ไปดูศิลปะสมัยอยุธยาในวัดแถวฝั่งธนบุรี
"รอยอดีต" เป็นชื่อหนังสือเกี่ยวกับการศิลปะ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และเรื่องแปลกๆ แต่งโดย น. ณ ปากน้ำ เมื่อผมอ่านถึงศิลปะในวัดที่สร้างขึ้นมาในสมัยอยุธยา แต่วัดเหล่านั้นอยู่ใน กทม.ทำให้ผมหูผึ่งทันทีเลยครับ
ผมขออ้างอิงถึงข้อความที่ชอบเป็นพิเศษ ที่ดลจิตดลใจให้ไปตามหาวัดที่ท่าน น. ณ ปากน้ำกล่าวถึง ข้อความนั้นมีว่า (ข้อความสีน้ำเงิน)
มีข้อน่าคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า ส่วนมากนักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีของเรา มักจะดูถูกวัดใหม่ๆ ว่าไม่มีสาระ แล้วก็เลยไม่เหลียวแลเอาเลย บางที่เมื่อเห็นรูปภายนอก ก็ไม่ชวนให้ดูข้างในเสียแล้ว กรณีเช่นนี้นับว่าเป็นการเชื่ออย่างผิดๆ
เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ข้าพเจ้าเข้าไปยังพระอุโบสถรุ่นใหม่ๆ หลายแห่ง อันถูกปฏิสังขรณ์เปลี่ยนโฉมหน้าจากของเก่าโดยสิ้นเชิง แต่ภายในนั้นกลับมีของดีอันมีค่าซุกซ่อนไว้อย่างคาดไม่ถึง เช่น พระอุโบสถวัดเก่าๆทางฝั่งธนบุรี มีพระอุโบสถเดิมวัดปากน้ำ พระอุโบสถวัดนวลนรดิศ เป็นต้น
มองดูทรงภายนอกเห็นว่าเป็นพระอุโบสถรุ่นใหม่ ไม่ชวนเลื่อมใส แต่พอเข้าไปดูภายในต้องตกใจ เพราะพระประธานในนั้นสลักด้วยหินทรายขนาดใหญ่ ทั้งยังมีพระสลักด้วยศิลาแบบศิลปะอยุธยา เต็มทั้งฐานชุกชีนั้น จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าพระอุโบสถที่กล่าวถึงนี้จะเป็นฝีมือสมัยอยุธยา
หากแต่มาปฏิสังขรณ์รูปภายนอกจนเปลี่ยนโฉมหน้าไปเสียหมด ขอให้ดูพระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม ที่เจริญพาศน์ฝั่งธนบุรีเป็นตัวอย่าง เมื่อดูภายนอกก็ปักใจเชื่อว่าพระอุโบสถแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งยุครัตนโกสินทร์อย่างมิต้องสงสัย
พอก้าวเข้าไปในพระอุโบสถก็ถึงแก่ตลึงงัน เพราะภายในนั้น เป็นบรรยากาศอยุธยาชัดๆ นับแต่เสาแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีบัวหัวสาเป็นรูปพุ่มดอกบัวและพระประทานฝีมือช่างสมัยอยุธยาใหญ่จนคับโบสถ์
วันที่ข้าพเจ้าเข้าไปนั้น บังเอิญเป็นเวลาเย็น พระกำลังทำวัตรอยู่ ฟังพระท่านสวดมนต์วังเวงก้องกระหึ่มไปทั้งโบสถ์ เสียงสวดมนต์ลอยแคว้งคว้างไปวนยังเพดานอันสูงลิบ แล้วก็สะท้อนลงมาฟังแล้วขนลุกซ่าน นึกถึงพระอุโบสถใหญ่ๆในอยุธยา อย่างเช่น วัดหน้าพระเมรุ วัดธรรมิกราช ขึ้นมาทันที พระอุโบสถสองแห่งนี้ คงจะมีระบบเสียงดีเยี่ยมดังที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนั้น ใครที่ไม่เคยเห็นบรรยากาศภายในโบสถ์อยุธยา ขอให้ไปที่วัดหงส์ ท่านจะไม่ผิดหวังแน่ๆ
วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมจึงไม่รอช้า ไปดูศิลปะของช่างสมัยอยุธยา ที่วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร อยู่ที่ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
โชคดีที่เมื่อไปถึง พระท่านทำวัตรเช้าอยู่พอดี ได้ฟังเสียงสวดมนต์ เหมือนบรรยากาศที่ ท่าน น. ณ ปากน้ำว่าไว้ เมื่อเสร็จทำวัตรเช้า ก่อนที่จะปิดพระอุโบสถ ผมได้เข้าไปถ่ายรูปพระประธาน และจิตรกรรมฝาผนังได้บางส่วน (พระอุโบสถจะเปิดระหว่างทำวัตร เช้า-เย็น)
"วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" วัดนี้เป็นวัดเก่าสร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สมัยนั้นจึงเป็นวัดราษฎร์อยู่ในท้องที่ชนบท เดิมชื่อว่า "วัดเจ๊สัวหง" หรือ "วัดเจ้าสัวหง" สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นโดยพ่อค้าจีนระดับเจ้าสัวชื่อ "หง"
ในสมัยกรุงธนบุรี เรียกว่า "วัดหงส์อาวาสวิหาร" ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดหงส์อาวาสบวรวิหาร" ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 เปลี่ยนนามเป็น "วัดหงสาราม" จนกระทั่งรัชกาลที่ 5 จึงพระราชทานนามว่า "วัดหงส์รัตนาราม"
ในสมัยกรุงธนบุรี วัดหงส์รัตนารามฯ ถือเป็นศูนย์กลางการศึกษาทางศาสนา เนื่องจากอยู่ติดกับเขตพระราชฐานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ต่อมามีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 3
ต้นสาละลังกา พระอุโบสถ มีพาไลรอบแบบรัชกาลที่ 3 เป็นพระอุโบสถใหญ่ ลายสลักไม้ที่บานประตูด้านหน้าและด้านหลังเป็นรูปหงส์เกาะกิ่งไม้ ลายปูนปั้นซุ้มประตูและหน้าต่างได้รับการยกย่องว่ามีความงามเป็นเลิศ แบบจีนผสมตะวันตก
ภายในพระอุโบสถ มีพระประธานเนื้อทองโบรณ หน้าพระประธานมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มีนามว่า "หลวงพ่อแสน" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อัญเชิญมาจากเมืองเชียงแสน เมื่อ พ.ศ. 2401
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ สมัยสุโขทัย สร้างด้วยฝีมือประติมากรชั้นเยี่ยม สูงจากฐาน 183 ซม. ขนาดหน้าตัก 160 ซม. เดิมนั้นองค์พระได้ถูกพอกด้วยปูนปั้น ต่อมาเมื่อ 26 ส.ค. 2499 พระสุขุมธรรมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามฯ พบว่าพระพุทธรูปปูนปั้นองค์นี้มีรอยกะเทาะตรงบริเวณพระพักตร์ เห็นเป็นสีทองสุกอยู่ภายใน
ภายหลังกะเทาะปูนออกจึงพบองค์พระเป็นทองเนื้อผสมนวโลหะ โดยบริเวณฐานพระมีตัวอักษรสมัยอู่ทองจารึกอยู่ 3 บรรทัด เก่าแก่ถึง 585 ปี (พ.ศ. 1967) ข้อความในจารึกหลักนี้ กล่าวถึง พระยาศรียศราช คือ เจ้าเมืองเฉลียง (ศรีสัชนาลัย - สวรรคโลก) ยุคร่วมสมัยกับสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพระยา) แห่งกรุงศรีอยุธยา
ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังและลวดลายแกะสลักที่ประตูนั้น ล้วนแต่เป็นลายดอกพุดตาน และเบญจมาศ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีภาพจิตรกรรมสีฝุ่น เรื่องรัตนพิมพวงศ์ (ตำนานพระแก้วมรกต) เป็นฝีมือช่าง ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ภาพทั้งหมดใส่กรอบกระจก และประดับด้วยไม้แกะสลักอย่างสวย
เมื่อบูรณะใหม่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ที่เสาภายในพระอุโบสถเป็นแบบอยุธยาตอนต้นซึ่งนำแบบอย่างมาจากสุโขทัยเป็นเสากลมเรียงเข้าไปแบ่งได้ เจ็ดห้อง เขียนลายพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับด้วยดอกพุดตานด้านใน ตรงเพดานทำลดหลั่นกันเป็นชั้น มีกระดานคอสองและมีหงส์ ฐานแบบตกท้องช้าง
หลังออกจากพระอุโบสถ ผมก็ไปสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สระน้ำมนต์
กุฏิไม้สักเก่า
หากโอกาสอำนวยอีก ผมจะไปวัดที่มีศิลปะสมัยอยุธยาใน กทม. ตามที่ ท่าน น. ณ ปากน้ำได้เขียนถึงครับ
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
68 comments |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2552 21:49:43 น. |
Counter : 10151 Pageviews. |
|
|
|
เพราะภาพพระแสนสวยงามน่าเลื่อมใสน่าไปกราบไหว้จริงๆ
สมกะที่ชื่อ อินซิกเนีย มิวเซียม
บ้านนี้มีแต่ของเก่าๆหาดูได้ยาก หรือไม่รู้เช่นวัดหงส์เป็นต้นค่ะ