Don't Worry, Be Happy

<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
12 เมษายน 2551
 

คนเราสามารถเป็นคนดีโดยไร้ศาสนาได้หรือไม่?

วันนี้ผมมีบทความดีๆ น่าคิดตามจากอาวินทร์ เลียววาริณ มาปะให้อ่านกันครับ

จริงๆแล้วเรื่องทำนองนี้ผมคิดที่จะเขียนขึ้นมานานแล้ว แต่เนื่องจากว่ายังชั้นไม่ถึง แถมยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่รู้จักแยกแยะ และคิดอยู่เสมอว่าบุคคลอื่นนอกจากตนโง่กว่าตน ผมจึงไม่กล้าที่จะเขียนอะไรที่หมิ่นเหม่จนถึงขนาดนั้น อ้อ อีกอย่าง มีอีกหนึ่งข้อหาที่เป็นข้ออ้างศีลธรรมกันมานานนมนั่นก็คือ "เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ" ซึ่งผมก็เห็นมันฆ่ากันตายอันอยู่ทุกวัน เอ้าบ่นมาซะยืดยาว เอาเป็นว่าวันนี้ผมไปเจอบทความนี้ที่ //www.winbookclub.com หนึ่งในไม่กี่เวบไซต์ที่ผมเข้าไปดูอยู่ทุกวัน แล้วมีความรู้สึกอยากจะแบ่งปันให้อ่านกัน...

ผมไม่แน่ใจว่าจะมีก้อนหินกี่ก้อน หรือดอกไม้กี่ช่อที่จะตามมาหลังโพสต์บทความนี้เสร็จ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ หวังว่าพวกคุณคงแยกแยะออกนะฮะ...


ปู่อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค เคยเขียนไว้ว่า "โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์คือการที่ศีลธรรมถูกศาสนาแย่งชิง ไม่ว่ามันจะมีค่าหรือจำเป็นเพียงใดต่อการบังคับให้คนในยุคโบราณทำดี การรวมของสองสิ่งนี้กลับให้ผลตรงข้าม และในช่วงเวลาที่สองสิ่งนี้ควรถูกแยกออกจากกัน คนโง่ที่คิดว่าตนเองมีศีลธรรมแก่กล้ากว่า กลับเรียกร้องให้ผู้คนหวนคืนสู่ศีลธรรมด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ"

สำหรับชาวเราที่โตมากับการเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน หรือคนที่เข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ อาจรู้สึกว่านี่เป็นคำกล่าวที่ผูกกับระเบิดลูกใหญ่ ความคิดใดๆ ที่แย้งกับสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง มักยอมรับกันได้ยาก คุยเรื่องนี้แล้วอาจถูกตีหัว หรือถูกหาว่าเป็นมารศาสนาได้ง่ายๆ

ทว่าในฐานะของชาวพุทธที่ได้รับการสอนเรื่องกาลามสูตร นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะไตร่ตรองดูว่า มีความจริงมากน้อยแค่ไหนในคำกล่าวข้างต้น บางทีมันอาจเป็นโอกาสให้เราปัด 'ฝุ่น' ที่เกาะใจเรามาโดยที่ไม่รู้ตัว ที่สำคัญคือ หากเราจะเข้าใจตัวเองและชีวิตมนุษย์บนโลกดีขึ้น ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องกล้าตั้งคำถามและวิเคราะห์ข้อคิดแย้งใดๆ ให้ถึงแก่น

มนุษย์แทบทุกมุมโลกถูกสั่งสอนมาแต่เด็กให้เชื่อมคำว่า 'ศีลธรรม' 'การทำดี' เข้ากับคำว่า 'ศาสนา' การเป็น atheist (คนที่ไม่มีศาสนา, คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า) หรือ free thinker ในโลกนี้จึงมักถูกเข้าใจผิดเสมอ หลายคนฝังใจว่าการไร้ศาสนาคือการไร้ศีลธรรม

ทว่าการ ‘ไร้ศาสนา’ กับ ‘ไร้ศีลธรรม’ เป็นคนละเรื่องกัน แน่ละ คนไร้ศาสนาจำนวนมากกระทำเรื่องชั่วร้าย แต่ประวัติศาสตร์โลกเราก็บันทึกตัวอย่างมากมายของการกระทำชั่วโดยคนที่มีศาสนา ตั้งแต่ฮิตเลอร์ ไปจนถึงผู้นำชาติมหาอำนาจที่ก่อสงครามเป็นว่าเล่น ล้วนแต่เป็นคนที่เข้าโบสถ์สม่ำเสมอ ดังนั้นการเชื่อมโยง ‘ไร้ศาสนา’ กับ ‘ไร้ศีลธรรม’ ก็เช่นการบอกว่า สุนัขทุกตัวที่ไม่ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าต้องเป็นสุนัขบ้า

คนเราสามารถเป็นคนดีโดยไร้ศาสนาได้หรือไม่? อาจต้องเริ่มที่การตั้งคำถามว่า อะไรคือความดี? เราวัดความดีอย่างไร? ช่วยจูงคนแก่ข้ามถนน? ไม่เป็นเด็กแว๊น เด็กสก๊อย? อะไรคือศาสนา? มันคือการไม่ฆ่าคน? ไม่โกหก? ไม่ขโมย? ไม่ประพฤติผิดในกาม? มีเมตตาเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก? ความดีเป็นสิ่งที่เกิดมากับจักรวาลหรือไม่? หรือว่ามันเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์ปรากฏขึ้นบนโลก? มันเกี่ยวกับการที่เราอยู่กันเป็นสังคมหรือไม่? ทำไมศาสนาเพิ่งถือกำเนิดมาในโลกนานหลังจากมนุษย์สร้างอารยธรรม? สัตว์มีศาสนาหรือไม่?

ถ้าเราใช้ข้อปฏิบัติตามที่บัญญัติในศาสนาเป็นเครื่องวัดความดี เราก็อาจต้องถามต่อไปว่า ปลาวาฬปลาโลมาที่ช่วยชีวิตคนที่ประสบภัยกลางทะเลก็รู้จักทำดี? ลิงบางสายพันธุ์ที่ช่วยกันดูแลลิงที่เจ็บป่วยก็มีศีลธรรม?

การมองว่า สัตว์ก็สามารถพัฒนา 'ศีลธรรม' ได้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล หลักฐานทางวิทยาศาสตร์คล้อยไปในทิศทางว่า สายสัมพันธ์ในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม มีความเอื้ออาทรแบบเป็นพ่อแม่ลูก เมื่อพัฒนาสติปัญญาถึงระดับหนึ่ง ก็มักจะเกิดความรู้สึกทางศีลธรรมหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยเลี่ยงไม่พ้น เห็นชัดว่ารากฐานของศีลธรรมนั้นเริ่มจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy)

ลองสมมุติว่าคุณเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในโลกที่ไร้สัตว์ มีแต่ธรรมชาติ คุณยังจะต้อง 'ทำดี' หรือไม่? เมื่อวัดด้วยมาตรศีลธรรมของทุกศาสนาในโลก คำตอบก็คือ ไม่! คุณฆ่าคนและสัตว์ไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้คุณฆ่า คุณโกหกไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้คุณโกหก คุณขโมยของไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้ขโมย ฯลฯ นี่อาจหมายความว่าการทำดีและศีลธรรม ไปจนถึงศาสนาเป็นผลผลิตของสัตว์สังคม เป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสัตว์ชั้นสูงที่พัฒนาระบบประสาทถึงระดับหนึ่ง มองในมุมของหลักวิวัฒนาการ การกำเนิดของศาสนาในโลกเป็นกลไกที่จำเป็น เป็นระบบที่ทำให้สังคมอยู่รอดได้ เพราะสังคมที่ผู้คนเกื้อกูลกันย่อมมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าสังคมที่คนทะเลาะกัน เช่นเดียวกับสัตว์หลายชนิดที่อยู่เป็นฝูง เตือนภัยให้กันเมื่อศัตรูมา หากพวกมันทะเลาะกัน ย่อมจะตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นจนหมดสิ้นเผ่าพันธุ์

เช่นนั้น เราสรุปได้ไหมว่า ความดีความเลวเป็นผลผลิตของมนุษยชาติ รากฐานของการเกิดความดีความชั่วมาจากการกำเนิดสังคม? และหากก้าวไปไกลอีกขั้น ความดีความเลวเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เราสร้างขึ้นมา?



หากถามชาวพุทธทั่วไปที่เรียนวิชาศีลธรรมในห้องเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คืออริยสัจจ์ 4 (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) หรือโอวาทปาติโมกข์ (ไม่ทำชั่ว-ทำดี-ทำจิตใจให้บริสุทธิ์) หรือมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) น้อยคนเหลือเกินจะตอบว่าคือ อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท บ้างบอกว่าไม่เคยได้ยินคำนี้เลย ทั้งที่มันเป็นสาระหลักที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ในคืนวิสาขบูชา

อิทัปปัจจยตามองว่าโลกเป็นเพียงการไหลต่อเนื่องของเหตุและผล (cause-effect) โลกไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ไม่มีเทวดา ไม่มีสัตว์นรก ไม่มีอะไรมีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริง การมีหรือไม่มีถือเป็นทิฏฐิทั้งคู่ ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน เหตุทำให้เกิดผล ผลนั้นทำให้เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เกิดผลและเหตุต่อไปไม่สิ้นสุด การไปหลงติดกับความเป็นคู่เป็นความเขลาอย่างหนึ่งเพราะมันเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น

หากใช้คำของพุทธทาสภิกขุที่เขียนไว้ในหนังสือ อิทัปปัจจยตา ก็คือ "[หลักอิทัปปัจจยตา] มุ่งที่จะขจัดความเห็นผิดสำคัญผิดว่ามีตัวตน สัตว์บุคคล ตามที่คนเรารู้สึกกันได้เองตามสัญชาตญาณ หรือที่ยิ่งไปว่านั้นอีกก็คือ มุ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย และอื่นๆ ที่เป็นคู่ตรงกันข้าม เพราะนั่นมนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ตามความรู้สึกของมนุษย์ โดยที่แท้แล้ว ทั้งหมดทุกๆ คู่ ล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาเสมอกันหมด"

พูดง่ายๆ คือ สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์นี้เป็นเพียงสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมาเอง

บางคนอาจแย้งว่า ถ้ามนุษย์เห็นว่าโลกนี้ไม่มีบุญ ไม่มีบาป จะมิพากันทำความชั่วทั้งหมดหรือ นี่เป็นการจับความไม่ครบเหมือนตาบอดคลำช้าง 'ไม่มีบุญ ไม่มีบาป' บอกเราว่า ระวังอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมุติ มิได้แปลว่าคุณต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพราะอิทัปปัจจยตาคือการไหลต่อเนื่องของเหตุและผล (cause-effect) ทุกการกระทำ (action) ย่อมมีผลต่อเนื่อง (consequence) เสมอ และหลายผลต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ 'กรรมตามสนอง' นั่นเอง



ในโลกยุคที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนขยายตัวจนแทบล้นโลก ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือในเรื่องต่างๆ กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือทำสงคราม จนหลายคนสับสนบทบาทของศาสนา แต่นั่นมิได้หมายความว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป มันเพียงบอกเราว่า ศาสนาก็เช่นระบบอื่นๆ ในโลก จำต้องผ่านการ 'รีเอ็นจิเนียริง' (สังคายนา) เป็นระยะ เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย

หากจุดหมายของศาสนายังคงเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราใช้ตาชั่งใดมาวัดว่า การยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ การเคารพความจริง ความรักธรรมชาติ การดูแลโลกที่กำลังบาดเจ็บจากมลพิษ การต่อต้านสงคราม ความรักสันติภาพ เหล่านี้ใช้แทนศาสนาไม่ได้ บางทีสิ่งเหล่านี้อาจทำหน้าที่ได้เหมาะสมกว่าบทบาทของศาสนาเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อครั้งพลเมืองโลกมีเพียงไม่กี่ล้านคน ไม่ได้เชื่อมต่อแนบสนิทกันเช่นปัจจุบัน และโลกยังไม่ถูกข่มขืนทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นวันนี้

ร่มไม่ว่าจะติดยี่ห้อใดก็ใช้กันฝนได้ทั้งนั้น แต่ร่มมิใช่เครื่องมือเดียวที่ใช้กันฝน ซึ่งอาจจะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก หรือวัสดุที่หาได้ในท้องที่นั้นๆ

การประนามคนไร้ศาสนาว่าไร้ศีลธรรมก็เท่ากับการลืมบทบาทของศาสนานั่นเอง ไม่ต่างจากการพร่ำบ่นว่า การทำดีคือการไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ขณะที่ยังฆ่าสัตว์มากินทุกวัน

สรรพสิ่งคือการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการตามกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา บทบาทของศาสนาก็เช่นกัน

มองไปในอนาคต บทบาทของศาสนาเพียงเพื่อแค่ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ ศาสนาในอนาคต (อันใกล้?) อาจต้องรวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต ไปจนถึงสิ่งไร้ชีวิตอื่นๆ และจักรวาล


วินทร์ เลียววาริณ
//www.winbookclub.com
12 เมษายน 2551



When I do good, I feel good; when I do bad, I feel bad, and that is my religion.

เมื่อข้าพเจ้าทำดี ข้าพเจ้ารู้สึกดี เมื่อข้าพเจ้าทำเรื่องแย่ ข้าพเจ้ารู้สึกแย่ และนั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า

Abraham Lincoln
อับราแฮม ลิงคอล์น





Create Date : 12 เมษายน 2551
Last Update : 12 เมษายน 2551 15:22:38 น. 5 comments
Counter : 2811 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: shame_of_sins วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:15:43:37 น.  

 
 
 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
 
 

โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:23:55:16 น.  

 
 
 
Buy cheap WOW Power Leveling,sell wow gold.welcome to buy cheap wow gold-We can have WOW PowerLeveling,buy wow gold game, World Of Warcraft Gold,WOW GOLD, world of warcraft gold deal,Cheap WOW Gold. Welcome here to buy the professional World Of Warcraft Power Leveling service, World Of Warcraft PowerLeveling for Cheap WOW Power Leveling , WoW Power leveling Guide. The best of luckgoogle Best wishesAlcohol Tester purchasing center is a professional enterprise Breathalyser,Breathalyzer specializes in breath Gas Alarm consulting,Gas Detector through internet.Co Detector,Co Alarm always have been designed to alarm.
Posted by升降机数据恢复弹簧
 
 

โดย: wow Power Leveling IP: 125.126.238.52 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:10:28:20 น.  

 
 
 
ขอรบกวน ถ้าใครรุ้จัก จี-รา ช่วยฝากบอกด้วยว่าเพื่อนชื่อป่าน อยุ่ อมริกาอยากให้ติดต่อกลับมาด่วนขอบคุณ bmwnic@hotmail.com
 
 

โดย: ป่าน IP: 198.136.36.70 วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:3:36:05 น.  

 
 
 
ขอรบกวนเจ้าของ Blog ช่วยติดต่อ jeeraa's า ให้หน่อย มีธุระสำคัญมาก ช่วยฝากบอกว่า เพื่อน อยุ่ อเมริกา ชื่อ ป่าน ตารมหาตัวด่วน ช่วยติดต่อกลับมาด้วย bmwnic@hotmail.com ขอบคุณ
 
 

โดย: ป่าน IP: 198.136.36.73 วันที่: 16 เมษายน 2551 เวลา:2:47:22 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com