I'm a sheepman(มนุษย์แกะ)
Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น
คนฉลาด

เขียนโดย : คิทชา
E-mail: kittchah@hotmail.com

คนฉลาด

นายธารดิน มักจะดูถูกตัวเองเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาจ้องมองไปยังผิวกำแพงที่ปราศจากสิ่งประดับ คำว่าปราศจากสิ่งประดับในที่นี้ นายธารดินเคยเอยปากว่า “กำแพงไม่เคยว่างเปล่า ต่อให้ไร้สิ่งต่างแปะประดับ กำแพงก็คือกำแพง”

ไม่มีใครสักคนที่จะเข้าใจธารดิน ธารดินจึงนิยมก่นด่าตัวเอง

ธารดินว่า ตัวเขาเป็นคนโง่ พูดคุยกับใครๆไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่มีโอกาสเรียนสูงๆ เขาจึงเลือกมาทำงานเป็นพนักงานถ่ายเอกสารในห้องสมุด เพื่อมีโอกาสใกล้ชิดหนังสือ แต่ถึงอย่างนั้น ธารดินก็ย้ำเตือนตัวเองเสมอ ว่าเขาไม่ได้เรียนจบสูงๆเหมือนใครๆ เขาไม่ควรทำตัวฉลาดๆเหมือนคนเรียนสูงๆที่ผ่านไปมา

“การเผชิญหน้าผืนผ้าใบเปล่าๆเป็นทั้งเรื่องเยี่ยมแต่ก็เป็นเรื่องแย่”* แต่ก่อนธารดินนิยมท่องจำประโยคเหล่านี้ เพื่อไว้เป็นคำพูดติดตัวเสมอ โดยหวังว่าการท่องจำวลีหรือคำคมของศิลปิน นักคิด นักเขียน จะทำให้ตนดูฉลาดในสายตาคนรอบข้างขึ้นมาบ้าง ซึ่งผลกับตรงกันข้าม เมื่อบรรดาผู้คนรอบกาย ล้วนต่างถอยห่างธารดินไปที่ละคน ที่ละคน

เมื่อรอบข้างไร้ซึ่งผู้คนแล้ว ธารดินจึงสำนึกรู้ว่า แท้ที่จริงตนเองเป็นคนโง่ เพียงใด

ธารดินเลิกทำตัวเลียนแบบคนฉลาด แม้ว่าบ่อยครั้งธารดินยืนถ่ายเอกสารแล้วได้ยินบรรดานักศึกษาถกเถียงกัน
“KKK นี่พวกก่อการร้าย หรือเปล่าว่ะมึง” นักศึกษาหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนข้างๆขณะยืนรอถ่ายเอกสาร
“กูว่า KKK นี่ กุ๊ก กุ๊ก กู๊ มากกว่ามั้ง” เกลอหนุ่มพูดย้อนอย่างไม่หยุดคิด พร้อมหัวเราะใส่เพื่อนด้วยความบันเทิง

ธารดินรู้ว่า KKK คือ Ku Klux Klan พวกกลุ่มหัวรุนแรงที่เหยียดสีผิวมีเครื่องแบบเป็นผ้าคลุมหัวทรงสามเหลี่ยมสีขาว แต่ธารดินคิดว่านักศึกษาหนุ่มทั้งสองคงเข้าใจความหมายกันดีอยู่แล้ว ที่แกล้งถาม เพื่อจะดูท่าทางของธารดินมากกว่า หากเป็นเมื่อก่อนธารดินคงรีบแย้งแสดงความคิดเห็น หรือ อวดในข้อมูลความรู้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งคงเป็นเรื่องขบขัน ให้นักศึกษาหนุ่มเล่าต่อไปยังกลุ่มเพื่อนฝูง

ธารดินรู้ว่าธารดินเป็นคนโง่ ไม่ควรทำตัวฉลาด หรืออวดรู้แต่อย่างใด

ในแต่ละวันธารดินจะยืนถ่ายเอกสาร แล้วหันหน้าไปจ้องมองกำแพงที่ปราศจากสิ่งแปะประดับ มากกว่าจะสดับฟังคนฉลาดถกเถียงกัน







* การเผชิญหน้าผืนผ้าใบเปล่าๆเป็นทั้งเรื่องเยี่ยมแต่ก็เป็นเรื่องแย่ วลี จาก พอล เซซาน (1839-1906) ศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์





 

Create Date : 18 มีนาคม 2550    
Last Update : 18 มีนาคม 2550 18:45:16 น.
Counter : 651 Pageviews.  

เรื่องสั้น

เรื่องสั้น
ใครคนนั้น

เขียนโดย : คิทชา
E-mail: kittchah@hotmail.com

ใครคนนั้น

ฉันล้มอีกครั้ง หลังจากที่เคยหกล้มคลุกคลานมาหลายครา

การล้มของฉันเป็นไปอย่างเงียบๆไม่ส่งเสียงอึกทึกโวยวาย แต่ใช่ว่าล้มแบบเงียบๆแล้วจะเจ็บน้อยเสียเมื่อไร ตรงกันข้าม ความเจ็บก็โจมตีฉันแบบเงียบๆ
ในทำนองเดียวกัน

ฉันอยากตะโกน
ร้องบอกความเจ็บปวดออกมาให้ใครสักคนฟัง
ฉันอยากตะโกนร้องออกมาดังๆ ไม่อยากทนเก็บงำความเจ็บปวดแบบเงียบๆอยู่อย่างนี้อีกต่อไป...

ฉันขอเขียนบอกความเจ็บปวดผ่านหน้ากระดาษแทนการตะโกนร้องได้ไหม?

...

มีใครคนหนึ่งไม่อนุญาต ให้ฉันทำอย่างนั้น

ใครคนนั้นคอยห้ามให้ฉันตะโกนร้องโวยวาย ใครคนนั้นชอบค้ำฉันด้วยคำว่าศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ใครคนนั้นตอกย้ำฉันเสมอว่าอย่าเสียน้ำตา ใครคนนั้นไม่ชอบให้ฉันอ่อนแอ

“เอาสิ...เที่ยวเขียนประกาศ แสดงความโง่ออกไปสิ”
ใครคนนั้นว่า
“เจ็บแล้วก็ต้องทน ล้มได้เองก็ลุกขึ้นมาได้เอง ไม่ต้องไปร้องขอหยิบยืมมือใคร ลองเรียกร้องครั้งที่หนึ่ง ก็จะเรียกร้องครั้งต่อๆไป แล้วเมื่อไรจะลุกก้าวเดินได้ด้วยตัวเองเสียที” ใครคนนั้นยังคงกล่าวบอกอย่างประนีประนอม

ไม่บ่อยครั้งนักที่ใครคนนั้นจะพูดดีกับฉันอย่างประโยคข้างต้นที่กล่าวมา ใครคนนั้นของฉันชอบพอที่จะบ่นด่า ซ้ำเติมมากกว่าการปลอบประโลม

ครั้งหนึ่ง ใครคนนั้นว่า “โง่นักก็ต้องเจออย่างนี้ เสือกไม่ดูตาม้าตาเรือ ยอมปล่อยให้เขาจูงจมูก ผลสุดท้ายก็หมดสภาพ ดูสารรูปตัวเองสิ ดูได้ที่ไหน ไอ้โง่เอ่ย สมน้ำหน้าสิ้นดี”

ฉันมักละอายตัวเองเสมอ ยามได้ยินถ้อยคำของใครคนนั้นย้ำเตือน แต่ฉันก็รู้ดีที่สุดอีกเช่นกัน ว่าใครคนนั้นเป็นห่วงและพยายามเข้าใจฉันมากที่สุด มากกว่า...ใครคนใด

ฉันจึงมักไม่เอยเถียง หรือ ขัดใจใครคนนั้นของฉัน อาจจะมีบ้างบางครั้งคราว ที่ฉันจะติดขัดในคำคิด คำเตือนของใครคนนั้น แต่ผลสุดท้าย ใครคนนั้นก็อยู่ข้างๆฉันเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ฉันเลิกล้มที่จะเขียนบอกความอ่อนแอ ผ่านหน้ากระดาษ ตามคำบอกของใครคนนั้น

จะไปสลักสำคัญอะไรใช่ไหม? เมื่อผลสุดท้ายความอ่อนแอก็อยู่กับตัวเรา ต่อให้ร้องตะโกนโวยวาย ความอ่อนแอก็ไม่หดหาย ซ้ำร้ายอาจจะไปส่งเสียงหนวกหู กวนใจ กวนกายใครเพิ่มเติมขึ้นมาอีก กลับเป็นว่า จะโดนรังแกให้อ่อนแอหนักกว่าเดิม

ฉัน อึ๊บ

ใช่ อย่าทำสีหน้า แปลกอก ตกใจ อาการ อึ๊บ ของฉันเป็นบ่อย ยามข่มกลั้นน้ำตา เวลาฉัน อึ๊บ ใครคนนั้นจะดีอก ดีใจเสมอ ใครคนนั้นของฉัน ชอบให้ฉัน อึ๊บ

“ดีมาก ทน ทนเอาหน่อย เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ใครคนนั้นว่า

ฉันลุกอีกครั้ง พร้อมสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด (ซึ่งอันที่จริงฉันก็ไม่เคยส่องดูว่าเต็มปอดจริงดั่งคำว่าหรือเปล่า?)
ส่วนพรุ่งนี้ฉันจะเดินต่อไป แม้จะต้องสะดุดล้มอีกมากครั้งก็ตาม เพราะฉันรู้ว่าไม่มีใครจะปลอบประโลมใจและทำให้เรากลับมาเข้มแข็งได้ดีไปกว่า...ตัวของเราเอง

เชื่อฉันสิ! (ใครคนนั้นฝากบอกมา)







 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2550 20:02:04 น.
Counter : 408 Pageviews.  

STOP

ผลสุดท้าย
ตัวเราก็ไม่ต่างไปจากแกะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2550    
Last Update : 18 มกราคม 2550 8:17:27 น.
Counter : 416 Pageviews.  

ความรู้สึก

ความรู้สึก

เสียงเพลงบาลาส์บรรเลงด้วยเปียโนสะกดอารมณ์ให้หยุดนิ่งสงัด ความเหงาเข้ามาปะทะกระทบความรู้สึกให้เปลือกตาต้องบรรจบ มือขวาป้องปากปิดจมูกพร้อยสูดอากาศหายใจเข้าอย่างเนิบช้านิ่งนาน เพียงต้องการความสงบขึ้นในจิตใจ

ฉันตั้งใจเหม่อมองเหนือนอกกระจกผ่านฟิลม์ใส(อาการตั้งใจเหม่อของฉันมักเกิดขึ้นบ่อยยามหวนนึกคิดถึงบางสิ่ง) ไฟท้ายรถคันหน้าทั้งสองฝั่งทางซ้าย-ขวา กระพริบส่องสีแดงอ่อนเป็นระยะที่เคลื่อนไหว เสียงแตรบีบไล่ทำให้ฉันต้องแตะสัมผัสขยับคันเร่งตามความด่วนรีบสัญจรของท้องถนน ตัวเลขสีเขียวบนป้ายจราจรบ่งบอกเวลาในการจำกัดการเคลื่อนเขยิบ รถคันที่หนึ่ง คันที่สอง และสาม สี่ ต่างแทรกตัวเบี่ยงซ้าย มุดขวา เพื่อต้องการไปให้พ้นจากแยกไฟแดงแห่งนี้ให้เร็วที่สุด

‘เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน’ วลีนี้ฉันไม่แน่ใจว่าจดจำมาจากไหน แต่พฤติกรรมที่ผ่านพบทำให้ฉันสะกิดถึงถ้อยคำดังกล่าว

กี่คันแล้วที่แซงแทรกตัดหน้าเบียดเลนส์ ฉันก็ชะลอจอดให้ผ่านก่อนเสียงแตรคันหลังจะแสดงความไม่พึ่งใจ พร้อมหักเลี้ยวหลบมาขนาบข้างเพื่อจะเบือนหน้ามามองแล้วแซงไป

‘มีความจำเป็นต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้’ ฉันคิด เบียดแซงไปสักกี่คันก็ไปติดรวมกันอยู่แยกทางข้างหน้าเหมือนเดิม ช่องต่อระหว่างรถคันต่อคันจะเพิ่มเวลาในการถึงที่หมายต่างกันได้มากมายสักเพียงใด ผู้คนต่างแต่ก็คิดถึงปลายทางของตนจนไม่เรียวมองรอยต่อของความรู้สึกซึ่งกันและกัน

เท้าขวายังทำหน้าที่แตะเบรกเพื่อเคลื่อนตัวเป็นระยะ เส้นทึบเส้นปะบนท้องถนนเป็นส่วนประกอบให้ผู้คนท่องจำขณะเตรียมสอบใบขับขี่มากกว่าความต้องการที่ควรจะเป็น ตัวเลขดิจิตอลสีแดงบ่งบอกให้รถยนต์ต้องหยุดจอดการเคลื่อนเขยิบ อันที่จริงการเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็มีความหมายไม่ต่างกัน อัตราสัญจรยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เพลงบรรเลงเลื่อนลำดับเป็นบทเพลงที่สิบสาม ภาพอดีตลอยมาประดับกระตุ้นเตือนความทรงจำขึ้นอีกครั้ง บทเพลงทิ้งรอยร่องของความหลัง สองมือฉันกำพวงมาลัยเอนหลังลงพิงเบาะพร้อมถอนใจ ครั้งแรกที่สัมผัสความรู้สึกของบทเพลง ฉันพยายามทบทวน

“คุณไม่เคยให้เวลาผม” เสียงเขาสะท้อนก้อง อันที่จริงฉันน่าจะตรองคิดตั้งแต่ประโยคแรกที่เขาเอ่ย แต่ความเป็นจริงฉันกับคิดเข้าข้างตัวเองหรืออาจเพราะความเห็นแก่ตัวที่เถียงไป โดยว่าติดขัดธุระ การงานที่ต้องทำ ถึงกระนั้นฉันก็ทำงานจริงๆไม่ได้กล่าวอ้าง เพียงแต่ช่วงนั้น ฉันคิดว่าเขาไม่เข้าใจ

จนแล้วจนรอด เขาก็ไปหาเวลาจากคนอื่น บทเพลงที่สิบสามคือความรู้สึกที่เขาเหลือทิ้งไว้

มือซ้ายเอื้อมไปกดปุ่มตรงหน้าปัดของเครื่องเสียงเพื่อทำการเล่นซ้ำ บ่อยครั้งที่เพลงเดิมจะเล่นวนมาก รอบตามแต่ฉันจะต้องการ เสียงแตรคันหลังขัดจังหวะของบทเพลง ฉันเลื่อนคันเกียร์พร้อมเท้าขวาแตะเบรก ข้างหน้ารถหลายคันพยายามแทรกเบี่ยงมาจากเลนบังคับเลี้ยว แต่ฉันต้องขยับเพื่อปิดการเบียดแซงเพราะรถคันหลังคงไม่ยอม สีหน้าคนขับแสดงความไม่พอใจ ฉันเหลือบมองผ่านกระจกหลัง

ไฟท้ายสีแดงยังส่องทอดยาวเป็นทิวแถว หลายคนหลายคันแข่งกันพ่นควัน คนหนึ่งลดกระจกพ่นควันจากลมปาก คันหนึ่งเหยียบคันเร่งพ่นควันจากปลายท่อเสียงดังคำราม แออัดวุ่นวาย ฉันถอนใจ ไฟหน้าจากรถมอเตอร์ไซค์สาดใส่กระจกข้างเป็นระยะทั้งซ้าย ขวา ก่อนจะไปจับเกาะรวมกันเป็นกลุ่มเหมือนฝูงผึ้ง รอการปล่อยตัวแตกรัง

ตัวฉันไม่ต่างจากพฤติกรรมของหลายคนบนท้องถนน เฝ้าแต่คิดถึงจุดหมายปลายทางของตน จนหลงลืมรอยต่อของความรู้สึก น้ำตาคลอจนยากจะกลั้นเก็บ การปาดน้ำตาไม่ง่ายเหมือนการทำงานของที่ปัดน้ำฝน กระบวนการทำซ้ำหมุนวน ไม่มีทางที่ก้านปัดน้ำฝนจะหันเหมาชนกัน

ผิดถนัดกับตัวฉัน ที่ต้องทนเห็นการเรียกร้องขอเวลาจากคนอื่นของตัวเขาในสายตา บ่อยครั้งที่เขาจงใจทำให้ฉันเห็น จริงแท้ ถึงแม้ตัวฉันจะทำเป็นไม่แยแสใส่ใจ แต่ข้างในส่วนลึกก็ยากจะทานทน

ไม่อาจกล่าวโทษเอาผิดกับตัวใคร เป็นฉันที่ขว้างทิ้ง ‘ความรู้สึก’ ของเขาด้วยน้ำมือของตัวเอง

เสียงบีบร้องของรถลาในถนนยังคงกังวาน ไม่ผิดต่างจาก เสียงกรีดร้องที่เกิดขึ้นในจิตใจ อีกครั้งที่ปลายนิ้วเอื้อมไปกดปุ่มบนหน้าปัดของเครื่องเสียง บทเพลงที่ สิบสาม ดนตรีบาลาส์ของเปียโนกำลังบรรเลง



'Xjapan' /a




 

Create Date : 10 มกราคม 2550    
Last Update : 10 มกราคม 2550 12:52:20 น.
Counter : 325 Pageviews.  

เรื่องสั้น <b>บันทึก</b>

บันทึก

ดวงจันทร์
20 ธันวา 49

ผมวางเท้าทั้งสองลงบนรอยร่องที่เคยมีคนมาเหยียบฝาก คอมพิวเตอร์มือถือต้องลอยคว้างหากไม่หยิบคว้า ภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ทำให้ตัวผมเหวี่ยงไปมาก ผมไม่ละความพยายาม จัดที่จัดทางระบบร่างกายอีกที ตั้งสติ วางระเบียบ ก่อนเปิดคอมพิวเตอร์มือถือ เพื่อจรดปลายนิ้วพิมพ์บันทึกข้อความ

ผมต้องเร่งปรับตัวให้คุ้นชินเมื่อต้องมาอยู่บนดวงจันทร์

ด้วยความหวังว่าจะมองเห็นเธอสักหนึ่งครั้ง คิดเช่นนั้น ต่อให้เลวร้ายที่สุด ดวงจันทร์ก็น่าจะใกล้เพียงพอ อยากน้อยให้ได้รู้ว่าได้อยู่ไกลห่างจากเธอน้อยเท่าน้อยในความรู้สึก ผมจึงเลือกดวงจันทร์ อีกหนึ่งเหตุผล การที่ผมอยู่บนดวงจันทร์ เธออาจจะมีโอกาสชำเลืองมองผมเข้าสักวัน

เธอคนที่อยู่ปลายขอบฟ้า หญิงสาวที่ผมตกหลุมรัก

อินเทอร์เน็ต
20 ธันวา 49

ในโลกที่ผสมกันระหว่างความจริงและสารสนเทศเสมือน ผมตกอยู่ในห้วงของความรู้สึกที่ยากเกินอธิบาย แต่เมื่อครั้นถึงคราวที่จะทานทน สภาวะภายในก็ต้องหาทางกลั่นกรอง ปลดปล่อย เพื่อระบายความยากนั้นออกมา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยผมเลือกบอกเล่าเรื่องราวผ่านปลายนิ้วที่สัมผัสแป้นพิมพ์

ผมตกหลุมรักเธอผ่านอักษรที่ไหลผ่านโลกเสมือนจริง

นานมาแล้วที่ผมใช้ชีวิตส่วนหนึ่งในพื้นที่ไซเบอร์ ปล่อยทิ้งเวลาไปกับการมีตัวตนอีกรูปแบบ จนครั้งเมื่อมีโอกาสได้รู้จักกับเธอ ตัวตนของผมในโลกไซเบอร์ก็เริ่มเปลี่ยงแปลง ความเป็นจริงถูกสอดแทรกเข้าไปในโลกเสมือน จนช่วงหลังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความปลอม

เธอคนที่อยู่ในโลกไซเบอร์สเปซ คนที่ผมหวังจะพบเจอ

มหานคร
20 ธันวา 49

ความวุ่นวายของเมืองที่ไม่เคยหลับใหล จะเปลี่ยนแปลง ผิดแปลก ก็แค่เพียงพื้นสีบนท้องฟ้า ผมคือเศษส่วนที่ปนเจือไปในความสับสน ปนปะไปกับกลุ่มของคนที่ต้องมีตัวตนอยู่ในสังคม ก่อนประกอบรวมกลายเป็นแรงขับเพื่อเคลื่อนให้มหานครดำเนินต่อไป ผมมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อเขียนบันทึกข้อความ

ผมเชื่อว่าเธอไม่เป็นหนึ่งของผู้คนในมหานคร

ไม่มีที่ใดควรค่ากับเธอเท่าบนท้องฟ้า แม้ในยามราตรีแสงจันทร์ก็สะท้อนภาพเธอให้งดงามได้เสมอ ผมเชื่อเช่นนั้น หญิงสาวที่งดงามเท่าที่สุดที่ผมจะจินตนาการถึง เช่นกัน ผมผู้เป็นมนุษย์เพียงดิน ควรเก็บเธอไว้แต่เพียงในจินตนาการ เฝ้าฝันถึงเธอลำพังเพียงผู้เดียว

เธอคนที่ไม่ต่างไปจากนางฟ้า คนที่ผมไม่ควรปรารถนา

บ้าน
20 ธันวา 49

ผมบรรจงเขียนสมุดบันทึกอย่างตั้งใจ หลังจากห่างหายการสัมผัสปลายดินสอ กบเหล่าที่ไม่ได้ถูกหมุนขยับ ได้เวลาทำหน้าที่ขึ้นมาอีกครั้ง ผมคิดไปถึงว่า กบเหล่าน่าจะหลงลืมว่าสามารถลับคมดินสอได้มากกว่าการตั้งโชว์

ดินสอในนิ้วมือถูกหยิบมาขยับหมุนวนทำความคุ้นชิน ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกไปที่หน้าหลังสุด แล้วลองบรรจงขีดเขียนข้อความสองสามประโยค ดัดแปลงลายมือให้คงรูปเดิม ก่อนจะเริ่มจดบรรยายความรู้สึกภายในลงในหน้าที่ตั้งใจ ผมเริ่มเขียนบันทึกอีกครั้งหลังจากห่างหายไปหลายปี

ผมเชื่อว่าความรักของคนสองคน
เกิดขึ้นง่ายถ้าได้อยู่ใกล้กัน
แต่ไม่ได้หมายความว่า
การห่างไกลจะทำให้
คนสองคนเกิดความรักขึ้นได้ยาก....

ผมขึ้นต้นประโยคที่บันทึก ก่อนจะทิ้งเวลา และปล่อยพื้นที่ที่เหลือไว้อย่างนั้น ในความรู้สึก ผมคิดว่าเรื่องระหว่างผมกับเธอควรอยู่ในความทรงจำ ผมควรตอกฝังไว้ภายใน การบันทึกเป็นการย้ำเตือน เพียงเพราะกลัวการหลงลืม ผมไม่อาจลืมเธอและไม่สามารถจะลืม

เพราะผมรักเธอ
นางฟ้าในโลกไซเบอร์ที่สถิตอยู่ที่ปลายขอบฟ้าไกล




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549    
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 16:42:41 น.
Counter : 442 Pageviews.  

1  2  

kittchah
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แกะเป็นสิ่งมีชีวิต
ที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ หรือ
เนื้อหนังไว้ป้องกันตัว

ไม่ผิดแปลกแตกต่าง
หากมนุษย์ผู้อ่อนแอ
จะเป็นเสมือน แกะ
Friends' blogs
[Add kittchah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.