ไปเที่ยวทะเล
ไปเที่ยวทะเล

ขนหัวลุก

ใบหนาด



จอม วศิน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมชายหาด

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง ผมกับเพื่อนๆ ที่เรียนปีหนึ่งด้วยกันทั้งหญิงและชายรวมเก้าคน เกิดนึกสนุกตีตั๋วรถไฟไปเที่ยวทะเลกัน จุดหมายปลายทางของเราคือหัวหิน เราไปแบบลุยลูกเดียว ไม่ได้จองโรงแรมด้วยซ้ำ

พอไปถึงที่นั่นหลังเที่ยงกว่าๆ ก็นึกสมน้ำหน้าตัวเอง เพราะโรงแรมแต่ละแห่งน่ะสุดหรูและสุดแพง ที่สำคัญคือวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ห้องเต็มหมดเลยครับ

ไหนๆ ก็ลุยมาถึงนี่แล้วจะถอยน่ะไม่มีทาง พวกเราใช้ปากให้เป็นประโยชน์....คือถามเขาดะ! คนที่นี่ก็ใจดี ในที่สุดเราได้คำตอบว่ามีโรงแรมแห่งหนึ่ง ไปทางเขาตะเกียบ ห้องพักใช้ได้และราคาย่อมเยา เราตรงดิ่งไปที่นั่นทันที และก็ไม่ผิดหวัง

ทางโรงแรมยอมให้เราอัดเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกันได้ เป็นที่อื่นเขาคงไม่ยอมหรอกครับ นี่เขาคงเห็นว่าเป็นเด็กมาเที่ยวกันสนุกๆ และพักแค่คืนเดียวเท่านั้น

สรุปว่าเราจ่ายแค่คนละร้อยบาท สบายบรื๋อ!

พอเราเข้าไปในห้องผมก็รู้สึกแปลกๆ ห้องนั้นกว้างขวางเอาการ มีเตียงสองเตียงตั้งอยู่คนละฟากห้อง เตียงหนึ่งชิดกำแพงด้านประตูเข้าออก อีกเตียงอยู่ติดผนัง...และแทนที่จะเป็นแนวเดียวกันกลับวางเป็นแนวตั้งฉาก คือสองเตียงนี้ถ้าต่อกันก็จะเป็นรูปตัวแอล(L)

ที่เป็นแบบนี้ เพราะตรงกลางห้องมีเสาขนาดใหญ่ยืนเด่น ดูลักษณะแล้วเหมือนมันมีเสาต้นเก่าอยู่ข้างใน แล้วเขาใช้ไม้อัดตีประกบเป็นเสาสี่เหลี่ยม เสร็จแล้วใช้วอลเปเปอร์ติดเข้าไป มองแล้วแปลกๆ แฮะ...สงสัยว่าแต่ก่อนที่นี่เป็นอาคารอะไรกันนะ? เดิมคงไม่ได้เป็นโรงแรมแน่เลย ท่าทางจะมาดัดแปลงกันทีหลัง

ยังมีอีกอย่างที่ผมกับเพื่อนๆ เห็นแล้วเสียวสันหลัง คือถ้าแหงนขึ้นไปบนเพดานจะพบว่ามีผ้าชิ้นหนึ่งมันหลุดโหว่อยู่เป็นช่องพอดี คนจะลอดขึ้นไปได้ มองดูเป็นช่องมืดน่ากลัว

ไม่เป็นไรน่า! เราอยู่กันตั้งเก้าคน อบอุ่นขนาดนี้ผีจะหลอกก็ให้มันรู้ไป!

ว่าแล้วพวกเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้า วิ่งกรูลงทะเลที่อยู่แค่หน้าโรงแรมนี่เอง

เราเล่นน้ำกันตั้งแต่บ่ายจนมืดค่ำเลยครับ ไม่กลัวแดดเผาหรือปอดบวมทั้งนั้น เราสนุกกันมากถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ จากนั้นเราก็นั่งรถสองแถวไปหาของกินกันจนอิ่มแปล้ แถมยังหอบน้ำและเครื่องดื่ม รวมทั้งขนมขบเคี้ยวมากินกันต่อด้วย

เรากลับถึงที่พักเกือบห้าทุ่มแน่ะ! พวกผู้หญิงผลัดกันอาบน้ำ ถ้าใครง่วงก็เชิญนอนตามสบาย แต่เราไม่นอนหรอกครับ นั่งคุยกันมันส์กว่า...เรายกเครื่องดื่มและของกินออกไปนั่งที่ระเบียง

ตีสาม...เราคิดว่านอนดีกว่า ก็เก็บขยะให้เรียบร้อย ปิดประตูระเบียงและนอนเบียดกันเตียงละ 4-5 คน...ตอนนั้นเองมีเสียงเคาะประตู!

เพื่อนผมมองหน้ากันอย่างฉงน เพื่อนผู้ชายสองคนก็ไปเปิดประตู แต่ภายนอกนั้นว่างเปล่าวังเวง ไม่มีใครเลยครับ เพื่อนก็กลับมานอน

ผม ล้มตัวลงนอนเป็นคนสุดท้าย เลยเอื้อมไปปิดไฟหัวเตียง ห้องมืดสนิทลงทันใด และในวินาทีต่อมาก็มีเสียงเคาะที่หัวเตียงผม...ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!!

ยังไม่ทันที่ผมจะเอื้อมมือไปเปิดไฟ เพื่อดูว่าไอ้เจ้าคนไหนมันมาแกล้ง...

ฉับพลันเสียงน้ำหวาน-เพื่อนผู้หญิงที่นอนริมสุดก็กรีดร้องซะลั่น พวกเราลุกขึ้นนั่งทุกคน และเปิดไฟสว่างจ้า...น้ำหวานชี้มือไปที่เตียงซึ่งติดกับประตู ร้องไห้สะอึกสะอื้น เพื่อนมารุมตัวเธอ ถามกันใหญ่ว่าเห็นอะไร? น้ำหวานสั่นหน้าไม่ยอมพูด แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและกุมแขนไว้แน่น

ตอนนี้ผู้หญิงหลายคนขวัญเสีย พร้องจะกลับบ้านท่าเดียว แต่พวกผมปลอบกันไว้ว่ารอถึงเช้าดีกว่า จากนั้นเราก็นอนต่อแต่เปิดไฟไว้อย่างนั้น

แน่ละ! เราแทบไม่ได้หลับกันเลย!!

รุ่งเช้า น้ำหวานยอมพูดว่า ที่ร้องกรี๊ดน่ะเพราะตอนที่ผมกำลังเปิดไฟ เธอหันไปอีกเตียงหนึ่ง เห็นผู้หญิงแต่งชุดนอนสีขาว ผมยาวมากนั่งยิ้มอยู่ พอเพื่อนๆ มารุมล้อมตัวเธอ ผีผู้หญิงนั่นก็ลุกตามมาด้วย แล้วเอาเล็บจิกแขนเธอไว้ไม่ให้พูด ก่อนจะหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

น้ำหวานบอกว่ายังจำหน้าผีได้ชัดมาก และคงจะไม่มีวันลืมแน่ๆ

เราออกจากโรงแรมแต่เช้านั้นเลย และแวะไปที่วัด ทำบุญอุทิศส่วนกุศลก่อนขึ้นรถไฟกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

ไม่นึกเลยครับว่าไปเที่ยวสนุกสนานฮาเฮที่สุดคราวนี้ จะได้เรื่องผีที่เจ๋งสุดยอดเป็นของแถมมาด้วย!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREkzTURjMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB5Tnc9PQ==



Create Date : 28 กรกฎาคม 2552
Last Update : 28 กรกฎาคม 2552 0:03:49 น.
Counter : 1243 Pageviews.

1 comment
ปีศาจแมว
ปีศาจแมว

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นลินทิพย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลูกแมวบนต้นไม้

แมวตัวนั้นน่ารักมาก มันเป็นลูกแมวค่อนข้างโต มีลายสีเทาดำสลับขาว หูใหญ่ ตาโตสีเขียว และมันหมอบอยู่บนกิ่งต้นคูนริมรั้วหน้าบ้านเรา ลูกชายกับลูกสาวของดิฉันเรียกให้ไปดูมันหน่อย เพราะเราได้ยินเสียงมันร้องแง้วๆ มาตั้งแต่เมื่อคืนมันคงจะลงไม่ได้ ทั้งที่กิ่งคูนนั้นไม่สูงเท่าไหร่ แต่ก็สุดเอื้อมเราล่ะค่ะ

ที่ลงไม่ได้เพราะคงจะกลัวหมา บ้านเรามีหมาสองตัวชื่อนินจากับไมโล

เจ้า ไมโลน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ตัวมันโตกว่าแมวนิดเดียว เป็นหมาตัวเมียที่หงิมๆ แต่นินจานี่สิ ตัวสีดำสนิท ตาเหลือง จงรักภักดีเจ้าของเป็นที่สุด แต่ดุมากจนดิฉันอึดอัดใจทุกครั้งที่มีคนมาบ้าน เพราะมันงับแข้งงับขาเขาไปหลายคนแล้ว

นิสัยอีกอย่างของนินจาก็คือ มันเป็นนักล่าที่โหดเหี้ยมสุดๆ ต้นตระกูลมันคงเป็นหมาล่าเนื้อ มันไล่ตะครุบนกหนูและแมวตายคาเขี้ยวไปหลายสิบตัวแล้ว...เจ้าแมวลายบนต้นไม้ คงรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันลงมาไม่ได้ แม้เจ้านินจาจะเดินกรีดกรายไปไหนต่อไหนแล้ว มันก็ยังไม่ยอมลงมา! ยิ่งพอเราไปมองแล้วเรียกเหมียวๆ เพื่อช่วยมัน ก็ทำให้มันยิ่งปีนสูงขึ้นไป!

ดิฉันห่วงมันมาก...มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ...ทำยังไงดี? อยากโทร.ไปจส.100 ให้เขาช่วยหาคนมาช่วยมันจัง แต่ก็เกรงใจ ฉันคิดไปคิดมาจนค่ำมืด เราเลยตกลงกันว่าดูท่าทีมันอีกคืนแล้วกัน ถ้าคืนนี้มันไต่ต้นไม้สูงขึ้นไปและไม่ยอมลงมา เราก็คงต้องขอความช่วยเหลือแล้วล่ะ

สามทุ่มกว่า เสียงแง้วๆ ครางยาวๆ อย่างน่าสงสาร มันคงหิวและอยากลงต้นไม้เต็มแก่ ดิฉันกับลูกๆ บ่นเรื่องอยากหาทางช่วยมัน

ทันใดนั้นเสียงแง้วๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส พวกเราผวาแล้วรีบลุกไปดู ทันเห็นเจ้านินจาผละออกจากใต้ต้นคูน ลูกชายฉายไฟวิ่งนำหน้า ลูกสาวร้องหวีดเมื่อแสงไฟฉายสาดส่องไปที่ร่างลูกแมวที่นอนกองอยู่ตรงนั้น!

ตา สีเขียวของมันขุ่นขาวเปิดค้างอยู่ครึ่งๆ ปากเผยออ้าด้วยอาการกรีดร้องครั้งสุดท้าย จมูกและปากมีเลือดเปรอะ แต่ยังไม่น่ากลัวเท่าบาดแผลฉกรรจ์ที่ช่วงท้อง

มันถูกกัดจนแทบขาดครึ่ง โถ! ตัวมันนิดเดียว ดิฉันเห็นเลือดมันไหลช้าลงๆ จนหยุดสนิท คนสวนต้องมาเก็บซากมันใส่ถุงขยะนำออกไป เหลือแต่คราบเลือด...มันเป็นเรื่องที่พวกเราเสียใจมากที่ช่วยมันไม่ทัน มองไปที่ต้นไม้นั่นทีไรใจคอเหี่ยวทุกที

คืนต่อมาขณะที่กำลังนั่งดูทีวี เราก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแมวร้องอย่างเจ็บปวดมาจากใต้ต้นคูน มันร้องหง่าวลั่น... เหมือนที่มันร้องครั้งสุดท้ายก่อนจะขาดใจ!

ดิฉันคว้าไฟฉายรีบออกไปดู...ใต้ต้นไม้ไม่มีอะไรนอกจากคราบเลือดทั่วบริเวณว่างเปล่า ลมพัดแรงจนขนลุก...ผีแมวมีด้วยเหรอเนี่ย?

เชื่อไหมคะว่าหลายคืนต่อมา เราก็ได้ยินเสียงมันร้องอยู่อย่างนั้นจนต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้มัน

ลูกสาวซึ่งเป็นนักอ่านเรื่องผีบอกว่า "ปีศาจแมว" มีจริงๆ นะ อย่างแมวในอลิซ อิน วันเดอร์แลนด์ก็ได้เค้ามาจากแมวตัวจริงที่เมืองคองกลีตันในอังกฤษ เป็นแมวขาวขนาดใหญ่ของคุณนายวิงจ์-คนดูแลวัดโบราณ และมันถูกฝูงสุนัขรุมกัดตายอย่างทารุณ จากนั้นมันก็กลับมาหาเจ้าของ และปรากฏตัวให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้เห็นอยู่ประจำ! คนที่เห็นนึกว่าแมวจริง จนกระทั่งมันสำแดงเดช ค่อยๆ หายละลายไปในอากาศจากปลายหาง ลำตัว และสุดท้ายก็คือส่วนหัว! ฟังแล้วสยองจริงๆ

ดิฉันชักจะกลัวผีแมวแล้วสิคะ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความสงสาร ซึ่งดิฉันเองก็มีส่วนผิดด้วย มันมาร้องอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่หลายคืน ดิฉันอยากให้มันหายเจ็บปวดเสียที

คืนหนึ่งดิฉันก็เลยเดินไปที่ใต้ต้นคูน แล้วพูดกับมันว่า...เหตุการณ์ร้ายผ่านไปแล้ว...มันจบแล้ว! หมาไม่สามารถทำร้ายมันได้อีก ร่างกายมันตายแล้ว หมดความรู้สึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งปวง มันเหลือแต่จิตวิญญาณที่ดิฉันขอให้มันไปสู่สุคติ

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดูแลรักษา ปลอบให้ความเจ็บปวดทรมานนั้นหายไป มันอาจจะเป็นกรรมเก่าที่ทำให้มันมาตายแบบนี้ แต่มันผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว...ต่อไปนี้จะไม่มีความเจ็บปวดอีกเลย

แปลก นะ นับจากคืนนั้น รู้สึกว่าวิญญาณมันจะรับรู้และสงบลง ดิฉันได้ยินเสียงมันร้องแง้วๆ สองสามครั้งแล้วก็ไม่ได้ยินอีกเลย...มันคงไปดีแล้วล่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREkwTURjMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB5TkE9PQ==



Create Date : 24 กรกฎาคม 2552
Last Update : 24 กรกฎาคม 2552 0:19:15 น.
Counter : 772 Pageviews.

1 comment
ห่วงลูก
ห่วงลูก

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"เค็น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณแม่ลูกอ่อน

น้าพิมเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนใจที่สุดของบ้านเรา!

บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ครับ อยู่กันครบเลยทั้งคุณตาคุณยาย พ่อแม่ผมกับน้าริวที่เพิ่งแต่งกับน้าพิมได้ปีกว่าๆ มานี่เอง

น้า พิมเป็นผู้หญิงน่ารัก เธอตัวเล็กและเตี้ยกว่าผมที่อายุ 14 ซะอีก แถมใจดีมาก แต่เธอมีโรคประจำตัว ผมก็เรียกไม่ถูกว่าโรคอะไร รู้แต่มันเกี่ยวกับระบบเลือด เมื่อน้าพิมตั้งท้องและคลอดน้องพลอยออกมา พวกเราทุกคนก็ดีใจมาก คุณยายบอกว่าเจเนอเรชั่นใหม่เอี่ยมคือสมาชิกครอบครัวรุ่นหลานอย่างผมนี่ มีผมเป็นคนแรก น้องพลอยเป็นคนที่สอง ตอนผมเกิดก็ดีใจกันทั้งบ้านอย่างนี้แหละ

ดีใจได้ไม่นานก็เกิดเรื่องน่าเศร้าที่สุดในโลก นั่นคือน้าพิมเป็นไขเลือดออกครับ!

ฟัง แล้วใจคอหายหมด ทุกคนเป็นห่วงมาก คุณตาบอกผมว่าไข้เลือดออกนี่ถ้าเป็นกับเด็กยังดีกว่าเป็นกับผู้ใหญ่! เพราะในผู้ใหญ่น่ะพิษสงของโรคจะรุนแรงและมีโอกาสตายได้สูงมาก...น้าพิมก็ เป็นหนึ่งในนั้น!

ตอนเธอตายผมไม่ได้เข้าไปดูหรอกครับ ได้ยินแต่พวกผู้ใหญ่คุยกันว่าน่าสงสารมาก เลือดเธอไหลทะลักทลายออกมาทั้งทางตา จมูก ปาก...บ้านผมไม่เคยมีใครตายเลยครับ น้าพิมเป็นญาติคนแรกที่อยู่บ้านนี้และตายลง ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่ากลัวพิลึก ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตกกลางคืนมันน่าขนลุกมาก มองไปทางไหนก็วังเวงและหดหู่เต็มที

ราวๆ ห้าโมงเย็นผมรีบกลับจากโรงเรียน ไปงานศพน้า พิมที่วัด คนมากันเยอะทั้งญาติและเพื่อนๆ น้ำตาท่วมเลยล่ะครับ เพราะเธอตายทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควร ไม่รู้จะด่วนรีบตายไปทำไม? ผมพูดเล่นน่ะครับ น้าพิมเองน่ะต้องยังไม่อยากตายแน่ๆ เลย เธอกำลังมีความสุขมาก

ที่สำคัญเธอเพิ่งมีลูกอ่อน น้องพลอยอายุได้สี่เดือน

เธอเป็นผีแม่ลูกอ่อน! ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่ได้ยินคนในงานศพแอบพูดกัน...เขาว่าเธอต้องห่วงลูกห่วงผัวมากๆ เชียวล่ะ!

ผม ได้ยินแล้วขนลุก เสียวไส้สยองขวัญเอามากๆ อย่าลืมว่าผมอยู่บ้านเดียวกับน้าพิมนะ! เดี๋ยวจบงานศพก็ต้องกลับบ้าน ที่มองไปทางไหนก็กลัวว่าจะเห็นน้าพิมยืนอยู่! ถ้าเป็นงั้นจริงๆ ผมช็อกตายแน่

ยังไม่ทันถึงวันเผาเลยครับ พี่ฟางคนเลี้ยงน้องพลอยก็น้ำตานองหน้ามาขอลาออกกับคุณยาย

" หนูไม่ไหวค่ะ...หนูเห็นคุณพิมเรื่อยเลย" เธอพูดโดยไม่คิดเลยว่าผมที่อยู่ตรงนั้นจะอกสั่นขวัญหาย...ในที่สุดคุณยายก็ ต้องปล่อยพี่ฟางไป แล้วหาคนเลี้ยงใหม่กันวุ่นวายน่าดู

ทุกคืนผมนอน ฟังด้วยใจระทึก แน่ใจว่าได้ยินเสียงน้าพิมเดินไปมาอยู่ตรงทางเดินหน้าห้อง...จริงๆ แล้วเธอเดินไปทั่วบ้าน ทำไมผมรู้ว่าเป็นเธอเหรอครับ? ก็เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ใส่รองเท้าแตะทำด้วยผ้านุ่มๆ รูปตุ๊กตาเดินอยู่ในบ้านเราน่ะสิ เวลาเดินจะดังแปะๆๆ ผมจำไม่ผิดหรอก เผลอๆ ยังเคยได้ยินเธอกระแอมกระไอและหัวเราะล้อน้องพลอย...ผมกลัวชะมัดเลย ได้แต่นอนคลุมโปง

น้าริวเล่าให้คนในบ้านฟังว่า หลังจากเผาศพน้าพิมแล้ว เขาเห็นน้าพิมในห้องนอนบ่อยมาก!

ตอนกลาง คืนน้าริวจะเอาน้องพลอยมานอนด้วย ทั้งตื่นชงนมและตื่นมาเห่กล่อมเวลาน้องพลอยร้องโยเย น้าริวเหนื่อยมาก บางคืนแม่ผมสงสารก็จะไปช่วยดูแล...แม่เองก็รู้สึกว่าน้าพิมอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา...แม้จะกลัว แม่ก็ยังพูดออกมาค่อยๆ ว่า อย่าห่วงลูกเลย ไปสู่สวรรค์เถอะ! แม่และทุกคนจะดูแลน้องพลอยอย่างดีที่สุด

คืน หนึ่งแม่ช่วยรับน้องพลอยมาเลี้ยงเพื่อให้น้าริวได้พัก เพราะน้าริวต้องไปทำงาน น้าริวเล่าว่าน้าพิมมานอนด้วย เห็นเป็นตัวเป็นตนเลยครับ เธอนอนเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่...ดีนะที่เหมือนคนนอนหลับ ไม่ใช่ลืมตาโพลงหรือทำอะไรน่ากลัว

น้าริวเล่าว่าพอเขาเอื้อมมือจะไปจับตัวเธอ น้าพิมก็เลือนหายไป...

น้องพลอยเองก็เถอะ ผมเห็นกับตาว่าบางวันเธอหัวเราะเหมือนกับเล่นกับใครบางคนอยู่ ผมแน่ใจว่าคนที่ผมไม่เห็นตัวนั้นคือน้าพิม!

คุณ ตาคุณยายบอกว่าไม่ต้องกลัว แต่ให้สงสารและสวดมนต์ให้น้าพิม แต่ผมทำใจไม่ได้เลยครับ มันกลัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่รู้ว่าน้าพิมใจดี ไม่มาหลอกผมด้วยลักษณะน่ากลัว...แต่ผมก็ขอน้าพิมว่าอย่ามาให้ผมเห็นเลย อยากได้อะไรก็มาเข้าฝัน

ใจผมยังคิดว่าน้าพิมเป็นน้าของผม เป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านเราเสมอ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl6TURjMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB5TXc9PQ==



Create Date : 23 กรกฎาคม 2552
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 19:50:53 น.
Counter : 618 Pageviews.

1 comment
ผีเรือน
ผีเรือน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป๊อป" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องคนขับรถ ทุกวันเสาร์ผมมักจะตื่นสายเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน แต่เสาร์นั้นจำได้ว่าเสียงวุ่นวายในบ้านทำให้ผมลืมตาขึ้นทั้งที่กำลังฝัน มันๆ ตั้งสติสักพักก่อนจะลุกไปเปิดม่านหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง

จากห้องนอนผมจะมองเห็นเรือนคนรับใช้ที่ปลูกขนานไปกับแนวรั้ว มันเป็นเรือนชั้นเดียว หลังคาลาดเอียงสีเขียว แบ่งเป็น 3 ห้องนอน ห้องริมสุดด้านโน้นเป็นห้องของนายหมานคนขับรถของคุณยาย ผมเรียกแกว่าลุงหมาน แม้จะชอบดื่มเหล้าแต่ก็ขับรถดีไม่มีอุบัติเหตุเลย

ลุง หมานเป็นชายวัย 40 เศษที่โสดสนิท ไม่ใช่เพราะอัปลักษณ์อย่างเดียว แต่เป็นที่นิสัยใจคอ จะว่าเป็นคนเลวก็ไม่ใช่ แกโหลยโท่ยซะมากกว่า คือขี้เกียจและไม่มีน้ำจิตน้ำใจกับใครเลย ที่จริงแกขี้คุย หัวเราะเก่ง แต่ลึกๆ แล้วเห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่ง

คุณยายไม่ได้ตั้งใจจ้างแกหรอก แต่เพื่อนพามา บอกว่าสงสารเพราะไอ้เจ้าคนนี้หางานทำไม่ได้ ไม่มีใครเอา เพื่อนฝูงก็ดูถูกเพราะตามเขาไปกินตลอดแต่ไม่เคยจ่ายเงิน ขืนปล่อยให้ว่างงานก็คงไม่แคล้วอดตาย หรือไม่ก็เป็นโจรไปเลย!

ท่าทางลุงหมานไม่มีพิษสงอะไร ตาเศร้าๆ หน้าหมองๆ คุณยายสงสารก็เลยรับไว้ โดยยอมทนรำคาญกับนิสัยแย่ๆ หลายอย่างของแก

แปลก นะ...ลุงหมานอยู่กับเรามาถึง 10 ปีแน่ะครับ คุณยายบอกว่าไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่เลว คนเราถ้าซื่อสัตย์ไม่ลักไม่ขโมยก็พอจะอยู่กันได้ ไอ้เรื่องโกหกตอแหลขี้โม้น่ะ คุณยายรู้ทันแต่ก็เฉยไว้ ผมละเซ็งจริงๆ

และแล้ว...อยู่มาวันหนึ่ง คือเมื่อ 2-3 วันมานี่เอง เงินปึกใหญ่ของคุณยายก็หายจากกระเป๋าสตางค์ที่เก็บไว้ในกระเป๋าถือใหญ่ เงินที่หายไปน่ะตั้งสามหมื่นเชียวนะครับ คุณยายเตรียมไว้จะซ่อมแซมห้องน้ำ...อดเลย! ที่สำคัญมันหายไปในบ้านเรานี่แหละ

คุณยายจำได้ว่าวันนั้นลงจากรถ พอดีเพื่อนแวะมาหา ลุงหมานขับรถเลยไปจอดในโรงรถ โดยกระเป๋าถือคุณยายยังอยู่เบาะหลัง และคุณยายก็ล้มไปเลย กว่าจะนึกได้อีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมง...เงินก็ล่องหนหายไปโดยไม่รู้จะโทษ ใครได้ ทั้งที่สงสัยลุงหมานมากที่สุด แต่อย่างว่าละครับ...จับไม่ได้คาหนังคาเขานี่นา!

พอถึงเช้านี้ เขาก็วุ่นวายกันอยู่ที่หน้าห้องลุงหมาน

เอ๊ะ! มีอะไรกันแน่ๆ ผมต้องลงไปดูซะหน่อยแล้วละ

ไม่ใช่หรอกครับ...ไม่ใช่ที่ผมคิดว่าคุณยายเอาตำรวจมาจับลุงหมาน แต่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นตั้งหลายเท่า...ผมขนลุกไปหมดแล้วนะเนี่ย!

ลุงหมานนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องแก ขณะที่คนอื่นๆ จ้องขึ้นไปบนเพดาน พลางวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...ผมมองตามสายตาของทุกคนไปตรงนั้นแล้วก็ต้อง สะดุ้งโหยง หลุดปากร้องเฮ้ย! ออกมาซะลั่นบ้าน

เพดานห้องด้านในที่ตรงกับหัวเตียงลุงหมาน มีรอยฝ่าเท้าขนาดใหญ่มหึมาปรากฏอยู่เด่นชัด!!

มันไปอยู่ตรงนั้นได้ไง? และใครจะมีรอยเท้าใหญ่ ขนาดนั้น...ใหญ่กว่าไฟเพดานห้องน่ะครับ นี่แสดงว่าเจ้าของรอยฝ่าเท้าจะต้องตัวโตมหึมากว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างน้อย 3-4 เท่า

ผมสาบานได้ว่าเป็นรอยเท้าอย่างชัดเจน เท้าข้างซ้ายครับ มีเส้น มีนิ้วเท้าครบถ้วน เหมือนเราเอาเท้าจุ่มโคลนแล้วประทับไว้ แต่มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ซึ่งตรงกับหัวหรือหน้าลุงหมานที่กำลังนอนบนเตียงพอดี...สยองเหลือกำลัง

ลุงหมานท่าทางคิดหนัก ทำหน้าคล้ายคนกำลังจับไข้ แกเล่าว่าคืนก่อนแกนอนๆ อยู่ได้ยินเสียงคนเดินหนักๆ บนกระเบื้องหลังคา รับรองว่าไม่ใช่แมวหรือหนู แต่เป็นเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ 3-4 ก้าว วนไปวนมา แกนอนตัวแข็ง นึกไม่ออกว่าเป็นผีเรือนหรือขโมย?

ถ้าเป็นผีแกไม่ออกมาหรอก ถึงเป็นขโมยก็เถอะ! ปล่อยให้มันขโมยไปซิ เรื่องอะไรจะเอาตัวออกมาเสี่ยง?

พอตอนเช้าเมื่อวานตื่นมาก็ไม่มีอะไร ครั้นถึงเช้านี้ พอตื่นแกก็บิดขี้เกียจกลับไปกลับมา พอลืมตา...แกชาวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นรอยเท้าสยองขวัญเหยียบเต็มเพดาน!

คุณยายบอกว่านั่นคือผีบ้านผีเรือนแน่ๆ ท่านมาเตือนมาบอกอะไรบางอย่าง! ลุงหมานเข้าใจทันที เย็นนั้นแกเอาเงินมาคืนคุณยายแล้วก้มลงกราบอย่างงาม แกขออยู่ต่ออย่าไล่แกออกเลย...คุณยายเห็นว่าคนลองกลัวขนาดนี้ก็คงพออยู่กัน ได้

ลุงหมานยังโหลยโท่ยเหมือนเดิม แต่ผมว่านิสัยแกดีขึ้นทันตาเห็นเลยละครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl4TURjMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB5TVE9PQ==



Create Date : 22 กรกฎาคม 2552
Last Update : 22 กรกฎาคม 2552 20:52:18 น.
Counter : 637 Pageviews.

1 comment
วิญญาณเรียกหา
วิญญาณเรียกหา

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ก่องแก้ว" เล่า ประสบการณ์ขนหัวลุกในอพาร์ตเมนต์ผีสิง ดิฉันเข้าทำงานในกรุงเทพฯ เลยต้องเช่าอพาร์ตเมนต์ใกล้ที่ทำงาน อยู่แถวสุทธิสารนี่เองค่ะ เข้าอยู่วันแรกก็ได้เรื่องเลยล่ะ!

วันที่ดิฉันขนกระเป๋าเข้าไป อยู่นั้น ได้สวนทางกับคนเช่าห้องคนก่อนด้วย เขาย้ายออกไปและมาดูแลความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่เป็นสามีภรรยาในวัยสามสิบห้าปี ท่าทางเศร้าๆ แต่อัธยาศัยดีมาก ทำให้ดิฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก...

เฮ้อ! อย่างน้อยห้องนี้ก็มีประวัติดี ไม่มีใครฆ่ากันตายก็แล้วกัน!

เย็นนั้น หลังจากจัดข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ไปหาอะไรกิน กว่าจะกลับขึ้นมาอีกทีก็เกือบทุ่มแล้ว พอเปิดไฟกลางห้องและเตรียมตัวอาบน้ำปรากฏว่าไฟเกิดวูบๆ วาบๆ ราวกระแสไฟตก ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นธูปโชยมา ตอนแรกเป็นกลิ่นอ่อนๆ แต่ นาทีต่อมามันฉุนจัด แทบแสบจมูกแน่ะค่ะ...ดิฉันไม่คิดอะไรมากหรอก กลิ่นมันอาจจะโชยมาจากที่ใกล้ๆ นี้ก็ได้ แต่มันเล่นเอาขนลุกซ่าไปเลยเชียว...

คืนนั้นดิฉันเข้านอนและหลับสบายตั้งแต่ห้าทุ่ม ฝันโน่นฝันนี่ไปเรื่อย แต่พอรุ่งเช้าก็ตื่นนอน...ดิฉันฝันน่ากลัวมากๆ เลยค่ะ!

ในฝันนั้น เราไปกันสามคน คือดิฉันกับน้องชายวัยรุ่นและป้า...เรากำลังเดินออกมาจากวัดแห่งหนึ่ง วัดอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่ไกลมาก ต้องเข้าไปในซอยลึกแล้วเลี้ยวไปเลี้ยวมา รถก็ไม่มี ขณะเดินออกมาเราก็ผ่านศาลาหน้าวัด กว้างใหญ่และมืดทึบ ในศาลามีแท่นใหญ่ มีศพวางอยู่บนนั้นเรียงกันอยู่ราว 5 ศพ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ทุกศพไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ มีผ้าขาวพันไว้แน่นเหมือนผ้าตราสัง แต่เปิดส่วนหัวไว้ เราจึงเห็นหน้าพวกเขาชัดเจน...เป็นใบหน้าของคนตายชัดๆ น่ากลัวมาก น้องชายดิฉันเกิดอยากเข้าไปดูใกล้ๆ เขากับป้าเดินเข้าไปในศาลา ดิฉันร้องว่าเข้าไปดูทำไม? ออกมาเถอะ เขาก็หัวเราะ

ทันใดนั้น ศพเด็กผู้หญิงผมทรงนักเรียนที่อยู่ริมสุดทางนี้ก็เกิดอาการกระตุกงึกๆ แล้วกลิ้งไปกลิ้งมา ก่อนที่พยายามงอตัวลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่มีผ้าห่อศพพันไว้แน่น

เราเผ่นกันกระเจิง ใครคนหนึ่งตะโกนว่าศพฟื้น!!

ฉับพลันมีสัปเหร่อเดินมาแล้วพูดว่า ไม่ได้ฟื้นหรอก เด็กคนนี้ตายมาหลายวันแล้ว...ดูนั่นซิ! ดิฉันมองเข้าไปเห็นเธอพยายามลุกขึ้น ตะแคงข้างมาทางดิฉัน ดวงตาลืมโพลง...เป็นดวงตาที่แบนแฟบเข้าไปในเบ้าตา ไม่ได้เป็นทรงกลมอย่างลูกตาคนเรายามมีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม ดิฉันจำได้ว่านัยน์ตานั้นเป็นแวววิงวอน มันเศร้ามากเหมือนว่าเธออยากจะลุกจากความตายแล้วกลับบ้าน...เธอยังเด็กเหลือเกิน

สัปเหร่อตรงไปที่เธอและอุ้มใส่ตัก พลางกล่อมด้วยคาถาให้เธอสงบลง

ดิฉันรีบออกจากวัดโดยมีสายตาละห้อยมองตาม เลยรีบจ้ำอ้าว มากับน้องและป้า เราเดินวนเวียนอยู่ในซอยที่มีกำแพงอิฐสีเทาสูงตระหง่านเหมือนเดินอยู่ในเขา วงกต...สักพักใหญ่ก็ออกมาเรียกแท็กซี่ได้ และคำสุดท้ายที่ดิฉันพูดก็คือ

"ไปวัดพระแก้ว ไปขอน้ำมนต์ท่าน!"

ฝันแค่นั้นก็ลืมตาตื่น...มันเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าของวันอาทิตย์พอดี

คุณคงเคยเป็นนะคะ เวลาฝันร้ายน่ะ พอตื่นใหม่ๆ บรรยา กาศในฝันมันยังอยู่...ดิฉันก็เช่นกัน! ใจตึกตักๆ ขวัญผวา ต้องนอนนิ่งๆ หายใจลึกๆ สักพัก เออ...ค่อยยังชั่ว ดิฉันดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริง เหวี่ยงขาลงจากเตียงเพื่อลุกไปห้องน้ำ...

ตอนนั้นละค่ะ ที่สายตามองไปที่หน้าเตียง และเห็นอะไรเด่นชัดอยู่ตรงนั้น!

มันเป็นก้อนสำลีสีขาวๆ มอๆ สองก้อนตกอยู่! เห็นแล้วนึกถึงสำลีที่เขาใช้อุดจมูกคนตาย! ดิฉันใจหายวาบ ภาพใบหน้าของศพเด็กหญิงในฝันผุดขึ้นมาชัดเจน ดิฉันรีบหยิบไม้กวาดมากวาดลงที่โกยผง เอาทิ้งชักโครกไปเลย

แน่ละคุณ! ดิฉันต้องสืบสาวราวเรื่องให้ได้ว่า ห้องนี้มันมีอะไรกันแน่?

จากการพูดคุยกับคนแถวนี้ทำให้ทราบว่า คนเช่าคนก่อนเป็นสามีภรรยาจากต่างจังหวัดที่มาทำงานในกรุงเทพฯ เขามีลูกสาวคนเดียวน่ารักมากชื่อ "น้องนุ้ย" พวกเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่น้องนุ้ยยังเล็กๆ จนเข้าโรงเรียน เรียกว่าอยู่เป็นบ้านเลยละค่ะ เป็นครอบ ครัวที่มีความสุขมากๆ แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง น้องนุ้ยก็เป็นไข้ไม่สบาย ไข้สูงมากแล้วแกก็ตาย

หลังจากทำศพลูกแล้ว สองสามีภรรยาไม่อาจทนอยู่ที่นี่ได้ต่อไป เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ลูกสาว เลยย้ายกลับต่างจังหวัด แล้วดิฉันก็เข้ามาอยู่แทน...ถึงบางอ้อเลยละค่ะ! วิญญาณ ของนุ้ยคงจะโหยหาพ่อแม่ และอยากกลับมาที่นี่ซึ่งเธอยึดเป็นบ้าน

เมื่อทราบเรื่องแล้วดิฉันก็ไปที่วัดพระแก้ว ไปกราบท่านและขอน้ำมนต์ใส่ขวดกลับมาไว้ในห้อง พร้อมทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เด็กหญิง และอธิษฐานจิตบอกแกว่าให้วิญญาณไปสู่สุคติ พ่อแม่แกไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

นับแต่นั้นก็ไม่มีเรื่องน่ากลัวใดๆ เกิดขึ้นอีกเลยค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl5TURjMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB5TWc9PQ==



Create Date : 22 กรกฎาคม 2552
Last Update : 22 กรกฎาคม 2552 20:50:13 น.
Counter : 719 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend