Don't Worry, Be Happy

<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
28 เมษายน 2550
 

Title: ชีวิตที่ออกแบบได้...

หลายคนในคืนวันศุกร์คงจะสนุกสุดเหวี่ยง
กับสถานบันเทิงและเพื่อนฝูงที่ห้อมล้อม
แต่ในขณะเดียวกันนี้ ผมกลับนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงนอน
หลังจากต้องผจญกับแดดร้อนๆๆๆๆๆๆ มาทั้งวัน

แต่ยังไม่หมดครับ รุ่งเช้าซึ่งเป็นวันเสาร์ ผมก็ต้องออกไปทำงานอีก
งานที่ว่านั่นก็คือ งานอีเวนท์ เปิดตัว คอนโดใหม่ ย่านรามอินทรา
แต่โชคยังดีที่ฟ้าฝนเป็นใจ เทกระหน่ำลงมาในคืนวันศุกร์
จึงทำให้วันนี้(ซึ่งเป็นวันเสาร์) แดดหายไปเกลี้ยง
ดังนั้นวันนี้ผมจึงมีแรงมานั่งเขียนอะไรๆ ไร้สาระให้อ่านกัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ “ไอ้หยง”
ซึ่งเป็นเด็กที่ผมจ้างมาเป็นตัว Mascot ให้กับงานในครั้งนี้
วันแรกที่ได้เจอเขา...เอ่อ ขอเรียกว่ามันดีกว่า
ด้วยความที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ผมจึงไม่ค่อยพูดคุยด้วยซักเท่าไหร่นัก
แต่พอวันที่สองที่ได้เจอ เราได้คุยกันมากขึ้น
แล้วผมก็เห็นอะไรๆในตัวเด็กอายุเพียง 20 ปีคนนี้
กับชีวิตที่ผ่านมาอย่างโชกโชนเกินอายุของเขา...เอ่อ มัน
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาระหว่างผม ไอ้หยง กับกลุ่มเพื่อนร่วมงาน
(ขออภัยหากมีข้อความหยาบคายบ้างเล็กน้องถึงปานกลาง)
เชิญติดตามครับ...

เช้าของวันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2550
ผมเดินเข้าไปในกลุ่มเด็กๆ Mascot ที่รวมตัวนั่งพูดคุยกันก่อนที่ผมจะเดินทางมาถึงอยู่แล้ว
ผมทักทายเพื่อนร่วมงานที่ชื่อว่า ไอ้เม...

“ไอ้ไป๊ป์...มาสายนะมึงอ่ะ” ไอ้เมทักทายผมก่อน
“เออโทษที เมื่อวานกูไม่สบาย เหนื่อยชิบหาย ตากแดดทั้งวัน
ว่าแต่ วันนี้มีเด็กเบี้ยวหรือเปล่า” ที่ผมถามเช่นนี้เพราะทุกงานมักจะมีเด็กเบี้ยวเสมอ

“มี 2 คน แต่กูหาคนมาแทนได้แล้ว” ไอ้เมรายงานเสร็จสรรพ
“เออดีๆ ก็ขี้เกียจฟังท่านหัวหน้าบ่นว่ะ”

“ว่าแต่...พวกมึงคุยอะไรกันอยู่”ผมถามไอ้เมไปอย่างสอดรู้
“คุยกันเรื่องไอ้หยงอยู่ คนอะไร แม่งเหี้ยจริงๆ”

“ทำไม”
“มึงเห็นที่นิ้วมันหรือเปล่า”
“เห็น...ทำไม”
“อ้าว นิ้วมันด้วนไปข้างนึง ไม่เห็นเหรอตรงนิ้วก้อย มือขวามันน่ะ”
“มันไปโดนอะไรมา”
“โดนพี่ชายมันฟัน”
“ฟันทำไม”
“เมา”
“แล้วมึงไปรู้ได้ไง”
“อ้าว ก็พี่ชายแม่งเป็นเพื่อนกู”
“แล้วทำไมถึงต้องฟันกันด้วยวะ ถึงจะเมาก็เถอะพี่น้องกัน”

ว่าแล้วไอ้เมก็หันไปถามไอ้หยงถึงสาเหตุที่มันโดนฟันจนนิ้วขาดไป 1 นิ้ว

“มันหาว่าผมไปด่าเมียมันสิเพ่” ไอ้หยงตอบกลับมา ด้วยน้ำเสียงยียวนตามสไตล์มัน
“แล้วมึงด่าหรือเปล่าล่ะ”
“ด่าเชี่ยอะไรล่ะ ผมก็แค่บอกไปว่า เมียมันนมเล็กแค่นี้เอง แม่งหยิบมีดมาฟันเฉย”
“อ้าวไอ้ห่า...ปาก แล้วมึงทำไง สู้หรือเปล่า”
“เอ๋า...มีหรือผมจะยอม”
“แล้วเป็นยังไงต่อ”
“นิ้วก็ด้วนเลยไงพี่ เสือกไปรับมีดมัน”

“พอมันเห็นว่าผมนิ้วขาดนะ แทนที่มันจะเลิกฟัน เสือกยิ่งฟันหนักกว่าเดิมอีก
เลยโดนเข้าตรงนี่อีกดอกเน้น” ไอ้หยงพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ท่อนแขนขวาของมัน

“พอหันหลังจะวิ่งหนีก็โดนอีก 2 ดอกข้างหลัง” มันพูดพร้อมกับเปิดหลังให้ดูรอยแผลเป็น
“แล้วมึงรอดมาได้ยังไงวะ” ผมซักต่อ
“ป๊าลงมาห้ามน่ะสิ”

“พอเลิกกันแล้ว ผมกำลังรอป๊าขึ้นไปเอากุญแจรถพาไปโรงพยาบาล
แม่งไม่เลิกโว้ย แม่งลงมาเล่นผมต่อ”
“เล่นยังไง”

“มันไปเอาขวดเบียร์ใส่ถุงลงมาฟาดกบาลผมต่อน่ะสิ”
ทุกคนหัวเราะครืน ทั้งๆที่ไม่น่าจะหัวเราะได้
แต่ไอ้หยงเล่าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องสนุกๆของมัน

“เชี่ย โหดชิบหาย แล้วมึงทำไง”
“ทำไงได้ล่ะ แขนก็ไม่มีแรง เอ็นขาด ยกขึ้นการ์ดไม่ได้ ก็ได้แต่ยอมให้มันตี โป๊กๆๆ”
“เช็ดดด แม่งโหดสาดด”

“ไอ้มีดฟันน่ะพอเข้าใจ แต่ไปหิ้วถุงใส่ขวดเบียร์มาฟาดหัวมึงต่อนี่แม่ง โหดชิบหาย”
“ผมจำได้เลยนะพี่ ว่าโดนไป 13 ขวด”
“อะไรนะ! 13 ขวดเลยเหรอ นี่มึงยังจะนับได้ด้วยเหรอวะ”
“นับได้สิพี่ แม่งจำแม่นเลยล่ะ”

“แล้วพ่อมึงไม่เข้ามาห้ามอีกเหรอ”
“โอ๊ยย จังหวะนั้นใครจะกล้าห้าม”

“แล้วเจ็บไหม”
“ไม่เจ็บ เมาอยู่เลยไม่เจ็บ”
“เล่นกันถึงนิ้วขาดเนี่ยนะ มึงบอกไม่เจ็บ”
“อ้าว ไม่เจ็บจริงๆนะว้อยพี่”
“แล้วนิ้วมึงอยู่ไหน เก็บไว้หรือเปล่า”
“เปล่า ผมทิ้งถังขยะไปแล้ว”
ผมคิดในใจ คนบ้าอะไรวะ กล้าทิ้งนิ้วตัวเองได้ลงคอ

“แล้วตอนมึงนอนโรงพบาบาล มันไปเยี่ยมบ้างหรือเปล่า” ไอ้เมถามต่ออย่างใคร่รู้
“ไม่ให้มันไป ตอนนั้นกะว่าออกจากโรงพยาบาล แล้วจะเอาคืนด้วยซ้ำ”
“แล้วยังไง”
“ต้องมากายภาพบำบัดอีก 2 เดือนน่ะสิ เอาคืนไม่ได้อีก”
“แม่งขอโทษไหม”
“ขอโทษสิ แต่ผมก็ไม่พูดกับแม่งตั้งหลายปี เพิ่งจะมาคุยกันเมื่อปีที่แล้วเอง”

ผมหันไปถามไอ้เม” มึงว่าไอ้หยงเหี้ย แล้วเพื่อนมึงที่เป็นพี่แม่งไม่เหี้ยกว่าเหรอวะ”
“แม่งก็เหี้ยพอกันนั่นแหล่ะ เมื่อก่อนไอ้หยงมันติดยาบ้าด้วยนะ”

“มึงคิดดู แม่งขโมยรถพ่อไปขาย เพื่อเอาเงินไปซื้อยา”
“เจ็ทโด้ แม่งใจเด็ดว่ะ”
“โอ้ยยย ฤทธิ์ยาบ้า มันสามารถทำได้ทุกอย่างแหล่ะ”
“แล้วขายได่กี่แสน เอาไปซื้อยาหมดเลยเหรอ”
“เหี้ย...!! แม่งขายรถพ่อมันไป 4 พัน”
“ส้นตีนเถอะ รถเก๋งหรือซาเล้งวะนั่น”
“ก็ดูเอาเหอะ แม่งติดยาขนาดไหน ยอมขายรถพ่อไปแค่ 4 พัน แม่งเหี้ยไหมล่ะ”
“เออว่ะ...แม่งเหี้ยจริงๆ”

หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาปฏิบัติงาน ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

ตกบ่าย เวลาเกือบเลิกงานแล้ว พวกเราก็เริ่มคุยกันใหม่อีกครั้ง โดยคุยไป ทำงานไป
“พี่รู้ป่าววว เพิ่งเคยเอาดาราด้วยนะ” ไอ้หยงเริ่มบทสนทนา
“เฮ้ย จริงป่าววะ ขี้โม้ป่าววว”
“เฮ้ย!! จริงๆพี่ ก็ไอ้.......ไง”
“นั่นมันผู้ชาย”
“ผู้ชายเชี่ยอะไรล่ะพี่...มันเป็นเกย์ควีน”
“เจ็ทโด้ น่ากลัวว่ะ”
“แล้วมึงเอาทำไมวะ...ชอบเหรอ”
“ทำทุกอย่างเพื่อเงินว่ะพี่ ช่วงนั้นผมติดยา”
“แล้วมันให้มึงครั้งเท่าไหร่”
“ใหม่ๆก็ให้ 1800”
“รายได้ดีนี่หว่า”
“ดีดิ ได้ทุกวันด้วยนะ”
“โหยยยย” ทุกคงครางฮือ

“แม่งชวนผมไปอยู่ห้องมันด้วย”
“แล้วมึงไปมะ”
“ไปสิพี่...ได้ตังค์นี่หว่า”

“แต่พอไปอยู่กับมันแม่งก็เริ่มลด จาก 1800 เหลือ พันนึง
แปดร้อย ห้าร้อย จนเหลือแค่ สามร้อยเอง”
“ที่ได้นี่คือได้ต่อครั้ง หรือได้ทุกวันวะ”
“ทุกวันพี่ ก่อนออกจากบ้านมันจะทิ้งเงินไว้ให้”
“แล้วมึงต้องเอามันทุกวันไหม”
“ไม่ บางทีมันก็หิ้วเด็กมา แล้วไล่ผมให้ไปรอข้างล่าง”
“เฮ้ยย แล้วมึงยอมได้ไงวะ แบบนี้มันหยามน้ำหน้ากันนี่หว่า” ไอ้เมกวนตีนมันขำขำ
“หยามเชี่ยไรล่ะพี่ ดีซะอีก ผมได้ตังค์ก็พอแล้ว”
“แล้วมันยังหาเด็กอยู่หรือเปล่าวะ”
“หาเรื่อยๆแหล่ะพี่”
“แล้วอย่างไอ้เมนี่ได้มะ” ผมชี้ไปที่ไอ้เมที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่ได้หรอกพี่ แค่เดินผ่านซอยบ้านมัน ก็เตะโด่งออกมาแล้ว”
“แล้วอย่างไอ้ไป๊ป์นี่มันชอบมะ” ไอ้เมถามคืนทันควัน
“ไม่ชอบหรอกพี่ ดำไป มันชอบขาวตี๋ หน้าตาญี่ปุ่นๆหน่อย”
ทุกคนหัวเราะกันครืน...”เออกูมันดำ ไอ้สาดดด”

ผมมองหน้าไอ้หยง เห็นจะจริงอย่างที่มันว่า
หน้าตาของมันนี่ถือว่าหล่อใช้ได้เลยทีเดียว
แต่จังหวะนั้น พอดีมีลูกค้าที่จ้างบริษัมผมเดินมา พวกเราจึงหยุดคุยกันชั่วคราว

“แล้วไอ้หยงมันมีเมียแล้วหรือวะ กูได้ยินพวกมันคุยกัน”
ผมถามไอ้เมไปในจังหวะที่ยืนคุมงานด้วยกัน
“มีแล้ว มีลูกด้วย”
“อายุแค่ 20 เองเนี่ยนะ แล้วตอนนี้มันทำงานอะไรวะ”
“ไม่ได้ทำ เรียนจบแค่ ม.3 เอง มันจะไปทำอะไรได้”
“อ้าวแล้วมันเลี้ยงลูกเมียมันยังไง ใช้เงินพ่อแม่ มันเหรอ”
“ก็ทำงานทุกอย่าง...จริงๆแล้วมันขอกูมาทำงานหลายครั้งแล้ว
แต่ไม่อยากเอามา กลัวมาป่วน มาเกเรกับพวกมึง มันจะฟังแต่กูคนเดียว”
“อืม...”

“แต่น้องสาวมันนี่สวยอย่างงี้เลยนะเว้ย”
“มีน้องด้วยเหรอวะ แล้วน้องมันเป็นไง”
“น้องมันดี เรียนอยู่ ม.5 แล้ว มันกับพี่มันก็ต้องทำงานส่งน้องมันเรียนอยู่”
“เออ...ก็ดีนี่หว่า ยังหาเงินส่งน้องเรียนได้”
“มันก็ดีแหล่ะ...ก็ยังดีที่ยังมีส่วนดีบ้าง”
“ก็จากที่คุยกับมัน มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเท่าไหร่นะ”
“อืม...ไม่หรอก มันแค่พลาดไปเท่านั้น”
“เออ...ถือว่าชีวิตมันก้าวพลาดไป กลับตัวกันได้”
“แล้วพ่อแม่มันเป็นไงมั่งล่ะ”
“พ่อมันตายไปแล้ว ส่วนแม่มันหนีไปบวชชี”
“งี้ก็ลำบากแย่น่ะสิ”
“ก็เออดิ..มันถึงต้องทำงานทุกอย่างไง ทั้งเข็นผักในตลาด
ทั้งอะไรหลายแหล่สารพัด มันทำหมด”
“งั้น...บอกมันดิ๊ ว่าน้องมันน่ะ กูเลี้ยงได้ฮ่าๆๆ”
ผมพูดเล่นขำขำแต่ไอ้เมเสือกหันไปบอกจริงๆ

“แล้วพี่เงินเดือนเท่าไหร่” ไอ้หยงหันมาถามผมกลับ
“ทำไม”
“เออน่า เงินเดือนเท่าไหร่”
“ก็...หมื่นอัพ”
“โอเค งั้นเอาเบอร์ไป 089-......”
“เฮ้ยๆๆๆ นี่มึงรู้ว่าเค้ามีเงินเดือนหมื่น นี่ยกน้องให้ง่ายๆเลยเหรอวะ”
ไอ้เมพูดดักก่อนที่มันจะบอกเบอร์ครบทุกตัวเลข

“ใครว่าผมยกให้ง่ายๆวะพี่เม ก็ต้องดูก่อนว่ามีงานทำหรือเปล่า
เงินเดือนเกินหมื่นไหม ถ้าเกินโอเค อ่ะพี่ 089-............”
“เฮ้ยๆ ใจเย็นๆกูล้อเล่น...”
“โด่...อะไรว้าพี่...นี่ให้จริงๆนะเนี่ย”
“ไม่เอาๆๆ” ผมส่ายหน้า
“ไอ้ไป๊ป์ไม่เอา งั้นกูขอแทนได้มะ” ไอ้เมเสนอหน้าเข้ามา
“ ไม่ให้ว้อยพี่ ฮ่าๆๆ”

ผมยืนดูไอ้หยงและเพื่อนๆของมันหยอกล้อ เล่นหัวกัน
ซึ่งชีวิตของเพื่อนของมัน ก็ไม่ได้ดีไปกว่ามันเท่าไหร่นัก
ผมแปลกใจ ในเมื่อชีวิตของมันรัดทดจนไม่น่าจะยิ้มออก หรือหัวเราะได้
พวกมันกลับทำตัวร่าเริง เหมือนไม่มีทุกข์ร้อนอะไร
ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตัวเช่นกัน เวลามีเรื่องเดือดร้อน
แล้วมักคิดว่า ตัวเองนี่ช่างเป็นคนโชคร้าย มีแต่ความทุกข์อยู่เรื่อยไป
ซึ่งมันเทียบไม่ได้ กับชีวิตที่ต้องต่อสู้ของเด็กพวกนี้เลย

บางคนก็โชคดีที่มีพ่อแม่คอยดูแล ทำให้สามารถใช้ชีวิตไปวันๆได้

แต่กับเด็กหนุ่มอายุเพียง 20 อย่างไอ้หยง ที่เคยก้าวพลาด และครอบครัวแตกแยก
กับกลับตัว เลือกทางเดินเส้นใหม่ พร้อมที่จะทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัว
พร้อมๆกับ ส่งน้องสาวของตัวเองให้เรียนสูงที่สุดเท่าที่มันจะมีปัญญาส่งได้
เพื่อที่จะ...ไม่ต้องเป็นแบบมัน

ถึงแม้ชีวิตที่ผ่านมาของไอ้หยง จะถูกยาเสพย์ติดครอบงำ
จนไม่สามารถออกแบบ ควบคุมชีวิตของตัวเองได้

แต่วันนี้...ไอ้หยง กำลังก้าวเดินอย่างช้าๆในวิถีชีวิตที่ควรจะเป็น
ของคนธรรมดาสามัญชนทั่วไป ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงคนสำคัญที่รออยู่ข้างหลัง

ชีวิตน่ะออกแบบได้...และไอ้หยงก็กำลังวาดชีวิตของมันเองอยู่เช่นกัน...




แล้วนี่ก็คือบทเรียนชีวิต...ที่ไอ้หยง ได้สอนผมโดยที่มันไม่รู้ตัวเลย




หนึ่งในนี้ มีอยู่คนนึงแหล่ะครับ...ไอ้หยงของเรา




Create Date : 28 เมษายน 2550
Last Update : 28 เมษายน 2550 22:59:48 น. 2 comments
Counter : 752 Pageviews.  
 
 
 
 
เชียนเย๊อะจังอ่ะ
 
 

โดย: Smit (Beer) IP: 125.25.5.134 วันที่: 3 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:40:36 น.  

 
 
 

ชีวิตต้องสู้คะคุณยาง สบายดีหรือเปล่า
 
 

โดย: แซนด์ซี วันที่: 5 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:09:15 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com