเวกชวนให้เยือกเย็นใจ เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ราวกับเสียงพึมพำของใคร หรือไม่ก็เป็นเสียงทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่างเหลือประมาณ

คืนแรกที่นอนกุฏิเดียวกับแม่ชี คุณหอมหวลก็เจอดี!

นั่นคือเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ กลุ่มหนึ่งทั้งหญิงชาย เสียงพูดคุยและเสียงวิ่งตึ้กๆ ดังมาจากศาลาอันเงียบเชียบ...ครั้งแรกก็ใจคอไม่ค่อยดี แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อว่า เป็นเพื่อนๆ ยามดึก ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว ก็พอจะสงบจิตใจลงได้

ทันใดนั้น...ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงเด็กเล็กๆ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ดังแว่วเข้ามาทางหน้าต่างอันเปิดโล่ง...ขณะที่ลืม ตาโพลง ขนลุกซ่าอยู่นั้นก็มีเสียงผู้หญิงที่คงจะเป็นแม่ดังปลอบ โยนขึ้นว่า...นอนเสียลูก ไม่ต้องกลัวหรอกลูกเอ๋ย...เสียงเด็กน้อยก็พูดปนสะอื้นว่า...หนูกลัว! แม่จ๋า...

สตรีผู้เข้าไปปฏิธรรมในวัดป่าหนองหินถึงกับนอนเหงื่อหยดเผาะๆ จนกระทั่งเสียงสยองเหล่านั้นค่อยๆ จางหาย...แล้วเธอก็หลับผล็อยไป

คุณ หอมหวลเล่าว่าได้แผ่เมตตาให้ทุกวัน ในที่สุดเสียงร้องไห้ของเด็กกับเสียงปลอบโยนของแม่ก็เงียบหายไป...และเธอก็ ได้ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดครบ 15 วันสมกับความตั้งใจ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPRE14TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB6TVE9PQ==



Create Date : 31 มีนาคม 2552
Last Update : 31 มีนาคม 2552 18:23:10 น.
Counter : 763 Pageviews.

0 comment
เพื่อนของสมภาร
เพื่อนของสมภาร

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"บุญมาก" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดป่าหนองหิน มหาสารคาม

เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม ผมกับภรรยาเดินทางจากโคราชไปเยี่ยมญาติที่มหาสารคามตามคำเชิญที่ว่าจะมีการ หล่อพระพุทธรูปกลางแจ้งที่วัดป่าหนองหิน ต.โคกก่อ อ.เมือง...ผมได้รับฟังเรื่องแปลกประหลาด ชวนขนหัวลุกที่นั่นเอง

เราพักที่โรงแรมตักสิลา ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมดีที่สุดของจังหวัดนี้

เช้าวันอาทิตย์ญาติก็นำรถปิกอัพมารับผมกับภรรยา แนะนำให้รู้จักกับสุภาพสตรีที่อุตส่าห์ขับรถยนต์มารับชื่อคุณหอมหวล แล้วคณะเราก็รีบเดินทางไปวัดป่าหนองหิน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบกว่ากิโลเมตรทันที

ตอนแรก ผมนึกว่าจะมีแต่พวกเรากับชาวบ้านไม่กี่สิบคนเท่านั้น แต่ที่ไหนได้...พอเข้าเขตวัดที่ดูเผินๆ คล้ายป่าโปร่ง ก็เห็นรถยนต์หลากหลายสารพัดสี ทั้งรถเก๋ง รถตู้ รถปิกอัพรวมทั้งมอเตอร์ไซค์ จอดเรียงรายกันละลานตา แถมล้นออกมาจนถึงทางเข้า จึงถามญาติว่าเป็นเพราะอะไร? คำตอบที่ได้ยินทำให้อัศจรรย์ใจเอาการ!

วัดป่าแห่งนี้มีท่านสมภารชื่อ ท่านพระครูชัชวาลย์ จตุตมโล เป็นพระที่จำพรรษาอยู่รูปเดียวมาหลายปีแล้ว

เมื่อเข้าไปถึงศาลาที่มีแขกคนที่มาทำบุญมากมาย พระวัดอื่นๆ ได้รับนิมนต์มาร่วมพิธีสำคัญนี้ มองเห็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่จะทำพิธีเทปูน แม้ว่าจะเห็นเพียงแบบพิมพ์ภายนอกก็บอกตัวเองว่างามนัก จนต้องยกมือไหว้แม้จะยังไม่เป็นองค์พระสมบูรณ์แบบก็ตาม

ได้ทราบ นามว่า "หลวงพ่อบวรมงคล" หน้าตักกว้างราวสองเมตร มีกองทรายและหินพร้อมที่จะผสมปูนสำหรับส่งขึ้นไปเทจากทางพระอุระเบื้องขวา ขององค์พระ

ญาติแนะนำให้นมัสการพระอาจารย์เจ้าอาวาส แม้ว่าจะอายุเลยหกสิบไปแล้วก็ยังดูสดชื่น เปล่งปลั่งและอิ่มเอิบด้วยธรรมะของพระบรมศาสดา

ทราบว่าท่านเคยเป็นอาจารย์จากกาฬสินธุ์ แล้วย้ายมาอยู่มหาสารคามเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ครั้นอายุราว 57-58 ก็เกิดเลื่อมใสพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา จึงลางานออกบวชเป็นสาวกของพระชินศรี ครั้นครบพรรษาแล้วก็ซาบซึ้งในความสงบสุขแท้จริงในเพศบรรพชิต ไม่ต้องการสึกหาลาบวชกลับคืนสู่เพศอันต่ำช้าเศร้าหมองอีกต่อไป

เวลาประมาณ 13-14 ปีย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หลวงพ่อชัชวาลย์ของชาวบ้านโดยทั่วไปครองผ้าเหลืองโดยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจาก มลทินใดๆ โดยสิ้นเชิง

ก่อนหน้านั้นเคยมีภิกษุมาจำพรรษาและกลายเป็นสมภารเจ้าวัด 2 รูปด้วยกัน!

รูปแรกนั้นมองเผินๆ ก็ดูจะเคร่งครัดในศีล 227 ข้อเป็นอันดี แต่ไม่ช้าไม่นานชาวบ้านก็จับได้ว่าชอบเสพสุรายาเมาเป็นนิจศีล จึงโดนขับไล่ออกจากวัดไป ส่วนรูปต่อมาก็กระทำตนเป็นผู้วิเศษ หรืออวดอุตริมนุสธรรม มีการพ่นน้ำหมากขากน้ำมนต์ ทำเครื่องรางของขลังให้ชาวบ้านบูชา หรือทำปลัดขิกบ้าง กุมารทองบ้าง เพื่อขายเอาเงินเข้ากระเป๋า

จนกระทั่งมาถึงหลวงพ่อองค์ปัจจุบัน...

ชาว บ้านพูดกันว่า บริเวณนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่า ศาลาวัดและกุฏิเก่าแก่ของเจ้าอาวาสก็ล้วนแต่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณเมรุ เผาศพ โดยเฉพาะด้านหน้าที่ดูเป็นป่าโปร่ง ความจริงก็คือหลุมฝังศพของชาวบ้านในละแวกนั้นเอง

ทั้งการเผาศพและฝังศพเพิ่งจะเลิกราไปสู่ "วัดบ้าน" เมื่อราว 4-5 ปีมานี้เอง!

พระรูป ไหนละเมิดศีล ไม่ดำรงตนอยู่ในสมณสารูปโดยเคร่งครัด ก็จะถูกภูตผีต่างๆ เล่นงานเอาจนร้องเอะอะโวยวายกลางดึก จนถูกชาวบ้านขับไล่ในที่สุด

หลวงพ่อชัชวาลย์เล่าให้พวกเราฟังในศาลาสร้างใหม่ ดูโล่งๆ และค่อนข้างอบอ้าว เพราะยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ได้ข่าวว่าตรุษสงกรานต์นี้จะมีคหบดีจากจังหวัดมาต่อสายไฟ หรืออย่างน้อยก็บริจาคเครื่องปั่นไฟให้ ญาติโยมที่มาทำบุญกุศลจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนมากนัก

เรื่องที่หลวงพ่อเล่าก็คือ เมื่อตอนมาอยู่ที่วัดป่าหนองหินใหม่ๆ ได้ขุดศพมากมายขึ้นมากระทำพิธีฌาปนกิจ เพื่อบำเพ็ญกุศลให้ตามประเพณี ปรากฏว่ามีศพทุกเพศทุกวัย แม้แต่เด็กๆ ก็มีเกือบสิบศพ...

ผมเหลียวมองความเปล่าเปลี่ยววังเวงเหมือนอยู่ในป่า ทั้งๆ ที่แขก เหรื่อทยอยกันกลับหลังจากเทปูน "เอาบุญ" คนละถังสองถังแล้ว เหลืออยู่ไม่ถึงสิบคน...

ถ้ากลางคืนจะเย็นยะเยือกน่าขนลุกขนพองปานใดหนอ?

"ถึงจะจำวัดอยู่คนเดียวอาตมาก็ไม่เหงาหรอกโยม" หลวงพ่อชัชวาลย์บอกกล่าว เมื่อผมนมัสการถาม "ตอนกลางคืนอาตมาจำวัดอยู่กุฏิเก่าด้านหลัง...ที่ศาลานี่ก็ครึกครื้นเกือบ ทั้งคืน เพราะมีเด็กๆ เกือบสิบคนมาวิ่งเล่นกันสนุกสนาน เป็นเพื่อนอาตมาทุกคืนแหละโยม"

ใครไม่กลัวผีก็แล้วไป แต่สำหรับผมต้องยอมรับตรงๆ ว่า ขนหัวลุกครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPRE13TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB6TUE9PQ==



Create Date : 30 มีนาคม 2552
Last Update : 30 มีนาคม 2552 18:30:30 น.
Counter : 835 Pageviews.

0 comment
เจ้าที่
เจ้าที่

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป๊อบ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในบ้านเปลี่ยว

ป้าแววเป็นเพื่อนแม่ของผม ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติครับ เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ จนถึงตอนนี้อายุแปดสิบแล้วทั้งคู่...เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมไปกินข้าวบ้านแม่ตอนเย็น พบว่าแม่กำลังวิตกกังวล สาเหตุคือ แม่โทร.ไปหาป้าแววนับสิบครั้งแล้วแต่ไม่มีใครรับสายเลย

"ป๊อบขับรถพาแม่ไปบ้านป้าแววหน่อยซิลูก แม่อยากเห็นกับตาว่าป้าแววสบายดีหรือเป็นอะไรไปรึเปล่า?"

เราขึ้นรถไปกับหมาชิสุของผมตัวหนึ่งชื่อบียอนเซ่ มันน่ารัก ขี้อ้อน และหอนเพราะมาก ผมเกล้าจุกให้มัน ทำให้เห็นตากลมโตที่ฉายแววสอดรู้สอดเห็นอยู่ตลอดเวลา...บ้านป้าแววอยู่ไม่ ไกลนัก แต่กว่าจะไปถึงก็มืดสนิทแล้ว ผมจอดรถที่หน้าประตูรั้วก่อนจะลงไปกดออด ต้องยืนรอนานมากจนอึดอัด เลยใช้เวลานั้นมองไปรอบๆ

บ้านใหญ่โตในเนื้อที่กว้างขวาง เมื่อก่อนเคยสว่างไสว สวยงามน่าอิจฉา แต่ตอนนี้มันมืดตึ้ดตื๋อ แถมวังเวงหงอยเหงาพิลึก!

เมื่อก่อนบ้านนี้มีคนอยู่เยอะแยะ ไหนจะลูกๆ ทั้งสามคนของป้าแววและบริวารอีกมากมาย ทั้งคนใช้ คนสวน คนรถและแม่บ้านที่ผมจำได้ว่าแกอ้วนดำและดุ แต่ทำงานเก่งเป็นเลิศ บ้านไม่เคยเหงาเลยครับ แถมยังจัดงานวันเกิดเจ้าของบ้านกันทุกปี งานปีไหนอีกต่างหาก จับฉลากกันครึกครื้น เสียงหัวเราะเฮฮายังจำได้...

ทว่าเมื่อเวลาล่วงผ่านไป ลูกๆ ของป้าแววโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ต่างแต่งงานแล้ว แยกย้ายกันไปอยู่กับลูกเมียของตัว ทิ้งให้พ่อกับแม่-คือป้าแววกับลุงหมออยู่บ้านที่ใหญ่โตเวิ้งว้าง กับลูกสาวคนเล็กที่ยังโสดสนิท ส่วนข้าทาสบริวารกับคุณแม่บ้านก็ล้มหายตายจากไปกับกาลเวลา คฤหาสน์หลังนี้ก็เหลืออยู่แค่สีคนคือลุง ป้า ลูกสาว และคนใช้อีกหนึ่ง

อ้อ! มีหมาอีกสามตัวครับ สีดำ สีขาว สีน้ำตาล เป็นหมาไทยธรรมดา ตัวไม่โตแต่เห่าเก่งเป็นบ้า...มันกำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าผมเสียงขรมอยู่นี่ ไง!

เสียงเห่าระงมแบบนันสต๊อป ทำให้หญิงสองคนโผล่มาจากความมืด อ้าว? ก้อย-ลูกสาวคนเล็กของป้าแววนั่นเอง เดินมาที่ประตูกับสาวใช้วัยรุ่น พอเห็นถนัดว่าเป็นผมก้อยก็ดีอกดีใจเพราะไม่ได้เจอกันซะนาน เธอเปิดประตูให้ผมเลี้ยวรถเข้าไป บอกเราว่าป้าแววเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเพราะหกล้ม ขัดยอกไปทั้งตัว และมีอาการความดันเลือดสูง ตอนนี้นอนอยู่ในห้องชั้นบน ส่วนลุงหมอก็ไม่สบาย ล้มเหมือนกัน สะโพกร้าว ต้องนอนอยู่ห้องรับแขกชั้นล่าง

แม่ผมลงจากรถ ให้ก้อยพาเดินประคองขึ้นไปบนตึก ผมเองขอนั่งอยู่ในรถกับบียอนเซ่ที่เสียขวัญเพราะเสียงเห่าของนินจา ดุ๊กดิ๊กและไมโล

นั่นเป็นช่วงเวลาราวสิบห้านาที ที่ผมถูกทิ้งให้นั่งอยู่ลำพังกับพวกหมาทั้งหลาย...รอบกายนั้นมองไปทางไหนก็ มืดไปหมด มีแต่แสงไฟหลอดประหยัดที่ชายคาหน้าครัวเท่านั้นที่ส่องมา...

ทันใดนั้นผมเห็นชายคนหนึ่ง ไม่หนุ่ม ไม่แก่ รูปร่างสันทัด ใส่เสื้อคอกลมและนุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว ดูโดดเด่นอยู่ในความสลัว เดินมือไพล่หลังมาที่รถ แล้วก้มมองผ่านหน้าต่างข้างตัวผมเข้ามา เล่นเอาผมผงะแล้วมองใบหน้านั้นบ้าง...เป็นคนจีนหน้าตาใจดี เขามองแล้วก็ยืดตัวขึ้น หันหลังเดินกลับไปทางหลังบ้าน

ผมนั่งงง...ใครหว่า? เท่าที่รู้บ้านนี้มีแค่สี่คนเท่านั้นนี่นา!

กำลังนึกอยู่ดีๆ ก็เห็นผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีทึบ มีผ้าดอกขาวๆ คาดอก ตัดผมทรงดอกกระทุ่ม ไม่สาว ไม่แก่ กระเตงเด็กผมจุกไว้กับเอว...เธอเดินมาหยุดมองห่างจากรถผมไปราวสามเมตร แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนเดินจากไป

คราวนี้ผมขนลุก...ใครล่ะที่แต่งตัวราวกับหลุดมาจากละครย้อนยุค? ผมว่าไม่ใช่คนแฮะ เข้าบียอนเซ่ของผมนั่งเงียบกริบเชียว...ดูเหมือนมันจะตาโตกว่าเดิมตั้งพะ เรอ!

อึดใจต่อมา ก้อยก็ประคองแม่ผมกลับมาขึ้นรถ เราถามสารทุกข์สุกดิบกันใหญ่ ผมขยับปากจะถามถึงบุคคลลึกลับที่ผมเห็น แต่เกรงว่าก้อยจะกลัวเลยไม่ถาม...แล้วก็ร่ำลากัน โดยสัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีกบ่อยๆ

พอขับรถออกมาผมก็เล่าให้แม่ฟัง...แม่อยากโทร.ถามป้าแววแต่แกบอกว่าตั้งแต่ ไม่สบายทั้งลุงทั้งป้านี่ได้ยกหูโทรศัพท์ออกเพื่อไม่ให้รบกวน ป้าแววบอกจะโทร.หาแม่เอง...และพอป้าแววโทร.เข้ามา แม่ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงคนที่ผมเห็น

ป้าแววหัวเราะแล้วบอกว่าไม่ใช่คนหรอก เป็นเจ้าที่น่ะ! มีคนเห็นกันหลายคนแล้ว ป้าแววไม่กลัว ออกจะอุ่นใจด้วยซ้ำ

ผม สบายใจเมื่อทราบอย่างนั้น และทำบุญใส่บาตรให้ ใจก็คิดว่าเห็นมั้ยล่ะ ว่าวิญญาณน่ะมีจริง ไม่ว่าเราจะทำอะไรอย่าลืมว่าผีเห็น เทวดาเห็น...แต่ก็อดขนหัวลุกไม่ได้ครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREkzTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB5Tnc9PQ==



Create Date : 27 มีนาคม 2552
Last Update : 27 มีนาคม 2552 18:32:27 น.
Counter : 676 Pageviews.

0 comment
หนูยังอยู่...
หนูยังอยู่...

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นิศานาถ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณหลงทาง

ดิฉันพบเด็กผู้หญิงลึกลับในชุดกระโปรงสีชมพูคนนั้นเมื่อตอนโพล้เพล้พอดี ตอนนั้นดิฉันกำลังขับรถเข้าซอยใกล้จะถึงบ้านแล้วค่ะ

ซอยบ้านนี่ก็แปลกนะ แถวๆ หน้าซอยนะคึกคักเชียว มีรถขายไก่ย่าง ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ไอติมมีครบครัน ตอนเย็นๆ จะมีผู้คนขวักไขว่ ทั้งเด็กนักเรียนและบรรดาผู้ใหญ่ที่กลับจากทำงาน บรรยากาศไม่เหงาเลย จะมีคนเดินซื้อของกินกันไปเรื่อยตั้งแต่หัววันยันดึกดื่น

แต่พอขับรถลึกเข้ามาถึงกลางซอย บรรยากาศก็เปลี่ยนไป มันเงียบสงบเพราะมีแต่บ้านคนทั้งนั้น แต่ละหลังน่ะกำแพงทึบสูง มองไม่เห็นใครเพราะเขาอยู่ในบ้านกันหมด...ต่างคนต่างกินข้าว ดูทีวี พักผ่อนเมื่อจบวันเหนื่อยหน่าย

เมื่อพระทิตย์จวนสิ้นแสง ไฟถนนในซอยก็เปิดพรึ่บ แต่ยังหรอกค่ะ มันยังไม่สว่างเจิดจ้าเพราะยังไม่ทันมึด ช่วงเวลานี้มันสลัวมัวซัวไปทั่ว ดิฉันชอบเรียกว่าแดนสนธยา! เพราะจะเป็นกลางวันก็ไม่ใช่ กลางคืนก็ไม่เชิง

เอ๊ะ! อะไรกันนั่น...

ตรงหัวโค้งที่เป็นทางสามแพร่ง มีร่างเล็กๆ เหมือนตุ๊กตานั่งพิงกำแพงอิฐสีเทาอยู่ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็แทบจะไม่เห็นเลย เพราะมันไม่ใช่กำแพงโล่งๆ แต่เจ้าของบ้านเขาปลูกต้นไม้ สวยไว้หนาทึบ...มันเป็นพุ่มไม้สูงราวหนึ่งเมตร ดอกสีม่วงอร่าม...เด็กคนนั้นซุกตัวอยู่ในกอไม้และทำท่าจะลุกออกมาตัดหน้ารถ ดิฉันแตะเบรกจนรถหยุด นึกฉุนอยู่เหมือนกันว่าพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ไปไหนหมดนะ ปล่อยปละละเลยลูกเล็กเด็กแดงตัวกะเปี๊ยกไว้คนเดียว

นี่ถ้ารถแล่นมาเร็วๆ เบรกไม่ทันจะว่ายังไงเนี่ย?

ดิสิ! เด็กตัวนิดเดียวจริงๆ ท่าทางจะไม่เกินสองขวบด้วยซ้ำ เมื่อแกเดินผ่านหน้ารถดิฉันก็มองไม่เห็นเลยล่ะ อันตรายจริงๆ แกหายไปไหนแล้วล่ะนี่...

ดิฉันเปิดประตูรถลงมาดู อ้าว? แม่หนูนั่งลงกับพื้นซะงั้น! แกนั่งลงกระโปรงสีชมพูบานเชียว แหวนหน้ามองตาแป๋ว...ไฟหน้ารถส่องตัวแกเหมือนตัวละครบนเวที

"มาจากไหนล่ะเนี่ย...พ่อแม่ไปไหนจ๊ะ?"

ดิฉันถามขณะที่เดินไปดึงตัวขึ้นมา เด็กน้อยลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย ตัวแกเบาหวิวและเย็นๆ ชื้นๆ จนดิฉันนึกถึงสัมผัสของปีกค้างคาว หรือไม่ก็เนื้อไก่ที่เราเอาออกจากตู้เย็นไว้เตรียมทำกับข้าว...

ความคิดต่อจากนั้นก็คือ เด็กคนนี้ท่าจะหลงมาแน่ๆ ดิฉันไม่เคยเห็นแกเลย!

นาทีต่อมา ดิฉันกดออดบ้านที่เด็กนั่งพิงกำแพงเขาอยู่ สาวใช้เดินออกมาดูและบอกว่าไม่รู้จักเด็กน้อย อย่างไรก็ตาม เธอมีน้ำใจไปร้องเรียกถามเอากับบ้านที่อยู่ติดๆ กัน ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เลยว่าแกมาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร?

"อาจจะลูกคนงานก่อสร้างก็ได้ค่ะ" ใครคนหนึ่งออกความเห็น

จริงซีนะ แถวๆ หน้าปากซอยน่ะ มีบ้านหลังหนึ่งเพิ่งรื้อออกเหลือแต่ที่ดินโล่งๆ ราวสองร้อยตารางวา แล้วมีการปรับถมดิน ลงเสาเข็มกันตึงตัง นัยว่าจะปลูกเป็นหอพักสูงห้าชั้น เด็กคนนี้อาจจะมาจากไซต์งานนั้นก็ได้ เอ...เดินมาไกลน่าดู!

ดิฉันอุ้มเด็กน้อยมาวางที่เบาะหลังรถ นึกเอะใจในความเบาหวิวของร่างน้อยๆ นั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่รู้จะพูดกับใคร

จากนั้นก็กลับรถท่ามกลางสายตาชาวบ้าน 3-4 คนที่มองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

เป็นอันว่าดิฉันต้องขับย้อนมาทางหน้าซอย ถึงบ้านที่กำลังก่อสร้าง!

ความมืดโรยตัวลงมารวดเร็วมาก คนงานผละจากสิ่งที่ทำมาทั้งวัน แล้วไปอาบน้ำอาบท่า หรือหุงหาอาหารอยู่ในเพิงที่ปลูกเป็นที่พักชั่วคราว พวกเขามองมาอย่างแปลกใจ ดิฉันเรียกสุ่มๆ ไปว่า...ช่วยมาดูซิว่าลูกใคร?

ผู้หหญิงรูปร่างท้วม ผมดัดหยิกสั้นคนหนึ่ง นุ่งกระโจมอกอยู่ เดินมาดูพร้อมๆ กับเพื่อนหญิงชายอีก 2-3 คน พอมาถึงก็มองผ่านกระจกเข้ามาที่เบาะหลังรถของดิฉัน

"ไหนๆ?" เธอถาม ดิฉันเหลียวมองแล้วก็ใจหายวาบเมื่อในรถมีแต่ความว่างเปล่า

"เด็กแต่งตัวยังไง?" เธอมองหน้าดิฉันเขม็ง พอดิฉันบรรยายเธอก็หันไปพูดเชิงบ่นกับคนข้างๆว่า "เอาอีกแล้ว!"

เมื่อ ปีก่อน คนงานกลุ่มนี้ไปก่อสร้างแถวพุทธมณฑล พวกเขามีเด็กผู้หญิงเล็กๆ วัยสองขวบที่ซุกซน ชอบเดินเล่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล...เด็กน้อยถูกรถชนตายตอน โพล้เพล้ ในชุดกระโปรงสีชมพูค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREkyTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB5Tmc9PQ==



Create Date : 26 มีนาคม 2552
Last Update : 26 มีนาคม 2552 18:19:33 น.
Counter : 766 Pageviews.

0 comment
พิษหึง
พิษหึง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"มหาแป้น" เล่าเรื่องพิษรักแรงหึงของนางตานี

ลุงหยอดเดินเซนิดๆ ออกจากร้านเหล้าชานเมือง มุ่งหน้าไปทางหลังวัดพระศรีฯ ที่ร่มครึ้มด้วยดงกล้วยตานี บางทีก็หยุดมองท้องฟ้าแดงฉานที่ตะวันเพิ่งลับทิวไม้ไกลลิบไปหยกๆ แล้วยก 28 ดีกรีเหลือเกือบครึ่งขวดเทใส่ปาก

ตะแกส่งเสียงฮ่า...ออกมาอย่าง ผาสุก ไม่แยแสมะดันกับมะยมสดจิ้มเกลือเหมือนตอนนั่งซดเหล้าอยู่ที่ร้าน...สายลมพัด ซ่ามาเย็นวูบ ลุงหยอดเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งยืนลับๆ ล่อๆ อยู่แถวดงกล้วยพอดี!

หรือจะเป็นไอ้หนุ่มวินที่มันปลูกกระท่อมอยู่ใกล้ๆ มีหน้าที่ดูแลดงกล้วยให้เจ้านาย สำหรับตัดขายส่งแม่ค้าที่ตลาดบางบัว...แต่เมื่อจ้องมองให้แน่ใจก็พบว่าเป็น ผู้หญิงผมยาวรูปร่างสูงโปร่ง อกอวบพุ่ง สะโพกหนั่นหนาผึ่งผายกำลังยืนพิงต้นกล้วยอยู่เดียวดาย

"ใครวะ? ไม่เคยเห็นหน้า..." ชายชราพึมพำ ซดเหล้าเข้าไปอีกกร๊วบ...หมู่บ้านอยู่เลยดงกล้วยไปทางซ้ายมือ ถัดจากนี้ก็คือทุ่งนาเวิ้งว้าง...พวกอีสาวชาวบางก็ล้วนแต่รู้จักมักคุ้นทั้ง นั้น ไม่ว่าบังอร พลับพลึง หรือว่าบัวเผื่อนที่เพิ่งเติบสาวมาได้สองปี ถึงจะผิวขาวสาวระหงแต่ดูอวบสะพรั่ง อะร้าอร่ามไปทั้งเนื้อทั้งตัว...เหมือนกับสาวแปลกหน้าที่แกเพิ่งแลเห็นหยกๆ

อ้าว? มันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ? หรือว่าจะเป็นนางตานี...

ลุงหยอดขนลุกซ่า ใช้หลังมือขยี้ตาด้วยความตื่นเต้น แต่ก็มองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว...หรือว่าเป็นนางตานีจริงๆ เพราะตอนเดินออกจากหมู่บ้านผ่านไปร้านเหล้าก็เห็นว่าต้นหนึ่งเพิ่งจะ "ตายพราย" ไปวันสองวันนี่เอง!

ชายชราเทเหล้าลงคอพลั่กๆ แลบลิ้นเลียปากก่อนจะรีบเดินไปที่ตานีตายพรายต้นนั้น เหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็มองไม่เห็นใคร...ด้วยฤทธิ์เหล้าที่ซ่านซ่าอยู่ในสาย เลือด ลุงหยอดก้าวเข้าไปกอดรัดต้นกล้วยตานีพลางงึมงำว่า...ต้องโอ้โลมปฏิโลมยังงี้ ละวะ เผื่อจะใจอ่อนมั่ง

บัดดลนั้นเอง! อะไรบางอย่างก็ยันโครมเข้าตรงกลางอก เล่นเอาร่างผอมกะหร่องของชายชรากระเด็นไปก้นจ้ำเบ้า ขวดเหล้ากระเด็นหลุดมือ ตะแกรีบคว้าของรักขึ้นมาได้ แล้วเดินจ้ำอ้าวพลางแช่งด่าไม่ขาดปาก...เห็นกูแก่ใช่ไหมวะเลยถีบกูเข้าให้ สงสัยจะชอบหนุ่มกำยำอย่างไอ้วินล่ะซีวะ!

ยังดีที่เหล้าก้นขวดยังเหลือ...เกือบจะเทเข้าปากก็ชะงักกึก เมื่อมองเห็นร่างตะคุ่มๆ ของหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังกอดรัดกันอยู่ท้ายสวนกล้วยพอดี

"ไอ้วินโว้ย!" แกร้องตะโกนด้วยความเสียงสังหรณ์ เห็นคนทั้งสองผละจากกันหันมามอง "อ้าว? อีเผื่อน ค่ำมืดแล้วไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง เดี๋ยวแม่มึงก็ตามมาแหกอกหรอก อีนี่!"

เสียงลุงหยอดไม่ใช่เบาๆ สาวเจ้ารีบหมุนตัวกลับ วิ่งตื๋อไปตามทางเดินแคบๆ ริมคันนา หายลับไปจากดงไม้ ชายชราเดินเข้าไปหาไอ้วินพลางส่ายหน้าอ่อนใจ

"กูขอเถอะวะ ตอนนี้น่ะ ไม่ว่านังอรหรือนังพลึงมึงเก็บเรียบมาแล้วทั้งนั้น! อย่า...ไม่ต้องถามว่ากูรู้ยังไง? แน่ะเฮ้ย! ไม่ว่าอะไรในทุ่งบางเขนนี่มันรอดหูรอดตากูไม่ได้หร็อก...มึงก็รู้ว่ากู้รัก มึงเหมือนลูกเหมือนหลาน นังเผื่อนน่ะขอให้งดไว้ก่อน นึกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวานก็แล้วกัน...เดี๋ยวก็โดนนางตานีมันหักคอเอาจนได้"

<>bตาหยอดพูดยืดยาวแล้วแหงนหน้ากระดกเหล้าเป็นครั้งสุดท้าย...

"มีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มานอนกับฉันสองคืนแล้ว ชื่อแปล๊กแปลก...ชื่อตานี!" เจ้าวินบอก ชายชราสำลักพรวด ครางอ๋อย "ฉิบหายแล้ว! อย่ายุ่งกับนังเผื่อนเชียวนา มันเอาตาย! ตัวมึงก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วยรู้มั้ย?"

ไอ้หนุ่มหน้าเข้มอดหัวเราะไม่ได้ "คืนนี้บัวเผื่อนสัญญาว่าจะหลบแม่มาหาฉันนะลุง แล้วจะให้ทำยังไง?"

ตาหยอดทำท่าเหมือนจะล้มแผละลงทันใด!

"เมียสองต้องห้าม มึงก็รู้ นี่เป็นเมียผีกับเมียคน! เดี๋ยวก็แหกอกกันกระเจิงเท่านั้นเอง...เอางี้! ถ้านังเผื่อนมันแรดมาหาก็ไล่ให้มันกลับบ้านซะ บอกว่ามึงปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้เป็นหนาวอะไรก็พูดไป...เผื่อนางตานีเกิดโผล่เข้ามาเห็นเข้ามีหวังตาย ดับทั้งคู่! โธ่โว้ย..."

ยอดกล้วยไหวซ่าเสียงสะท้านใจ ลุงหยอดขนลุกเกรียว กำชับกำชาไอ้วินด้วยความห่วงใยอีกครั้ง ก่อนเหวี่ยงขวดเหล้าทิ้ง เดินโซซัดโซเซกลับบ้านใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...

วันรุ่งขึ้น ชายชรารีบจ้ำอ้าวมาที่กระท่อมริมดงกล้วย ใจหายวับเมื่อเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังออกันอยู่ที่นั่น ครั้นแหวกคนเข้าไปดูก็เข่าอ่อนยวบ เมื่อเห็นร่างของไอ้วินกับบัวเผื่อนนอนผ้าผ่อนหลุดลุ่ย รอบคอเขียวช้ำ...นัยน์ตาเบิกโพลงเหมือนเห็นภาพสยดสยองพองขนสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREkxTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB5TlE9PQ==



Create Date : 25 มีนาคม 2552
Last Update : 25 มีนาคม 2552 18:31:38 น.
Counter : 698 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend