นกโรบินชิบบ์เฝ้ามองขบวนเล็กๆของพวกสัตว์ในป่าที่เดินมุ่งหน้ามาจากทางทิศใต้ มันแน่ใจว่าขบวนดังกล่าวนี้กำลังจะมาหามันเพราะ มีอาหารมาด้วย ถ้าไม่มีจุดประสงค์ที่จะมาพบมันเจ้าสัตว์ในป่าพวกนี้มีสิทธิ์อะไรที่จะมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ แถมยังแบกถุงลูกกวาดเกาลัดมาด้วย?
ชิบบ์ไม่เหมือนนกตัวอื่นๆ มันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อปากท้องของมันเอง ความตะกละตะกรามของมันเป็นเหตุจูงใจประการหนึ่งที่ทำให้มันยอมเป็นสายสืบ--- แต่ความฉลาดที่มาพร้อมกับความโลภทำให้มันไม่เคยคิดที่จะทำงานสายสืบให้พวกที่ปราสาทโกตีร์ เพราะมันเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกพวกตัววีเซอร์และสัตว์ที่นั่นอีกหลายตัวจับกินเป็นอาหารมาหลายครั้งแล้ว
พวกสัตว์ในป่ามักจะใช้บริการของเจ้าชิบบ์ในยามจำเป็น เช่นให้ช่วยตามหาลูกเล็กๆที่หายไป และบ่อยครั้งที่จ้างมันให้ช่วยสืบความเป็นไปในป่าอีกซีกหนึ่ง ค่าบริการของมันค่อนข้างแพง แต่สิ่งที่มันโปรดปรานเป็นพิเศษคือลูกกวาดเกาลัด
ชิบบ์จ้องมองขบวนสัตว์เบื้องล่างซึ่งประกอบด้วยมาร์ติน เลดี้แอมเบอร์ และนางหนูสาวจากลอมเฮดจ์ที่ชื่อโคลัมไบน์ซึ่งเดินนำหน้า ตามหลังมาด้วยเจ้าหัวขโมยกอนฟฟ์และเจ้าตัวตุ่นบิลลัม ซึ่งแบกถุงผ้าบรรจุลูกกวาดเกาลัดมาด้วย เจ้านกโรบินไม่อาจละสายตาจากถุงขนมที่กอนฟฟ์เหวี่ยงไปมาในอุ้งมือของมันได้
“ฮ่า ลูกกวาดเกาลัด เอ้—บิลลัม ทำไมจะต้องเอาขนมนี่ไปให้เจ้าชิบบ์แลกเปลี่ยนกับข้อมูลจิ๊บจ๊อยของมันด้วยล่ะ? พนันกันก็ได้ว่าเราไปหาข้อมูลกันเองก็ได้แล้วเอาลูกกวาดนี่มาแบ่งกัน ข้อมูลหาง่ายจะตายจริงไหม?”
ตัวตุ่นบิลลัมคว้าถุงขนมที่กอนฟฟ์โยนขึ้นไปกลางอากาศเอาไว้ได้แล้วหัวเราะจนตาหยี “โฮ่ เฮ่อๆๆๆ! ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาสั่งให้ข้ามาเฝ้าเจ้า ไอ้จอมวายร้าย ถือถุงขนมไว้ให้ดีๆนะ ไม่งั้นข้าจะฟ้องคุณเบลล่า”
กอนฟฟ์ชูอุ้งมือขึ้นไปในอากาศอย่างล้อเลียนแล้ววิ่งไปหามาร์ตินพร้อมกับส่งเสียงบ่น “ไอ้โรคประสาทบิลลัม! คิดดูสิว่ามันไม่ไว้ใจข้านี่นะ---ข้าผู้ได้รับคำสั่งให้มาคอยระวังเจ้าตัวตุ่นจอมตะกละ หน้าข้าคงจะเหลือแต่กระดูกพยายามเก็บรักษาลูกกวาดนี่ให้ปลอดภัย ทุกวันนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับหัวขโมยผู้ซื่อสัตย์อย่างข้าเลยนะ”
มาร์ตินกลั้นหัวเราะขณะเหลือบมองนางสาวโคลัมไบน์ด้วยหางตา นางหนูท้องนาคนสวยกำลังหัวเราะอย่างขบขันและคงประทับใจกับเสน่ห์แบบห่ามๆของเจ้ากอนฟฟ์ มาร์ตินช่วยส่งเสริมโดยพูดถึงคุณสมบัติแปลกๆของเพื่อนของเขาให้เธอฟังเพิ่มเติม
“ต้องระวังหน่อยนะ โคลัมไบน์ กอนฟฟ์ไม่เหมือนพวกเพื่อนๆจากลอมเฮ็ดจ์ของเธอ ถ้าไม่ระวังตัวเขาอาจจะขโมยหนวดเธอไปได้สักเส้นสองเส้น”
ตวงตาของโคลัมไบน์เบิกกว้างอย่างประทับใจ “เขาทำได้จริงๆหรือ?”
กอนฟฟ์หลิ่วตาให้มาร์ตินแล้วกระโดดแผลวอย่างว่องไว ตัดหน้าโคลัมไบน์ในระยะกระชั้นชิดจนเกือบสัมผัสใบหน้าของเธอ โคลัมไบน์ตกใจยกมือขึ้นป้องใบหน้าเอาไว้ขณะที่มาร์ตินส่ายหัวอย่างระอา
“เห็นหรือยังล่ะว่าทำไมใครๆเรียกเขาว่าเจ้าชายแห่งพวกหนูจอมขโมย เธอสำรวจดูหนวดของเธอหรือยังล่ะ?”
โคลัมไบน์ยกอุ้งมือขึ้นแตะที่ใบหน้าแล้วก็ยิ้มออกมา “จริงๆนะ เธอสองคนนี่!”
กอนฟฟ์โค้งคำนับแล้วชูหนวดสองเส้นในอุ้งมือให้ดู “แล้วนี่อะไรล่ะ แม่สาวคนสวย?”
โคลัมไบน์อ้าปากค้าง “แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยนี่!”
บิลลัมเดินเข้ามาร่วมวงด้วย มันหัวเราะหึหึพลางเกาจมูกตัวเอง “ข้าก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน หนวดสองเส้นนั่นเป็นของเจ้ากอนฟฟ์น่ะแหละ เราถึงไม่รู้สึกอะไรไง”
เลดี้แอมเบอร์ชี้มือไปที่ต้นเอล์มตายซากที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันเต็มไปหมด แล้วทำสัญญานให้สัตว์ทุกตัวเงียบ “เงียบ ที่นี่เป็นบ้านของชิบบ์ เราไม่ต้องการทำให้เขาตกใจแล้วบินหนีไป กอนฟฟ์ เจ้าเป็นคนพูดสิ”
กอนฟฟ์ใช้อุ้งมือเคาะลำต้นเอล์มแล้วตะโกนผ่านเข้าไปในช่องที่กิ่งไม้หลุดหายไปว่า “เฮ้ ชิบบ์!!!
ออกมาหน่อยเจ้านกอกแดง ข้าเอง กอนฟฟ์ไงล่ะ”
ไม่มีเสียงตอบ กอนฟฟ์พยายามอีกครั้งหนึ่ง “ออกมาน่า เพื่อน เรารู้ว่าเจ้าอยู่ในนั้น เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่อยากได้ลูกกวาดเกาลัดหรือ?”
บิลลัมเปิดถุงขนมเลือกหยิบเอาเม็ดที่ใหญ่ที่สุดออกมา “เฮ่อ—เจ้าอาจจะพูดถูกนะกอนฟฟ์ เราน่าจะกินลูกกวาดนี่แล้วรับงานสายสืบกันเอง”
ว่าแล้วเจ้าตัวตุ่นก็หย่อนลูกเกาลัดเคลือบน้ำตาลเข้าไปในปากตัวเอง พร้อมๆกับเลียน้ำตาลที่ติดอยู่บนมือแล้วเคี้ยวลูกกวาดดังกร้วมๆด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข
“อืมม์ เกืตต์ อู้..อ้า มืมมม์ !!!”
กอนฟฟ์ทำเช่นเดียวกันกับบิลลัมท่ามกลางสายตาขบขันของนางหนูท้องนาสาว มันทั้งกิน พูด และทำท่าทางแบบเดียวกับเจ้าตัวตุ่น
“เฮ่อ..ฮ่า..อู้ว์ บิลลัม รู้สึกไหมว่าลูกกวาดเกาลัดนี่อร่อยชั้นหนึ่งเลย ฮู่ ฮ่า อร่อยจริงๆ!”
ตอนที่พวกมันกำลังกินลูกกวาดอยู่ ก็มีเสียงกระแอมกระไอดังมาจากกิ่งไม้กิ่งหนึ่งบนต้นโรแวนที่อยู่ใกล้ๆ
“อื้อ..อ้า ฮะแอ้ม ฮะแอ้ม!!”
ชิบบ์แอ่นอกออกมาอย่างแสดงความสำคัญแล้วไซร้ขนไปมาให้ตัวพองขึ้น มันกระโดดไปตามกิ่งไม้โดยขดปีกไว้ข้างหลังด้วยท่าทางเอาการเอางาน ก่อนจะพูดมันกระแอมกระไอให้คอโล่ง
“ฮารับ ฮะแอ้ม ขอโทษที ก่อนจะมีอะไรต่อไปข้าขอเตือนพวกเจ้าเสียก่อนว่า ถ้าใครกินลูกกวาดในถุงนั่นอีก ข้าจะถือว่าเป็นการหยามน้ำหน้าข้า แล้วก็ไม่ต้องมาทำธุระอะไรกันอีกต่อไป ฮะแอ้ม”
“โปรดฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ให้ดีก่อนให้คำตอบ” มาร์ตินตอบโต้ด้วยท่าทางเสมอกัน “ข้าได้รับมอบหมายให้มาพูดเรื่องธุรกิจกับเจ้าดังนี้ เราจะขอให้เจ้าสืบข่าวที่โกตีร์ให้เราว่านางทซาร์มีน่ามีแผนจะจัดการกับพวกสัตว์ในป่ามอสฟลาวเวอร์อย่างไรต่อไป สภาคอริมต้องการรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการแก้แค้นหรือการโจมตีต่อพวกสัตว์ ตอนนี้เจ้าจะได้รับลูกกวาดเกาลัดสองถุงก่อน และจะได้อีกสองถุงเมื่อหาข่าวมาให้เราได้ ตกลงไหม?”
เจ้าชิบบ์เอียงหัวไปข้างหนึ่ง ตาแวววาวของมันจับจ้องกอนฟฟ์ที่กำลังใช้ลิ้นเลียเศษขนมออกจากหนวด มันกระแอมกระไออย่างประสาทกิน
โคลัมไบน์ประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง เธอพูดขัดขึ้นมาด้วยสุ้มเสียงที่เป็นมิตร ”เราจะนับจำนวนลูกกวาดที่เหลืออยู่ในถุงนั่นใหม่แล้วใส่ให้เต็มเท่าเดิม โดยจะเพิ่มให้อีกสี่เม็ด สองเม็ดแรกชดเชยที่พวกของเราเอาไปกิน ส่วนสองเม็ดหลังถือเป็นดอกเบี้ยสำหรับสองเม็ดแรก แล้วก็จะแถมให้อีกสี่เม็ดต่างหากเพื่อเป็นอภินันทนาการสำหรับทักษะที่หาผู้เปรียบเทียบไม่ได้ของท่าน”
ชิบบ์จ้องมองโคลัมไบน์อย่างเอ็นดู “เอ้อ ฮะแอ้ม อืมม์ เธอคือมิสโคลัมไบน์จากลอมเฮ็ดจ์ ข้าตกลงทำธุรกิจกับเธอ ฮะรับ ขอโทษนะ แต่พวกนี้ไม่เกี่ยวนะ”
เลดี้แอมเบอร์ถอนใจยาวอย่างโล่งอก เจ้าชิบบ์บางครั้งก็อวดดีและหยิ่งยะโส ต้องขอบใจโคลัมไบน์สำหรับการเข้าแทรกแซงที่มีศิลปะของเธอ
ชิบบ์บินลงมาแล้วคำนับให้นางหนูสาวอย่างเป็นทางการ “อะเบอราแฮ่ม! แต่มันมีข้อแม้อย่างหนึ่งที่อาจจะต้องเพิ่มลูกกวาดให้ข้าเป็นค่าความเสี่ยงอีกสักเม็ดสองเม็ด…”
บิลลัมใช้ศอกกระทุ้งกอนฟฟ์ “ข้าคิดอยู่แล้วเชียว เฮ่อ..เฮ่อ”
ชิบบ์ไม่สนใจเจ้าตัวตุ่น “ฮะแหร๊ม..ข้าหมายถึงเจ้านกอินทรีอาร์กูเลอร์ ฮะแอ้ม พวกท่านก็รู้นี่นาว่าตอนนี้มันกลับมาอยู่ในดินแดนของพวกโกตีร์แล้ว ทำให้งานสืบข่าวของข้าไม่ง่ายเหมือนเคย”
โคลัมไบน์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “จริงด้วย คุณชิบบ์ ข้าเห็นด้วย ในกรณีที่ท่านถูกโจมตีโดยนกตัวใหญ่ พวกข้ายินดีจะเพิ่มค่าบริการให้ท่านอีกเท่าตัว ตกลงไหม?”
เจ้าชิบบ์พูดเกือบไม่ออกเมื่อได้รับข้อเสนอที่วิเศษนี้ มันยื่นอุ้งมือออกไปให้นางหนูสาว “เอ้อ ฮะแอ้ม ตกลง!”
โคลัมไบน์สัมผัสมือกับเจ้าชิบบ์ เลดี้แอมเบอร์ชี้แจงเรื่องข่าวสารที่ต้องการให้เจ้าชิบบ์ฟังขณะที่กอนฟฟ์โยนถุงลูกกวาดทั้งสองถุงเข้าไปในรังของเจ้าชิบบ์บนต้นเอล์มอย่างแม่นยำ ต่อจากนั้นก็เป็นการร่ำลากัน เมื่อเดินไปตามใต้ต้นไม้เล็กๆได้เพียงสองสามก้าวเลดี้แอมเบอร์ก็ชูอุ้งมือขึ้น
“เงียบแล้วก็พยายามฟัง!”
ทั้งหมดเงียบและพยายามกลั้นหัวเราะ กับเสียงเจ้านกโรบินที่กำลังตะกรุมตะกรามกินลูกกวาดจนเต็มจะงอยปากของมัน
“อะเฮ็มคราวกรัฟฟฟฟฟฟฟฟฟ์”
น้ำตาที่เกิดจากการกลั้นหัวเราะไหลลงมาตามแก้มของมาร์ติน “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ฟังสิ เจ้าจอมตะกละ!
โคลัมไบน์ เจ้าคิดอย่างไรถึงเพิ่มค่าบริการให้มันอีกเท่าตัว?”
โคลัมไบน์กระโดดมาพิงต้นไม้พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “โอ้… ข้า…ฮิฮิฮิฮิ..ข้าคงจะเสนอเพิ่มให้มันสิบเท่าเลยถ้าข้า. โอฮ่าฮ่าฮ่า ลองนึกวาดภาพเจ้านกอกแดงกลับมาทวงค่าบริการหลังจากถูกเจ้านกยักษ์ฟัดจนเละดูสิ ฮ่าฮ่า ฮิฮิ รับรองไม่มีส่วนไหนของมันเหลือติดค้าง แม้แต่ที่จะงอยปากของเจ้าอากูเลอร์ มันสามารถกลืนเจ้าชิบบ์หมดตัวเพียงแค่ครึ่งคำเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ทซาร์มีน่ายืนอยู่ที่หลังลูกกรงหน้าต่างตรงจุดที่มองเห็นรังของเจ้านกอินทรีย์ได้ชัดเจน “ข้าอยู่ตรงนี้ไง เจ้าหนอนตาบอดมีขน” หล่อนร้องตะโกน
สัญชาติญาณดุร้ายที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไม่อนุญาตให้มันทำอย่างอื่นได้ นอกจากกระโดดเข้างับเหยื่อที่มีผู้อ่อยมา มันถลาลงจากคอนที่เกาะอยู่ด้วยความเร็วและด้วยเสียงอันแหลม ตรงดิ่งเข้าใส่ศัตรูของมันราวกับจรวดติดปีก
นางพญาแมวป่ากระโดดโลดเต้นพร้อมกับหัวเราะเยาะเย้ยด้วยความดีใจในชัยชนะ เมื่อเจ้าอาร์กูเลอร์ที่นัยน์ตาเกือบบอดชนเเหล็กลูกกรงหน้าต่างเข้าอย่างจัง “ฮ่าฮ่า ไอ้ขนนกยัดที่นอนงี่เง่า ไอ้สัตว์มีปีกประจำท้องไร่ท้องนา!!”
อาร์กูเลอร์ดิ้นรนไปมาอย่างงุ่มง่ามอยู่บนขอบหน้าต่างแคบๆ พยายามหันปีกไปสู่ทิศทางที่จะบินขึ้นได้ ในที่สุดมันหล่นแอ้กลงมาบนพื้นอย่างหมดท่าแล้ววิ่งเอียงข้างไปตามพื้นเพื่อบินขึ้น
ทซาร์มีน่าทำเสียงครางดังๆและจิกอุ้งเล็บลงไปในพรม กระชากไปมาราวกับว่ากำลังขยี้พวกสัตว์ในป่าไว้ในอุ้งมือที่แข็งเหมือนคีม ต่อจากนั้นนางก็โยนพรมสูงขึ้นไปในอากาศแล้วกระโดดขึ้นฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยพละกำลังอันมหาศาล เศษพรมทั้งขนและเส้นใยลอยกระจัดกระจายไปทั่วห้องเห็นได้ชัดเจนในลำแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเข้ามาทางลูกกรงหน้าต่าง
เมื่อหนำใจแล้วนางแมวป่าก็เดินพล่านไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อีกไม่นานเจ้าพวกสัตว์ในป่าจะถูกต้อนตัวสั่นงันงกด้วยเชือกที่พันธนาการเอาไว้เข้ามาให้นางได้หรรษา แล้วนางจะทำอะไรกับพวกมันให้หฤหรรษ์ตัวเองล่ะ! นางจะเป็นผู้จัดการกับสัตว์บางตัวเอง แต่สำหรับบางตัวจะถูกนำไปที่ทะเลสาปที่เจ้ากลูมเมอร์เคยอยู่ นางอยากรู้นักว่าเจ้าพวกสัตว์ที่ถูกมัดมือมัดเท้าแถมมีหินถ่วงน้ำหนักผูกติดอยู่จะยังมีปัญญาว่ายน้ำได้อีกหรือไม่---นี่แหละวิธีอบรมมารยาทของพวกมัน ยังมีพวกกระรอกอีกตัวหรือสองตัว ที่จะได้รับบทเรียนจากการกระโดดลงมาจากยอดหลังคาของปราสาทโกร์ตี แล้วพวกสัตว์อื่นๆล่ะ ไม่มีปัญหา มีงานหนักและห้องขังรอคอยพวกมันอยู่แล้ว
ทซาร์มีน่ากระโดดลงมาตามขั้นบันไดและทางเดินที่มีน้ำหยดเป็นทาง มุ่งหน้าไปที่บริเวณห้องขังซึ่งแทบไม่มีแสงสว่าง เจ้าตัวสโต๊ทททารยามสองตัวรีบลุกขึ้นทำความเคารพแทบไม่ทันเมื่อนางโผล่เข้าไป แต่นางแมวป่าผลักพวกมันกระเด็นไปคนละทิศละทาง
ทหารยามพยุงตัวลุกขึ้นจากกองน้ำที่มันล้มลงไป พร้อมกับยกมือขึ้นคลำหัวที่
กระแทกเข้ากับกำแพงหินตอนที่กระเด็นไป
“เจ้ารู้ไหมว่าครั้งนี้นางโมโหโกรธาเรื่องอะไรอีกล่ะ?”
ทหารอีกตัวหนึ่งใช้อุ้งมือคลึงจมูกที่กำลังเริ่มบวมปูด “ก็ไม่รู้เหมือนกับเจ้าแหละ ข้ารู้แต่เพียงว่านางไม่ได้ลงมาที่นี่เพื่อถามสารทุกข์สุกดิบเราหรอก เราควรจะลุกขึ้นเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อนางจะกลับมาทางนี้อีก”
ทซาร์มีน่าวิ่งพล่านจากห้องขังหนึ่งไปยังอีกห้องขังหนึ่ง จ้องมองเข้าไปดูสภาพภายในแต่ละห้องแล้วร้องออกมาดังๆว่า “ดีดี ป็นห้องในอุดมคติของข้าทีเดียว จะช่วยทำให้มันเรียนรู้การเชื่อฟัง ให้พวกผู้ชายอยู่ห้องหนึ่ง ผู้หญิงอยู่อีกห้องหนึ่ง ส่วนพวกลูกๆของพวกมันก็เอาไปรวมกันอีกแห่งหนึ่งที่พ่อแม่ของมันจะได้ยินเสียงลูกๆของมันแต่มองไม่เห็นตัว ฮะฮ้า ข้าต้องจำไว้ให้ดีว่าได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นคัว อ้าวแล้วนี่ใครล่ะอยู่มืดตึ๊ดตื๋อคนเดียวแบบนี้น่ะ?”
ตอนนี้จินจิเวียร์ผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้ว เสื้อคลุมที่ครั้งหนึ่งเคยใหม่เอี่ยมแวววาวกลายเป็นสีเทาและมีสภาพเหมือนผ้าขี้ริ้ว ร่างกายทุกส่วนของเขาทรุดโทรมเน่าเหม็น ยกเว้นแต่นัยน์ตาเท่านั้นที่จ้องทซาร์มีน่าด้วยประกายลุกโชนจนนางต้องเบือนหน้าหนี
“เป็นไงบ้าง เจ้าคนที่เคยเป็นพี่ชายข้า ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีกในสภาพแวดล้อมที่มืด ชื้นแฉะเย็นเฉียบ และขาดอาหารเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไร ทำใจดีๆไว้ ตอนที่ข้ามีเชลยมาเพิ่มข้วจำเป็นต้องใช้ห้องนี้และจะย้ายเจ้าลงไปอยู่ในคุกที่ลึกลงไปอีก เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จินจิเวียร์ลุกขึ้นยืนเกาะลูกกรงประตูเอาไว้และจ้องมองน้องสาวของเขาอย่างถมึงทึง นางแมวป่าหันไปหันมาอย่างกระสับกระส่าย อารมณ์รื่นเริงเมื่อสักครู่หมดไป นางรู้สึกแค้นเคืองขึ้นมาอีก
“อย่ากลัวไปเลย พี่ชายผู้เงียบขรึมอ้าปากไม่ขึ้นของข้า ไม่ช้าข้าจะหาทางช่วยเจ้า ดาบสักเล่มเป็นอย่างไร หรือจะเอาหอกพุ่งมาเสียบตอนกลางคืนเพื่อเจ้าจะได้หลับสนิทดีไหม?”
นัยน์ตาของจินจิเวียร์จ้องประสานกับนางทซาร์มีน่า เสียงของเขาเหมือนเสียงระฆังที่ใช้ในพิธีฝังศพเมื่อร้องว่า “นางฆาตกร!”
นางพญาแมวป่าวิ่งผงะออกไปจากหน้าห้องขัง โดยมีเสียงของจินจิเวียร์ดังตามหลังไปราวกับหอกที่วิ่งไปเสียบหลังนาง
“นางฆาตกร! เจ้าฆ่าพ่อของเรา นางฆาตกร! นางฆาตกร!”
เมื่อเสียงฝีเท้าของนางทซาร์มีน่าเงียบหายไป จินจิเวียร์ปล่อยมือจากลูกกรงเหล็กแล้วทรุดตัวลงไปบนพื้นห้อง หยดน้ำตาอุ่นๆหลั่งไหลออกมจากนัยน์ตาที่ปรือด้วยพิษไข้ของเขา
หลังการเดินทางไปในป่ามอสฟลาวเวอร์เพื่อไปหาชิบบ์ พวกเขาก็พร้อมสำหรับอาหาร ตอนนี้พวกสัตว์ในป่ามารามตัวกันอยู่ที่บร๊อคฮอลล์ อาหารแต่ละมื้อก็มีสภาพเหมือนงานเลี้ยง แต่ละกลุ่มจะทำอาหารพิเศษขึ้นมาร่วมกินด้วยกัน บนโต๊ะอาหารมีดอกไม้สวยงามช่อใหญ่ประดับประดาอยู่กลางโต๊ะราวกับงานฉลองเป็นสัญญลักษณ์ของการชุมนุมสังสรรเพื่อวางแผนต่อต้านพวกที่โกตีร์
กอนฟฟ์รู้สึกว่าโคลัมไบน์คอยแอบมองมันอยู่ เบลล่าขอให้กอนฟฟ์ร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า มันลุกขึ้นยืนก๋าแล้วร้องเพลงออกมาด้วยเสียงอันดัง
กระรอก ตัวนาก เม่น หนู
ตัวตุ่นที่มีขนสีดำขลับ
มารวมกันอยู่ด้วยจิตใจที่อารี
อยู่รอบๆโต๊ะกินเลี้ยงนี้
เราจงนั่งลงกินและดื่ม
แต่ก่อนอื่นสหายเอ๋ย
คิดถึงพวกผลไม้จากป่า ทุ่งนาและฝั่งน้ำ
ตลอดจนฤดูใบไม้ผลิแล้วกล่าวคำขอบคุณ
พวกสัตว์จากป่าส่งจานอาหารผ่านกันไปมา กอนฟฟ์นั่งลงพร้อมกับยักคิ้วให้โคลัมไบน์โดยไม่มีอาการเขินอาย
“เพลงเพราะจริงไหม? เป็นทำนองโบราณที่ส่งผ่านกันมาหลายชั่วคน ส่วนเนื้อร้องข้าแต่งขึ้นเองสดๆร้อนๆสำหรับโอกาสนี้”
ท่าทางกอนฟฟ์ภูมิใจมากจนนางหนูสาวน้อยไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะกับท่าทางโอ้อวดของมันได้
มาร์ตินเคยนั่งตามโต๊ะต่างๆมาแล้วหลายประเภท เช่นโต๊ะของพวกชาวไร่ พวกโรงเตี๊ยม และแม้แต่แค่ก้อนหินที่มีทีพอสำหรับวางอาหารเท่านั้น ตอนนี้เขานั่งตัวตรงสำรวจดูอาหารที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าอย่างอัศจรรย์ใจ ซุปกุ้งน้ำจืดใส่หญ้าแฝกจากพวกตัวนาก คณโฑขนาดใหญ่ของสกิปเปอร์ที่บรรจุพั๊นช์ร้อนๆทำจากรากไม้ ลูกนัทผสมเห็ดดำ แบล๊คเบอร์รี่และแอ๊ปเปิลหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลูกเกาลัดอบหอมหวาน ท๊อฟฟี่ลูกแพร์อบน้ำผึ้งและเครื่องดื่มปรุงจากต้นเมเปิล ซึ่งพวกเม่นและกระรอกช่วยกันทำ พวกลอมเฮดจ์และพวกหนูจากป่ามอสส์ฟลาวเวอร์ช่วยกันทำขนมพายจากลูกเคอแรนท์และลูกเบอร์รี่ ขนมเค้กจากเมล็ดข้าว และขนมปังนุ่มหวานจากมันฝรั่ง รวมทั้งเหล้าหมักเดือนตุลาคมถังใหญ่ แถมยังมีขนมพายขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่าดีปเปอร์ แอนด์ เอ เวอร์ จากฝีมือของโฟร์โมลและคณะ ซึ่งประกอบด้วยหัวผักกาดหัวใหญ่ หัวบีช และถั่ว ผสมซอสมะม่วงกวน
ปกติมาร์ตินจะเลือกกินพาย แต่กอนฟฟ์ขะยั้นขะยอให้ทั้งเขาและนางหนูสาวโคลัมไบน์ชิมอาหารทุกชนิดอย่างละนิดละหน่อย
“เอ้านี่แน่ะมาร์ติน ลองชิมเหล้าหมักเดือนตุลาคมนี่หน่อยซิว่าเป็นยังไง โคลัมไบน์ ชิมพั้นซ์รากไม้ร้อนๆนี่ดูหน่อย อ้อ เค็กเมล็ดข้าวนี่ล่ะเป็นไงบ้าง? ลองกินกันสักนิดสิ เฮ้ มาร์ติน ท่านเคยบ่นอยากลองชิมท๊อฟฟี่ลูกแพร์ไม่ใช่หรือ? มาสิ มากินเลย ฮ่าฮ่าฮ่า โคลัมไบน์วางพั๊นซ์นั่นลงเถอะ หน้าเจ้าแดงราวกับอังไฟแล้ว กินเครื่องเทศจากต้นเมเปิลดีกว่า “
เฟอร์ดี้และค็อกส์ ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆเฝ้ามองมาร์ตินและกอนฟฟ์อย่างชื่นชม
“ข้าบอกอะไรเจ้าอย่างหนึ่งนะ คอกส์ ถ้าข้าเจอดาบหักสักเล่มเมื่อไหร่ ข้าจะเอามันห้อยไว้ที่คอข้าเหมือนนักรบมาร์ตินเลย”
“ฮ่ะ ลองวาดภาพพวกนั้นพยายามขังกอนฟฟ์ไว้ที่ปราสาทโกตีร์สิ ข้าพนันเลยว่าถึงพวกมันจะผูกมือเขาไว้ เขาก็หนีออกมาได้อยู่ดีแหละ ข้าคิดว่าข้าเหมือนกอนฟฟ์นิดๆนะ”
“แหงละ เจ้าเหมือนกอนฟฟ์ ส่วนข้าเหมือนนักรบมาร์ติน---ไม่ค่อยพูดแต่กล้าหาญ---ถ้าตอนนี้ยังไม่เหมือนเท่าไหร่ พอข้าโตขึ้นก็เหมือนเองแหละ ไม่เชื่อก็คอยดูสิ”
“ไปกันเถอะ เราอิ่มแล้วนี่นา รีบไปโจมตีพวกโกตีร์กันดีกว่า ก่อนที่จะถูกส่งตัวเข้านอน เราต้องย่องไปเงียบๆ”
พวกที่กำลังสนุกสนานวุ่นวายอยู่กับการกินอาหารไม่ได้สังเกตเห็นเจ้าลูกเม่นน้อยสองตัวที่เดินออกไปจากบริเวณนั้น
แวะมาเยี่ยมค่ะ
มีความสุขในทุกๆวันนะคะ