เรื่องของครูแพะ ข้อมูลอาจฟังดูสับสน เพราะมีการกล่าวอ้าง เพิ่มขึ้นเยอะแยะมากมาย
แต่ประเด็นหลักมีอยู่ 4 ประเด็น
1. ใครเป็นคนชน
2. รถคันไหนชน
3. ครูเป็นแพะจริงมั้ย
4. กระดุมเม็ดแรกมีปัญหาจริงมั้ย
เพราะทั้ง 4 ประเด็นนี้ คือข้อมูลจากต้นทาง ถ้าข้อมูลจากต้นทางผิด ก็จะทำให้ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ส่งผลให้กระดุมเม็ดที่เหลือเกิดปัญหา คือติดกระดุมผิดทั้งกระบวนการ
ดังนั้น ในฐานะคนกลางให้ฟังความสองข้าง แต่สนใจเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นก็พอ และเรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า ข้อมูลของกระดุมเม็ดแรกต้องมีความชัดเจน ถ้ายังไม่ชัดเจน จะนำข้อมูลที่คลุมเครือ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ "ทุกคน" คือผลผลิตของ "สังคมระบบกล่าวหา"
เรากล่าวหากันไปมาตลอดสิบปีนี้ กล่าวหากันจนสังคมแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กล่าวหากันจนไม่เหลือความเชื่อใจกันอีกต่อไป และสุดท้ายในวันนี้ ทุกอย่างก็มาตัดสินกันตรงที่
"ใครกล่าวหาให้ประชาชนเชื่อถือได้มากกว่ากัน"
ถามว่าแล้วเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป หลักง่ายๆ ของสังคมระบบกล่าวหา มีอยู่ว่า "ใครกล่าวหาคนนั้นต้องพิสูจน์" ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดจริง ทุกอย่างจะย้อนกลับไปที่ผู้กล่าวหา ว่าเขาไม่ผิด แล้วไปกล่าวหาเขาทำไม
แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างก็พิสูจน์ข้อกล่าวหาไม่ได้ ทางหนึ่งก็แยกย้ายกันไป แต่อีกทางหนึ่งก็คือ
การกล่าวหาด้วยข้อหาใหม่ที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
วิธีการเลวร้ายกว่าจะถูกนำมาใช้แทนที่ เป็นการต่อสู้ในยกที่สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด
จนกว่าฝ่ายใดที่กำลังน้อยกว่าก็จะพ่ายแพ้ไปเอง
นี่คือการเติบโตขึ้นของ "สังคมระบบกล่าวหา" ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศเราวันนี้
ในลักษณะที่ว่า "เสียหายไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้" และคนที่จะเห็นภาพเหล่านี้ได้ชัดที่สุดก็คือ
"ผู้บริสุทธิ์" ที่ตกเป็น "เหยื่อตัวจริง" ของสังคมระบบกล่าวหา ที่มีความแข็งแกร่งพอ และรอดมาได้ด้วยกำลังของตัวเอง แน่นอน ทุกเรื่องต้องมีแก่นของเรื่อง ต้องมีบทสรุป ต้องมีข้อคิดหลัก
สำหรับเราแล้ว แก่นหลักอันเป็นประเด็นหลักของเรื่องนี้ก็คือ ระบบยุติธรรมเติบโตมาด้วยระบบกล่าวหา
เวลานี้ระบบกล่าวหาย้อนคืนกลับมากล่าวหาระบบยุติธรรม ทั้งหมดคือ "กงเกวียนกำเกวียน" ในสังคมระบบกล่าวหา