+ + = = = + + รีวิวระนอง ตอนที่ 6 ไข่น้ำแร่ ณ บ่อน้ำแร่พรรั้ง + + = = = + +
สวัสดีค่ะ
รีวิวล่าสุด ครัวมาลี ณ โคราช (คลิกเพื่ออ่าน)
หน้าแฟนเพจ สำหรับเผื่อจะไปไต่ถามอะไร หรือพูดคุยกัน
คลิกโลโก้ด้านล่างแล้วคลิกไลก์เพื่อเป็นแฟนเพจได้เลยค่ะ ^^
หลังจากรีวิวทริประนองมาแล้วดังนี้
1. อาบน้ำแร่เพื่อความสดชื่น (คลิกเพื่ออ่าน)
2. โรตีนิสรา ณ หงาว (คลิกเพื่ออ่าน)
3. รีวิว Blue Sky Resort@Ranong (Sorrento) ห้อง Junior Suite (คลิกเพื่ออ่าน)
4. รีวิว Blue Sky Resort@Ranong (Sorrento) ห้อง Deluxe และ Suite(คลิกเพื่ออ่าน)
5. รีวิวส้มตำเจ๊ต้อม แซ่บอยู่ค่า (คลิกเพื่ออ่าน)
วันนี้ก็จะพาไปเที่ยวระนองกันต่อนะคะ
ซึ่งคราวนี้จะเป็นการไปเที่ยวสถานที่แนวๆ ธรรมชาติกันบ้างค่ะ นั่นก็คือบ่อน้ำแร่พรรั้ง ซึ่งก็อยู่ในเขตๆ เดียวกัน (หรือเปล่าหว่า) กับอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว (แต่เราไม่ได้ไปน้ำตก เพราะไม่มีน้ำ) กันค่ะ ตามป้ายเลยค่ะ
มองไปทางขวามือ จะเป็นที่จำหน่ายบัตรค่าเข้าค่ะ
โต๊ะที่เห็นนั่น เดี๋ยวเราต้องมากินไข่แช่น้ำแร่ที่นี่หละนะคะ
ป้ายบอกข้อควรปฏิบัติและบ่อน้ำแร่แบบต่างๆ ที่มีให้บริการค่ะ
เจ้าหน้าที่แจ้งว่าที่นี่จะมีบ่อแช่ตัวทั้งหมด 5 บ่อค่ะ แล้วก็บ่อสำหรับแช่เท้า 1 บ่อ
บ่อจะปิดเวลา 18.00 น.ค่ะ
นอกจากนั้นน้ำแร่ที่นี่มีความพิเศษกว่าที่อื่นก็คือเป็นน้ำแร่ที่ไม่มีกลิ่นค่ะ ไม่มีกำมะถัน สามารถดื่มได้ค่ะ
เดินเข้าไปหน่อยหนึ่ง ทางฝั่งขวามือก็เป็นที่เล่นน้ำแล้วค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่า ตรงนี้จะเป็นอุณหภูมิปกตินะคะ
เดินไปอีกหน่อย ก็จะเจอป้ายหินแบบนี้ มีสัญลักษณ์ดอกโกมาซุมอยู่ แล้วก็สะพานทางขวามือให้ข้ามไปค่ะ
ข้ามไปปุ๊บก็จะเจอบ่อแบบนี้ก่อนค่ะ เป็นบ่อแบบตักอาบนะคะ
เลยจากบ่อตักอาบไปจะเป็นลำธาร ซึ่งเราสามารถเดินลงไปให้ปลาตอดเท้าได้
เป็นฟิชสปาได้ด้วยค่ะ แอบถ่ายของเพื่อนร่วมทริปมาให้ดู แหะๆ
ฝั่งตรงข้ามก็จะมีบ่อให้นั่งแช่เท้านะคะ ส่วนที่มีหลังคานั่น เราไปเดินดูตอนท้ายค่ะ
เป็นที่แช่ไข่ด้วยหละค่ะ (เดี๋ยวพาไปดูเนาะ) ไข่น้ำแร่นี่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่เลยนะคะ
มองไปทางขวามือด้านบนหน่อย ก็จะเจอบ่อสำหรับแช่อีกบ่อค่ะ พร้อมห้องน้ำด้วย
ที่นี่ความร้อนจะอยู่ที่ประมาณ 40-45 องศาเซลเซียสนะคะ (ที่รักษะวารินจะอยู่ที่ 65 องศา จะร้อนกว่าค่ะ)
ส่วนที่อยู่ใกล้กว่า จะเป็นบ่อกลางแจ้งค่ะ (เดี๋ยวจะทำผังปิดท้ายให้ดูอีกทีนะคะ)
มีนายแบบประกอบด้วยวุ้ย ยิ้มให้กล้องอีกแหนะ
จากนั้นเราก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม ผ่านร้านขายขนมเล็กๆ น้อยๆ ไป
ก็จะเจอบ่อสำหรับแช่เท้าอีกบ่อค่ะ (เอ่อ...น้องคนที่แช่เท้า ดูจริงจังไปป่าว อิอิ)
ไม่ไกลจากบ่อแช่เท้าก็จะเป็นบ่อแช่ตัวในร่มอีกบ่อค่ะ (ที่เห็นหลังคาเขียวๆ ไกลๆ)
ส่วนบ่อใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้กว่านี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นบ่อสำหรับเก็บน้ำค่ะ
สำหรับการแช่น้ำแร่ที่นี่ เจ้าหน้าที่แนะนำว่า ต่อครั้งไม่ควรเกิน 30 นาทีนะคะ
ฝั่งตรงข้ามก่อนจะถึงบ่อเก็บน้ำหน่อยหนึ่ง จะมีหม้่อข้าวหม้อแกงลิงอยู่ด้วยหละค่ะ
ห้ามเก็บนะคะ เขตอุทยานอะค่ะ
ระหว่างเดินเลาะสันเขื่อนข้ามลำธารกลับมาอีกฝั่ง แอบเก็บภาพบ่อน้ำแร่ในร่มมาให้ค่ะ
ดูเป็นส่วนตัวดีกว่าบ่ออื่นๆ นะคะ หุๆ
เดินกลับมาที่ฝั่งเดิม แล้วก็เดินย้อนกลับไปใหม่ (ไม่ต้องงงนะคะ เดี๋ยวจะเขียนผังให้ดู จะเข้าใจขึ้นค่ะ)
เดินเลยป้ายโกมาซุม (ป้ายหิน) ไปหน่อยหนึ่งก็จะเจอบ่อแช่ตัว กับบ่อสำหรับแช่ไข่ค่ะ
ที่สำหรับเอาไข่มาแช่ทำไข่น้ำแร่ค่ะ
เขาจะแช่เหมือนต้มแบบนี้อยู่ 12 ชม.นะคะ เพื่อให้ได้ไข่กึ่งๆ เหมือนลวก (เดี๋ยวจะพาไปหม่ำค่ะ) แล้วก็จะทำวันต่อวันนะคะ ซึ่งตัวไข่ที่ทำเสร็จแล้วนี่ ถ้าเรายังไม่กิน มันจะอยู่ได้ 3 วันค่ะ
กรณีที่ต้มในบ่อแบบนี้ 12 ชั่วโมง จะได้ไข่แดงสุก ไข่ขาวเป็นน้ำค่ะ
ถ้าต้ม 18 ชั่วโมง จะได้ไข่แดงสุกแต่ไข่ขาวจะเป็นวุ้น (แบบที่เราจะกินค่ะ)
ถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาที่ศาลาทางเข้าหละค่ะ ที่ขายบัตรอะนะคะ
ก็มีไข่หน้าตาแบบนี้รออยู่
พี่เค้าบอกว่า ถ้าจะกินต้มน้ำ ให้แช่น้ำอุ่น (กดน้ำร้อนใส่ในแก้วที่มีไข่อะค่ะ) สักพักหนึ่งให้ไข่พออุ่นแล้วเทน้ำออก
เค้าให้กินกับแม็กกี้และพริกไทยนะคะ แต่เราลองชิมตั้งแต่ก่อนใส่สองอย่างนี้ด้วย
ปรากฏหวานอร่อย ไม่เหม็นกลิ่นกำมะถัน และไม่คาวด้วยค่ะ อ๊างงง อร่อยอ้ะ
เราก็เลยถามที่มาที่ไปว่าทำไมถึงเกิดเจ้าไข่น้ำแร่ตัวนี้ขึ้นมาได้อะค่ะ
พี่ (กานแก้ว พิมพ์โคตร) ก็เล่าให้ฟัง (เราจดมาลายมือหวัดมาก ถ้าผิดขออภัยนะคะ จขบ.ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แหะๆ ) ผ.อ.โรงเรียนพิชัย อาจารย์สารภีกับอาจารย์สุจิตราเห็นว่าน้ำที่นี่ร้อนก็เลยขอลองเอาไข่ไปแ่ช่ แล้วก็เอาไปให้หัวหน้าตัวเองกินค่ะ (แช่แบบ 12 ชม.อะนะคะ) ก็เลยเป็นที่มาค่ะ
พี่เค้ายังเล่าให้ฟังด้วยว่ามีการเอาไข่นี่ไปทำเมนูอย่างอื่นด้วย อย่างส้มตำปู-ไทย ใส่ไข่น้ำแร่ หรือยำไข่น้ำแร่ เสียดายว่าวันนั้นไม่ได้ลองค่ะ แต่คิดว่าถ้าทำตัวนี้เป็นร้านแบบเป็นล่ำเป็นสัน ก็น่าจะเป็นจุดขายอีกอันได้เหมือนกันนะคะ
ปิดท้ายบล็อกด้วยแผนผังของที่นี่ค่ะ
สำหรับบล็อกนี้ก็เพียงแค่นี้ก่อนนะคะ เอนทรี่หน้า พาไปวัดกันบ้างค่ะ อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,469,696+29142=1498838/7465/693
Create Date : 05 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 5 กรกฎาคม 2555 7:22:27 น. |
|
38 comments
|
Counter : 11570 Pageviews. |
|
|
|
มาสฑฺฒมาเสน จ ญาติ โหติ ตทุตฺตรึ อตฺตสโมปิ โหติ
เดินร่วมกัน ๗ ก้าว ก็นับว่าเป็นมิตร
เดินร่วมทางกัน ๑๒ ก้าว ก็นับว่าเป็นสหาย
อยู่ร่วมกันสักเดือนหรือกึ่งเดือน ก็นับว่าเป็นญาติ
ถ้านานเกินกว่านั้นไป ก็แม้นเหมือนเป็นตัวเราเอง
มีความสุขกับการรักษากัลยาณมิตร ตลอดไป...นะคะ