ประโยชน์จากผลไม้ ที่คนไทยไม่คุ้น


ประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีผลไม้กินตลอด ปี ไม่ว่าจะเป็น เงาะ ลำไย
ส้ม กล้วย ฯลฯ และยิ่งเดี๋ยวนี้เรานำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย
จะยิ่งทำให้ประเทศเราอุดมไปด้วยผลไม้นานาชนิด แถมบางชนิดหน้าตาแปลกๆ
เพราะเข้ามาจากต่างประเทศ ผลไม้ที่นำเข้ามานั้น
จะมีลักษณะเด่นที่ดูแปลกตาคนไทย


         
จนบางครั้งคนที่เพิ่งเห็นก็จะคิดว่า "เอ๊ะ มันอะไรกันเนี่ย"
หรือ "หน้าตาดูไม่น่ากินเลย จะกินได้ไหม"
ทำให้หลายคนไม่กล้าลอง แต่
แม้ว่าผลไม้นอกจะมีหน้าตาที่ดูแปลกและสีสันไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยคุณค่าและประโยชน์ที่คาดไม่ถึง
จะมีผลไม้อะไรบ้างเราลองมาติดตามดูกันได้เลย...




แก้ว
มังกร (Dragon Fruit)

          แก้วมังกร
เป็นไม้จำพวกแคนตัส (ตะบองเพชร) เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้
ส่วนไทยนำเข้ามาจากเวียดนาม ที่ได้ชื่อว่า แก้วมังกรนั้น
เพราะผลมีลักษณะคล้ายลูกแก้ว อยู่กึ่งกลางระหว่างกิ่ง 2 กิ่ง
(คล้ายมังกรกำลังเฝ้าลูกแก้ว) พันธุ์นี้จะมีเนื้อสีขาว
ส่วนพันธุ์ที่เนื้อสีแดงจะเป็นสายพันธุ์มาจากไต้หวัน
พืชจำพวกกระบองเพชรอย่างแก้วมังกร จะมีสารมิวซิเลจ (Mucilage)
จำพวกโปลีแซคคาไรด์เชิงซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะ
ช่วยควบคุมน้ำตาลกลูโคสในผู้ที่เป็นเบาหวาน
โดยไม่พึ่งอินซูลินและสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และ LDL คอเลสเตอรอลได้

  นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มธาตุเหล็ก บรรเทาอาการเลือดจาง
และยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ ความดันเลือด ตับ เบาหวาน มะเร็งลำไส้
และต่อมลูกหมาก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับกระดูก ฟัน
และกล้ามเนื้อ





อโวคาโด
(Avocado)

          อโวคาโด มีบ้านเกิดอยู่ในแม็กซิโก
เป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในประเทศเขตร้อนหรือกึ่งร้อน
ซึ่งมีปลูกในไทยมานานแล้ว นำเข้ามาโดยหมอสอนศาสนาแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก
เพราะรสชาติไม่เป็นที่คุ้นลิ้นคนไทย
นอกจากนี้หลายคนยังคิดว่าอโวคาโดมีไขมันและคอเลสเตอรอลมาก แต่จริงๆ แล้ว
ไขมันในอโวคาโดเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่ง
มีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนน้ำมันมะกอก ทั้งยังมีวิตามิน อี สูง
ทำให้มีสรรพคุณในการบำรุงผิว





กีวี
(Kiwi)

          กีวี ผลไม้หน้าตาประหลาด สีน้ำตาล
มีขน มองอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน กีวีมีถิ่นเกิดอยู่ที่เมืองจีน
แต่เป็นที่นิยมที่นิวซีแลนด์ กีวี
มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล

นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม จึงมีส่วนช่วยลดความดันเลือด
ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย
ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย





ลูก
พรุน, ลูกพลับ และ ลูกไหน (Prun, Plub & Plum)

         
หลายคนคงสงสัยว่า ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ ต่างกันอย่างไร ความจริงแล้ว
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน
เพียงแต่ลูกพรุนเป็นการนำลูกพลับมาตากแห้ง
ส่วนลูกไหนเป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลับ
ประโยชน์ของลูกพรุนนี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดม
ไปด้วยไฟเบอร์ แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามิน บี สาวๆ
ที่ต้องการลดความอ้วน กินลูกพรุนเยอะๆ จะดี เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ
แคลอรี่น้อย แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย





เบอร์
รี่ (Berry)

          เบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ว่าจะเป็นสตอร์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่
จัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูง นอกจากนี้จะมีโปรแตสเซียม
และเส้นใยอาหารสูงด้วย

-
แบล็คเบอร์รี่
มีโฟโตเคมีคอล
ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยในเรื่องการขับถ่าย
- บลูเบอร์รี่
ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- ราสเบอร์รี่ มีใยอาหาร วิตามินซี, เค
และยังมีแมงกานีสที่ช่วยการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย
ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ





ทับทิม
(Punica/Stone Apple)

          ทับทิม
เป็นผลไม้ขนาดเล็ก
นิยมปลูกเป็นไม้มงคลหรือประดับเพื่อความสวยงามมากกว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เป็น
ร่มเงา ทับทิมนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอก ใบ ราก
และผลยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๖
ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้ จึงทำให้ทับทิม มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วง
ขับพยาธิ แก้ร้อนใน แก้ไข้ตัวร้อน บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร
แก้ริดสีดวงทวาร


         
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นยาบำรุงเลือดได้
ด้วยความที่ทับทิมมีรสหวานอมเปรี้ยว จึงทำให้อุดมไปด้วยวิตามินซี
จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้





กระทกรก
/ เสาวรส (Passion Fruit)

          กระทกรก
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เสาวรส เป็นผลไม้ที่
ช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีวิตามินเอสูง

ทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด
และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในเสาวรสนั้นมีวิตามินซี สูง คือ 39.1 มก./100
มก. ซึ่งมีมากกว่ามะนาวเสียอีก





มะเม่า
(Mamao)

มะ
เม่า เป็นผลไม้สมุนไพร สายพันธุ์เดียวกับเบอร์รี่
มีบ้านเกิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่นิยมมาทำเป็นไวน์ผลไม้

ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ต่างชาตินิยมเป็นอย่างมาก
เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมาก เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินซี, บี1, บี2
และวิตามิน อี ทั้งยังให้แคลเซียมและธาตุเหล็กด้วย
มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ บำรุงไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
แก้มดลูกอักเสบบวมช้ำ ขับเลือดและน้ำคาวปลา



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากTeennature






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:42:54 น.
Counter : 2115 Pageviews.  

น้ำลูกพรุน มากคุณประโยชน์

น้ำพรุนทำมาจาก ผลพลัมแห้ง
ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก เป็น
ที่รู้จักและนิยมนำมารับประทานกันเป็นระยะเวลานาน
โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและในอเมริกาเหนือ ลักษณะที่นำมารับประทาน
มีทั้งรับประทานเป็นผลสด นำมาตากแห้ง ทำเป็นน้ำพรุน
และนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร
ในปัจจุบันประเทศทางแถบเอเชียให้ความสนใจในพรุนมากขึ้น
เนื่องจากคุณค่าทางอาหารและประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทาน พรุน
และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มาจากพรุน




ส่วนประกอบที่มีคุณประโยชน์ของ พรุน สกัดเข้มข้น
(ลูกพรุน)

          
- วิตามิน บี2 (Ascorbic Acid) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด, กระบวนการสร้าง,
ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์, เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการมอง ผิวหนัง เล็บ
และผม
           - วิตามิน ซี (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ
(Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย
เมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสในการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามิน ซี
มีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่พรุนมี Anti-oxidant
ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง
ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
           - วิตามิน อี
เป็น Anti-oxidant
ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย
ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง
ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ช่วยบำรุงสายตา
           - แคลเซียม
ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ
ช่วยระบบประสาทให้ปกติ
           - เหล็ก (Iron)
เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้ง ๑
ขีด มีธาตุเหล็ก ๒.๗๘ มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์
          
๑. มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด
ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้
ยังมีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้
           ๒. ลดไขมันในเลือด (LDL
cholesterol)
           ๓.
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงจำนวนมาก
           ๔.
เป็นอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก และไฟเบอร์
หรือกากใยอาหาร
           ๕.
น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ประกอบไปด้วยน้ำตาลหลายชนิด ฟรุคโตสและซอร์บิทอล
ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว
           ๖.
ช่วยระบายรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัย ทั้งในผู้ใหญ่และแม้ในเด็กเล็ก
(แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ)

ข้อควรระวังในน้ำลูกพรุน
           เนื่องจากน้ำลูกพรุน มีโปแตสเซียมสูง
จึงไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคไตวาย ระยะหลังที่ได้รับการ ล้างไต
แต่ถ้าไม่ได้เป็นโรคไตชนิดนี้ก็จะรับประทานได้โดยปลอดภัย
และไม่ทำให้เป็นโรคไตใดๆ ทั้งสิ้น รับประทานจะมีผลดีต่อสุขภาพ
โดยไม่ทำให้เกิดโรคไตวายแต่อย่างใด นอกจากนี้น้ำลูกพรุน มีส่วนช่วยระบาย
จึงไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ในบางคน
ไม่ควรรับประทานครั้งละมากๆ รับประทานครั้งละ ๑๕-๓๐ ซีซี ต่อคน
น้ำลูกพรุนจึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์มีวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารสูง
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีรสชาติอร่อย
น่ารับประทาน และยังช่วยระบาย ซึ่งนับเป็นยาระบายที่ปลอดภัยแม้ในเด็ก
เป็นน้ำผลไม้ที่มีผู้นิยมรับประทานทั่วโลก
ดังนั้นนับเป็นน้ำผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ และน่าลองรับประทานเป็นอย่างยิ่ง



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากDevil







Free TextEditor






































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:38:50 น.
Counter : 963 Pageviews.  

อร่อย อันตราย ภัยของกินปิ้งย่าง



ลม
เย็นเตรียมจะมาเยือน เป็นสัญญาณของลานเบียร์ และอีกหนึ่งในเมนูของฤดูกาลนี้
เห็นจะไม่พ้นบุฟเฟต์เนื้อกระทะ หมูกระทะ ไก่กระทะ


หลายคนเคยได้ยินมาบ้างว่าของปิ้งๆ ย่างๆ
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่จะเป็นอันตรายแบบไหน และพอจะหลบเลี่ยงพิษภัย
(แต่ยังลิ้มรสอร่อย) ได้อย่างไร
หรือไม่ รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ และ
มลฤดี สุขประสารทรัพย์ จากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ศึกษาเรื่องภัยของอาหารอร่อยแต่อันตรายเหล่านี้ไว้อย่างน่าสนใจ

อันว่าด้วยด้านตรงข้ามของความอร่อยจากอาหารปิ้ง-ย่าง-รมควันนั้น
ก็คือสารพิษที่ชื่อ พีเอเอช (polycyclic aromatic hydrocarbon)

ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่เกิดในควันไฟ ควันธูป ควันบุหรี่ ควันโรงงาน
และควันอื่นๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
สารกลุ่มนี้ถูกพิสูจน์ชัดว่าก่อให้เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลอง
และบางชนิดกล่าวได้ว่าก่อให้เกิดมะเร็งได้ในคน

         
สารนี้เกิดจากไขมันในเนื้อสัตว์ที่หยดติ๋งๆ ลงบนถ่ายขณะที่ให้ความร้อนต่ำ
และเมื่ออากาศมีจำกัดทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
จึงเกิดควันที่มีสารพีเอเอชลอยฉุยๆ ขึ้นมาเกาะที่ผิวอาหาร
โดยสารนี้จะมีมากในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่างนั้น

นักวิทยาศาสตร์ด้านพิษวิทยาทางอาหาร
ได้ทำการศึกษาวิธีการปิ้งย่างอาหารที่สามารถลดการเกิดสารพีเอเอช ดังนี้



          1.
ก่อนปิ้ง/ย่างเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ควรตัดส่วนที่เป็นมันออกไปก่อน
เพื่อลดไขมันที่จะไปหยดลงบนถ่าน
          2.
ถ้าเป็นไปได้ควรนำเนื้อสัตว์ที่จะย่างไปอบ ต้ม หรือเข้าไมโครเวฟเสียก่อน
เพื่อลดการเกิดสารพีเอเอช
          3. หันไปใช้เตาไฟฟ้า (ไร้ควัน)
ซึ่งสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่าน
          4.
ถ้าต้องปิ้งย่างบนเตาถ่านธรรมดาๆ ควรใช้ถ่านที่อัดเป็นก้อน
ไม่ควรใช้ถ่านป่นละเอียด หรืออาจจะใช้ฟืนที่เป็นไม้เนื้อแข็ง
เพราะการเผาไหม้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ
          5.
การใช้ใบตองห่ออาหารก่อนจะทำการปิ้งย่าง
เป็นการลดปริมาณไขมันจากอาหารที่หยดลงไปบนถ่าน
และทำให้อาหารมีกลิ่นหอมใบตองดีด้วย
          6. สำคัญสุดๆ ก็คือ
หลังปิ้งย่างเสร็จแล้ว
ควรหั่นส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้





          อย่างไรก็ดี
ถึงจะหั่นส่วนไหม้เกรียมทิ้งไปเพื่อขจัดสารพีเอเอชออกไปแล้ว
แต่เจ้ากรรมที่ยังมีสารพิษอีกกลุ่มที่ชื่อ เอชซีเอ หรือ
เฮเทอโรไซคลิกเอมีน (hetero cyclic amine)

ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากสารที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ทำปฏิกริยากันเอง
โดยอาศัยความร้อนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เริ่มจากน้ำตาลและกรดอะมิโนทำปฏิกิริยากัน
ซึ่งจะทำให้ได้สารเคมีประเภทหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผลิตภัณฑ์เมลลาร์ด (Maillard
reaction product) ซึ่งทำให้เนื้ออาหารมีสีสันและกลิ่นหอม
จากนั้นสารกลุ่มนี้จึงไปทำปฏิกิริยากับ ครีเอทีน (creatine)
ซึ่งเป็นสารชีวเคมีที่มีในเนื้อสัตว์
จนเกิดเป็นสารพิษก่อให้เกิดมะเร็งชนิดเอชซีเอ

สารเอชซีเอ
นอกจากจะเกิดในอาหารปิ้งๆ ย่างๆ แล้ว

ยังเกิดกับอาหารที่ผ่านการปรุงแบบต้มเคี่ยวเป็นระยะเวลานานๆ
โดยการทดลองในห้องแล็บพบว่า การต้มเนื้อสัตว์นานเกิน 2 ชั่วโมง
จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน
ต่อมอาหาร และหลอดอาหาร 

วิธีที่พอจะหลีกเลี่ยงการเกิดสารพิษชนิดนี้
อาจทำได้โดยนำเนื้อสัตว์ที่แช่แข็งเข้าไมโครเวฟก่อนปรุง
เพื่อให้เกิดการละลายและน้ำเลือดไหลออกจากเนื้อสัตว์
ซึ่งจะช่วยลดปริมาณของครีเอทีนที่มีส่วนสำคัญในการเกิดเอชซีเอ
หรืออีกวิธีคือการเติมสารที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระลงไป
เช่นผงใบหม่อน ที่สามารถผสมกับผงหมักเนื้อก่อนนำไปปรุง
นอกจากนี้การต้มตุ๋นในระบบเปิดก่อให้เกิดสารเอชซีเอน้อยกว่าระบบปิดด้วย
เพราะสารเอชซีเอจะระเหยไปพร้อมกับไอน้ำ

อีกวิธีที่จะช่วยลดการก่อฤทธิ์ของสารก่อมะเร็งกลุ่มนี้อาจ
ทำได้
โดยการกินเคียงไปกับผักบางชนิด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี
กะหล่ำดอก บร็อกโคลี และผักใบเขียวอื่นๆ
เนื่องจากสารพิษเหล่านี้จะมีการดูดซึมในร่างกาย
โดยบางส่วนจะสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน
อีกส่วนถ้ามีปริมาณไม่มากเกินไปก็จะถูกลำเลียงไปขจัดทิ้งที่ตับ
การกินผักเหล่านี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับระบบทำลายสารพิษของร่างกาย




ข้อมูลจากนักวิจัยผู้รู้จริง คงพอช่วยให้การเผชิญหน้ากับเนื้อกระทะ หมูปิ้ง
ไก่ย่าง และอาหารต้น ตุ๋น รมควันนานาชนิดในฤดูกาลนี้
เป็นไปอย่างมั่นใจและเอาตัวรอดกันได้ก่อนจะสายเกินแก้



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากก๊อฟฟี่






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:37:33 น.
Counter : 2053 Pageviews.  

เบต้าแคโรทีนถ้าทานมากไปเป็นโทษมหันต์

กระแสการดูแลสุขภาพใน
ปัจจุบันกำลังมาแรง หลายคนนิยมทาน อาหารเสริม
โดยเชื่อว่าเป็นการบำรุงสุขภาพความงาม และป้องกันโรค โดยเฉพาะโรคมะเร็ง
แต่จากผลการศึกษาพบว่า การกินเบต้าแคโรทีน มากไป
อาจกลายเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ !




         
จากการตรวจดูในอินเตอร์เน็ทแล้วจะพบว่า
มีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย
โดยอ้างว่ามีส่วนผสมของ
"สารต้านอนุมูลอิสระ"
ที่มีประสิทธิภาพสูง
และมักระบุว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ การบริโภคอาหาร
เสริมอนุมูลอิสระอย่างต่อเนื่องและจำนวนมาก จะส่งผลต่อสุขภาพของเราอย่างไร
เป็นคุณหรือเป็นโทษ ... เป็นหลายคำถามที่หลายคนอย่างรู้และควรต้องรู้


         
ดังที่ทราบกันดีกว่า สารต้านอนุมูลอิสระมีอยู่หลาย
ชนิด และแทบจะมีอยู่ทั่วไปในอาหารทุกมื้อ
ทั้งนี้อาหารที่เรามั่นใจ
ได้แน่นอนว่ามีสารชนิดนี้ คือ เมล็ดพืชทุกชนิด แต่สิ่งที่ควรระวังคือ
เมล็ดพืชบางชนิดมีพิษ ดังนั้น
สารพิษจึงอาจหลุดออกมาพร้อมกับสารต้านอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ "ใบพืช"
โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว เหลือง หรือแดง
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เช่นกัน รวมทั้ง "เปลือกผลไม้สุก"
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระมากเช่นกัน
โดยการจากวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย
พบว่าเปลือกของมะม่วงสุกที่ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากพอ
ที่ควรจะเก็บมาสกัดมาให้สาวๆ ทานเพื่อบำรุงผิว

         
ส่วนที่มีความสงสัยกันว่า
หากนำสารต้านอนุมูลอิสระมาทาผิวหนังจะได้ผลหรือไม่นั้น
พบว่าเป็นวิธีที่ได้ผลเช่นกัน แต่มีต้นทุนสูงกว่าการกิน เพราะการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ
นั้น ต้องมีการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระออกมาจากแหล่งต่างๆ
แล้วนำไปผสมกับสารอื่นๆ จึงทำให้มีราคาแพงมาก

เมื่อนำมาเทียบกับการกิน
จะพบว่าต้นทุนการป้องกันอนุมูลอิสระด้วยการกินจะถูกกว่ากันมาก
เนื่องจากระบบทางเดินอาหารของเรามีระบบสกัดสารที่มีประโยชน์ที่ดีที่สุดอยู่
แล้ว

ประโยชน์ของการกิน "สารต้านอนุมูลอิสระ"
จากอาหารยังมีอีก คือ หากเรารับสารต้านอนุมูลอิสระจากการกินอาหาร
โอกาสที่จะได้รับสารนี้มากเกินความต้องการของร่ายกาย จะน้อยกว่าการกิน
"อาหารเสริม" เพราะอาหารเสริมจะมีสารนี้สูงมาก
เนื่องจากอยู่ในรูปของสารเข้มข้น เราจึงควรคำนึงถึงวรรคทองของ
"บิดาวิชาพิษวิทยา" ไว้ให้ดีว่า "สารเคมีทุกชนิดมีทั้งประโยชน์และ
โทษ ขึ้นอยู่กับขนาดหรือปริมาณที่บริโภคเข้าไป"


ดังนั้น
ถ้าเราไม่ต้องการได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากเกินไป
การกินอาหารเป็นวิธิที่ดีที่สุด โดยเรามีข้อมูลยืนยันว่าเรื่องนี้
จากการศึกษาเรื่องการใช้สารต้านอนุมูลอิสระ "เบต้าแคโรทีน"
เพื่อป้องกันโรคมะเร็งปอด ซึ่งผลการศึกษาพบว่า
การให้ตำรวจจราจรในหลายประเทศทานอาหารเสริมสารต้านอนุมูลอิสระ แทนที่จะเป็น
"การลด" โอกาศการเกิดมะเร็งปอด กลับกลายเป็น "การเพิ่ม"
อัตราการเกิดมะเร็งปอดให้มากขึ้น!







 
เนื่องจาก สารเบต้าแคโรทีน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant)
ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการ จะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกับข้าม
โดยกลายตัวเป็น "Pro-Oxidant" ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม "การเกิด"
อนุมูลอิสระ ด้วยเหตุผลเชิงชีวะเคมี


          ด้วยเหตุนี้
การบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของอาหารเสริมที่มากเกินไป
อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ขณะที่การรับประทานอาหาร เช่น
มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง
โอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารนี้มากเกินไปจะเป็นไปได้ยาก
เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป โดยมีกระเพาะเป็นผู้กำหนด



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากmcot.net






Free TextEditor








































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:36:17 น.
Counter : 1026 Pageviews.  

มันฝรั่ง – อาหารหลักของชาวยุโรป

⇒ มันฝรั่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Solanum tuberosum Linn. วงศ์ Solanaceae





           แหล่งกำเนิดของมันฝรั่งคือประเทศเปรู
ได้มีการขุดพบเครื่องใช้ที่มีรูปร่างคล้ายมันฝรั่ง ซึ่งสันนิษฐานว่า
ทำขึ้นประมาณ 200 กว่าปีก่อนคริสต์ศักราช (2,200 ปีมาแล้ว)
จากหลักฐานดังกล่าว
แสดงให้เห็นว่าชาวอินเดียนแดงในเปรูเป็นชาติแรกที่รู้จักปลูกและกินมันฝรั่ง
มาก่อนชาติอื่นมันฝรั่งเป็นอาหารหลักที่รองจากขนมปังของชาวยุโรป อเมริกา
และลาตินอเมริกา เหมือนข้าวเป็นอาหารหลักของชาวเอเชีย ในราวปี ค.ศ.1537
(พ.ศ.2080) ได้มีการนำมันฝรั่งไปปลูกในประเทศสเปน และในราวคริสต์ศตวรรษที่
16 ได้มีผู้นำมันฝรั่งจากเปรู ชิลี และสเปนไปปลูกในยุโรป
มีเรื่องเล่ากันว่าในระยะแรกที่นำมันฝรั่งเข้าไปในยุโรป
ประชาชนส่วนใหญ่ไม่กล้ากิน เพราะกลัวว่ากินแล้วจะทำให้อายุสั้น



           ดังนั้นหลังจากแพร่เข้าไปแล้วกว่า 200 ปี
ประชาชนจึงค่อยๆนิยมกินโดยเป็นอาหารของประชาชนที่ยากจนก่อน ต่อมาจึงค่อยๆ
แพร่หลายกลายเป็นอาหารหลักที่รองจากขนมปังของชาวยุโรป
          
สำหรับประวัติการ ใช้มันฝรั่งในการรักษาโรคมีมานาน
ชาวเปรูเป็นชาติแรกที่นำมันฝรั่งมาเป็นยาพอกกระดูก เมื่อกระดูกหัก
นอกจากนี้ยังมีการนำมันฝรั่งมาทาบริเวณหัวเพื่อรักษาอาการปวดหัว
หรือกินร่วมกับอาหารอื่นเพื่อช่วยย่อย จากการศึกษาวิจัยพบว่า
มันฝรั่งมีโปแตสเซียมจำนวนมาก
ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยย่อยมันฝรั่งนอกจากจะมีประโยชน์ในการใช้เป็นยาและอาหาร
แล้ว ยังใช้ในทางอุตสาหกรรม เช่น เป็นส่วนผสมในการทำแอลกอฮอล์ ล้อยาง ฟิล์ม
พลาสติก สีน้ำมัน เป็นต้น

⇒ สรรพคุณ
          
มันฝรั่งมีคุณสมบัติเป็นกลาง มีรสหวาน ช่วยย่อย รักษาโรคคางทูม แผลไฟไหม้
น้ำร้อนลวก

⇒ ตำรับยา
           1.
คางทูม : ใช้มันฝรั่ง 1 ลูก ฝนกับน้ำส้มสายชู ทาบริเวณที่เป็น
แห้งแล้วทาซ้ำจนหาย
           2. ไฟไหม้น้ำร้อนลวก :
ใช้น้ำคั้นจากมันฝรั่งทาบริเวณแผลบ่อยๆ หรือตำให้ละเอียดพอก
แล้วเปลี่ยนหลายๆครั้ง

⇒สารเคมีที่พบ
          
หัวมันฝรั่งมีน้ำ 75.0% แป้ง 18.5% น้ำตาล 0.8% เส้นใย 1.0% พวกไนโตรเจน
2.0% ไขมัน 0.2% ash 0.9% นอกจากนี้ยังมี Solanine ในมันฝรั่ง 1 ก.ก.จะมี
Solanine ตั้งแต่ 20 ม.ก. ถึงหลายร้อย ม.ก. Solanine มีมากในรากและเปลือก
มันฝรั่งเปลือกแดงจะมี Solanine มากกว่าเปลือกเหลือง มันฝรั่งดิบมี
Solanine มากกว่ามันฝรั่งที่สุกแล้ว
เมื่อโดนแสงอาทิตย์เปลือกมันฝรั่งจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียว
และทำให้ปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้น

⇒ผลทางเภสัชวิทยา
          
เฉพาะเนื้อในของมันฝรั่งที่มีรากงอกออกมา หรือเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียว
จะมีปริมาณของ Solanine น้อย กินแล้วไม่เกิดอันตราย ถ้าปริมาณของ Solanine
เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ 4-5 เท่า หรือมากกว่า 0.4 กรัม/ก.ก.
กินแล้วจะเกิดอาการพิษได้ แต่ไม่ถึงกับตาย เคยมีรายงานว่า
เด็กที่กินมันฝรั่งซึ่งเปลือกผิวเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบถึงตาย

⇒ข้อควรระวัง
          
ในการเลือกซื้อมันฝรั่ง ควรเลือกที่มีผิวสวย เนื้อแน่น ไม่มีรากงอกออกมา
หรือเปลือกเปลี่ยนสี มีรอยแผลเน่ามีสีดำ เขียวหรือเนื้อนิ่ม
ทั้งนี้เนื่องจากจะทำให้ปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณราก
ตาราก เปลือกหรือบริเวณที่เน่า กินเข้าไปแล้วจะเกิดพิษกับร่างกาย
อาการที่เกิดขึ้นเมื่อกินสารพิษ Solanine เข้าไป ถ้าน้อยจะมีอาการคอแห้ง ชา
อาเจียน ท้องเสีย ชักมีไข้ สลบ เป็นต้น

          
นอกจากนี้มีรายงานว่า หญิงมีครรภ์ถ้ากินสาร Solanine เข้าไปจะทำให้แท้งได้
ถ้ามันฝรั่งที่มีรากงอกออกมา หรือมีตาราก
ให้ตัดส่วนรากและตาออกนำไปแช่น้ำสักพัก ก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:34:58 น.
Counter : 707 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.