ความอกสั่นขวัญหายปกคลุมอยู่ทั่วปราสาทโกตีร์ สะโต๊ทตัวหนึ่งถูกเลือกออกมาจากพวกทหารยามประจำคุกโดยนางฟอร์จูนาต้ากับคลัดด์ และถูกพาเข้าไปในห้องนอนของนางทซาร์มิน่าโดยไม่เต็มใจ
“เอ้อ สมเด็จพระราชินี เอ้อ ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมอสฟลาวเวอร์ เอ้อ…อ้า เชลยสองตัวหายไปขอรับ!”
“หายไป! หมายความว่าอย่างไรที่ว่าหายไปน่ะ?” นางแมวป่ากระโดดแวบเดียวจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เข้าตระครุบคอหอยเจ้าตัวสะโต๊ททหารยามผู้นั้น
“เยอรรรรรรคคคกกกฮารรรรรรรร…หนีไปแล้วขอรับ”
นางทซาร์มิน่าโยนร่างที่พูดระล่ำระลักนั้นลงไปกองอยู่บนพื้นแล้วเผ่นแผล็วลงบันไดไปยังคุก เสียงของนางสะท้อนก้องไปตามบันได
“หนีไป? เป็นไปไม่ได้! ทหารยาม ลงไปที่ห้องขังเดี๋ยวนี้”
ห้องขังทุกห้องถูกค้น
ระเบียงถูกตรวจสอบ
กำแพงด้านนอกของคุกถูกทหารรายล้อมเอาไว้
ลานฝึกทหารถูกตรวจทุกตารางนิ้ว
ค่ายทหารทั้งค่ายถูกค้นอย่างละเอียดละออ
ห้องทุกห้อง ทางเดิน ตู้เก็บของ ครัว ป้อมยาม และแม้แต่ห้องล้างจานก็ไม่รอดจากการถูกค้นทุกซอกทุกมุมไปได้
โดยทางการแล้วจินจิเวียร์ไม่มีตัวตนอีกต่อไป ไม่มีใครสักคนสนใจจะมาค้นห้องขังของเขา ที่ปิดตายด้วยสลักและลูกกรง
อาจจะยกเว้นนางทซาร์มิน่าเท่านั้น
โคลัมไบน์ลุกขึ้นนั่งขยี้ตาให้หายง่วง เธอไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นกลางคืนหรือกลางวัน? หลับมากี่ชั่วโมงแล้วในโพรงถ้ำที่แห้งและอบอุ่นนี้? ทุกหนทุกแห่งเงียบสงบไม่เหมือนกับการสู้รบที่ผ่านมาซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องและความน่าสพรึงกลัว ร่างของเธอมีผ้านวมที่ตกแต่งด้วยผ้าปะเป็นชิ้นๆเก่าแก่ปกคลุมอยู่ โคลัมไบน์ผลักมันออกจากตัวเมื่อตุ่นสาวตัวหนึ่งโผล่เข้ามา
“สวัสดีตอนเช้า ขอต้อนรับสู่โมลดีป อาหารเช้าพร้อมแล้ว”
นางหนูสาวน้อยเดินตามตุ่นสาวออกไปยังถ้ำที่มีขนาดใหญ่ เบน สติคเกิล และสัตว์ในป่าที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบนั่งอยู่กับพวกหนูจากลอมเฮดจ์ และกลุ่มตัวตุ่น
โฟร์โมลโบกมือเรียกให้เธอเข้าไปนั่งระหว่างเขาและตุ่นชราผู้หนึ่งซึ่งมีขนสีเทาทั้งตัว
“ที่นั่งข้างๆเธอนี่คือ ผู้เฒ่าดินนี่ ปู่ของเจ้าหนุ่มน้อยดินนี่”
เฒ่าดินนี่ผงกหัวต้อนรับแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาใช้ช้อนตักน้ำผึ้งเข้าปากต่อไป เห็นได้ชัดว่าพวกตุ่นชอบเริ่มอาหารมื้อแรกด้วยอาหารประเภทมีเนื้อมีหนัง ประกอบด้วยรากไม้ต้มหลากพันธ์และหน่อไม้ซึ่งสว่นใหญ่โคลัมไบน์ไม่รู้จัก อาหารทุกจานมีรสชาติอร่อย ไม่ว่าจะจิ้มกับเกลือ เคลือบน้ำตาล หรือจุ่มในน้ำผึ้งและนม (ตุ่นบางตัวจิ้มอาหารลงในเครื่องเคียงเหล่านี้ทั้งหมด) ขนมปังบางราวกับข้าวเกรียบและมีรสอัลมอนด์ ขนมเค็กที่ใช้ดอกบัตเตอร์คัพเป็นพิมพ์ยกมาเสิร์ฟโดยยังร้อนๆอยู่ มีทั้งผ้าเช็ดมือที่เป็นปุยอ่อนนุ่มและน้ำกุหลาบให้ทำความสะอาดมือที่เหนอะหนะจากอาหาร
โคลัมไบน์แทะขนมปังข้าวไรน์และดื่มน้ำชารสมิ๊นท์ แล้วอดไม่ได้ที่จะถามโฟร์โมลว่าพายดีปเปอร์ แอนด์ เอเวอร์ ขนาดยักษ์และจานไม้โบราณใส่อาหารที่พวกตุ่นโปรดปรานเป็นพิเศษอยู่ที่ไหน
โฟร์โมลหัวเราะหึหึแล้วใช้อุ้งมือขนาดใหญ่ของเขาชี้ไปที่โต๊ะ “โฮ่ เออร์ โคลัมไบน์ นี่เป็นแค่อาหารเช้าเบาๆสำหรับเธอและเพื่อนๆเท่านั้น เราดัดแปลงเล็กน้อยให้เหมาะกับพวกเธอ พวกตุ่นจะกินอาหารหนักเฉพาะมื้อเย็นเท่านั้น เวลาหิวจัดๆน่ะ”
นางหนูสาวพยักหน้ารับรู้พร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ พยายามซ่อนความขบขันเอาไว้“อ๋อ เข้าใจแล้ว นี่เป็นอาหารเช้าแบบเบาๆเท่านั้น”
ระหว่างกินอาหาร โตลัมไบน์รู้สึกคิดถึงกอนฟฟ์มาก ถ้าเพียงแต่ว่าเขาจะอยูที่นี่กับเธอท่ามกลางมิตรสหายเหล่านี้!! นางหนูสาวพนันกับตัวเองว่าเขาจะต้องรู้ว่าอาหารบนโต๊ะนี้แต่ละจานมีชื่อว่าอะไรและรสชาติอย่างไร และคงจะอ้างว่าได้เคยขโมยอาหารพวกนี้กินมามากมายหลายครั้งแล้ว เธอวาดภาพว่าเขาคงจะพูดอะไรตลกๆเล่นกับทุกคน ล้อเลียนคำพูดพวกตัวตุ่น และร้องเพลงพื้นเมืองที่แต่งขึ้นเองสดๆร้อนๆ
นางหนูสาวน้อยทอดถอนใจลงในถ้วยน้ำชารสมิ้นต์ที่กำลังจิบอยู่ ทำให้กลิ่นมิ้นต์กระจายออกมาและกลายเป็นไอ กอนฟฟ์อยู่ที่ไหนหนอในเช้าของวันอันสดใสนี้?
“อาหารเช้าแบบเบาๆ” จบลงก่อนเที่ยงไม่นาน หลังจากนั้นพวกตัวตุ่นก็นำทางโคลัมไบน์และสัตว์ในป่าอื่นๆเดินทางกลับบร็อคฮอลล์โดยเส้นทางลับ
มาร์ติน กอนฟฟ์ และดินนี่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ กินอาหารเช้าไปพลางก็เฝ้าจับตามองแสงสีเทาขมุกขมัวของท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ หลังจากเก็บอาหารที่เหลือเข้ากล่อง พวกเขาก็มีแรงพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ น่าแปลกที่กอนฟฟ์เป็นคนแรกที่ก้าวออกจากถ้ำเล็กๆนั้น
“ไปกันเถอะ” เขาบอกเพื่อนๆ “ พอสายๆหน่อยๆท้องฟ้าก็จะสว่างขึ้นกว่านี้ เชื่อสิ ข้าเป็นเจ้าชายนักพยากรณ์นะ”
ทั้งหมดออกเดินทางโดยก้าวยาวๆ เมื่อพ้นจากเนินเขาเตี้ยๆบรืเวณนั้นก็กลายเป็นที่ราบโล่งอีกครั้งหนึ่ง ไก่ป่าที่เพิ่งตื่นนอนตัวหนึ่งบินหวือขึ้นไปในอากาศที่ชื้นเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้มัน
ซาลา-มานดา-สตรอน
ดูซิว่าใครกำลังมา
สัตว์ป่าสามตัวที่เก่งที่สุดจากมอสฟลาวเอร์
เดินอย่างสง่างามเพื่อการแสวงหา
ซาลา-มานดา-สตรอน
สแครทช์มองเห็นเงามัวๆของร่างทั้งสามในสายฝนที่เริ่มตกพรำๆ
“แน่ะ พวกมันอยู่ตรงนั้นไง เจ้าทั้งสองเร็วเข้า ข้าเชื่อว่าเราจะจับพวกมันได้วันนี้แหละ เร็วเข้า ไปเร็วๆ จับมันเสร็จแล้วเราจะได้เดินทางกลับโกตีร์กันเสียที จะได้กินอาหารดีๆ พักผ่อนนานๆ แล้วก็อาจจะได้รับการเชิดชูเกียรติและชื่อเสียงด้วยนา”
“เฮ้ ตัวข้าเปียกจนโชกแล้ว!” สปลิตโนสร้องบ่นออกมา
“ข้าก็เหมือนกัน” แบล็คทูธรับลูกต่อ “ข้าไม่ได้หลับสักงีบอีกตามเคย มัวแต่ถูกเรียกไปนั่งอยู่บนเขากลางฝน หนาวจนแข็งไปทั้งตัว แถมยังหิวและสั่น----“
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” สแครทช์ร้องตะโกนขัดขึ้นมาอย่างเดือดดาล กดปุ่มปิดปากตัวเองเสียแล้วมองข้า ข้าเองก็เหนื่อย เปียกฝนจนโชก และหิวเกือบตายเหมือนกัน แต่ข้าเคยบ่นไหม? ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้แล้วทำท่าทางให้สมกับเป็นทหารของราชินีผู้ครองอาณาจักรโกตีร์หน่อย”
แล้วเจ้าทหารทั้งสามก็ออกเดินทางต่อโดยมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อไล่ส่าศัตรู
สปลิตโนสบ่นพึมพำขณะเดินไปเรื่อยๆและใช้เท้าเตะก้อนกรวดที่อยู่ใกล้เท้ากระเด็นไป
“เกียรติยศและชื่อเสียง เฮอะ เจ้าคลัดด์จะแย่งไปหมดน่ะซี้ แถมยังรักษาเอาไว้ได้อีกด้วยนา ถ้าแลกเกียรติยศกับเค็ก และเหล้าสักเหยือกแทนชื่อเสียงได้ ก็ค่อยเข้าท่าหน่อย”
“แลกเกียรติกับเค็ก เหล้ากับชื่อเสียงงั้นหรือ? อย่าพูดตลกหน่อยเลยน่า ไอ้หัวโชกน้ำ” เจ้าแบล็คทูธหัวเราะลั่น
“เอ็งน่ะสิไอ้หัวโชกน้ำ ไอ้ขี้มูกไหล”
“ไอ้อุ้งตีนหยิก!”
“ไอ้ขนชุ่มน้ำมัน!”
“ไอ้ก้นเต่าทอง!”
“หยุดพล่ามแล้วก็เดินต่อไปเร็วๆ ทั้งคู่แหละ!” สแครทช์ออกคำสั่ง
แล้วในที่สุดฝนก็หยุดตกก็เหมือนกับที่กอนฟฟ์ทำนายเอาไว้ สูงขึ้นไปเหนือที่ราบดวงอาทิตย์โผล่พ้นเมฆออกมา เมฆเป็นปุยล่องลอยตามสายลมข้ามทะเลสาปไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใส
ดินนี่ทำจมูกฟุดฟิดและแกว่งมือไปมา “ฮะฮ้า มีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อาจจะเป็นบอ่น้ำหรือบ่อน้ำมันดิน บางทีเราอาจจะได้จับปลากัน ปลาเป็นอาหารที่ดีนะ”
มาร์ตินชำเลืองมองกอนฟฟ์ “มันรู้ได้ยังไงว่ามีน้ำอยู่ใกล้? ข้าไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย”
เจ้าหนูจอมขโมยยักไหล่ “มันก็ไม่ได้กลิ่นเหมือนกันแหละ พวกตุ่นอาจจะรู้ได้จากการใช้มือสัมผัสพื้นดิน”
ดินนี่พยักหน้าอย่างยอมรับ “พวกเราใช้มือดมกลิ่นสิ่งของต่างๆ”
กอนฟฟ์หลิ่วตาให้มาร์ติน “นั่นเป็นพรสวรรค์ของพวกตุ่น มันมีคำอธิบายที่มีเหตุมีผลที่พวกเรารับได้”
สหายทั้งสามหัวเราะขำกันเอง ดินนี่ก็ทำนายได้แม่นยำไม่แพ้กอนฟฟ์ ในตอนบ่ายพวกเขาก็มายืนอยู่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นกกและต้นอ้อรวมทั้งดอกพลับพลึงยังตูมๆ แถมมีเงาวอบๆแวมๆของปลาสีเงินให้เห็นอยู่ใต้ผิวน้ำ ตอนแรกมาร์ตินไม่อยากหยุดพัก แต่เมื่อนึกถึงว่าอาจจะจับปลามาเพิ่มเป็นเสบียงได้เขาจึงยอมหยุดพักแถวบ่อน้ำนี้ ระหว่างที่เพื่อนทั้งสองจับปลา นักรบหนุ่มก็คอยเป็นยามเฝ้าระวังผู้ไล่ล่า
ดินนี่นั่งลงริมบ่อจุ่มมือลงไปตรงบริเวณน้ำตื้นด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
“โอ อาร์ อู สบายดีจังเลย ที่นี่ดีจริงๆเลยนะ กอนฟฟ์!”
เจ้าจอมขโมยกำลังโยนสายเบ็ดที่ใช้ใส้เดือนเป็นเหยื่อล่อลงไปในบ่อ และเพียงชั่วหนึ่งวินาทีสายเบ็ดก็กระตุกอย่างแรง “ฮ่าฮ่า เพื่อน” มันตะโกน “ปลากินเหยื่อแล้ว! มาเร็วเจ้าปลาตะกละ”
มาร์ตินคลานมาข้างหลังเพื่อนแล้วค่อยวางมือลงบนบ่าสหายทั้งสองพร้อมกับกระซิบว่า “จุ๊จุ๊ ฟังข้าให้ดีนะ เรากำลังตกอยู่ในอันตราย อย่าทำเสียงอะไรเป็นอันขาดถ้ายังไม่อยากตาย!”
ตามมาอ่านต่อค่า
รักษาสุขภาพนะคา