20 อาหารสุดยอดล้างพิษได้ฉมัง!



อาหาร
สารพัดผัก-ผลไม้ หาง่าย อุดมประโยชน์





          แต่
ใช่ว่าต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงอย่างเป๋าฮื้อ หูฉลาม รังนก
หรือของหายากอย่างดีหมีเท่านั้น ถึงจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้
เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าอาหารที่เราหาได้ตามท้องตลาดในชีวิตประจำวันก็มี
ประโยชน์ในตัวไม่ใช่น้อย



          ที่
สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ
ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ
รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ
ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น
สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น



คราว
นี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง ...



          เริ่มจาก ลำดับที่ 20 สาหร่าย
พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill
University ที่ Montreal
แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย



          ใน
ปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้
ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น
และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย
นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก






19.
หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด
และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
LD ซึ่ง ไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ
นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ
โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้
และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่



18. มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง
น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษ
และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง
ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้ และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย



17.
เมล็ดแฟลกซ์
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมก้า 3
ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ
และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงขึ้น



16.
กระเจี๊ยบ

น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดิน
ปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ
ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้



15.
ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า
การดื่มน้ำทับทิม สามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้
เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยา
แก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
และลดอาการอักเสบ





          โดย
เฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม
เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง
ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น



14.
พืชตระกูลถั่ว
(เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
และถั่วขาว)
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่
ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย
พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้
และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย



13.
ขึ้นฉ่าย
ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือด
และช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ
หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า
เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่
ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง
และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน
บุหรี่ด้วย



12.
แครอท
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta -
carotene) ซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ
และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม
ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท
สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอทช่วยลดการเกิดมะเร็ง
และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น




11. มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหาร ประเภท
ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก
สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงตามไปด้วย
ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม
แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่
จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน



มะเขือ
พวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์
ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย)
และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย
ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง
จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย





10.
ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความ
นิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก
สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต
สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด



        นอก
จากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่าง
กาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน
สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย



9.
กระเทียม

จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย
นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส
โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้
ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต
นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น
แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป
ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย



8. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติ
ออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง และถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค
เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง
สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ



7. กะหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป
ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย
ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร



          รักษา
และปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่
กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม
ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น
ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย



6.
บีตรูต
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์
ซึ่งประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล (Phytochemical) วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด
ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด
ตับและระบบน้ำเหลือง
อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น
จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น
ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด -
ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย






5. อะโวคาโด
อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป
ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน (Glutathione )
ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น



         
ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด
และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan )
พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่
ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์




4. ตำลึง ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้

ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ
แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ
และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ
ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย



3. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูง
เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่
ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง
นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเปิ้ลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง
ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร
ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้



2.
อัลมอนด์
เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง
มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน
แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควร
กินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย
(Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก
ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย
(Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง
คิดอะไรไม่ออก



1.
กล้วย

มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร
ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว
หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว
หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก
ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 16:19:01 น.
Counter : 1200 Pageviews.  

ปรุงแครอททั้งหัว ต่อต้านมะเร็ง

ปรุงแครอททั้งหัว ต่อต้านมะเร็ง



          แครอทอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน แครอท 1
หัวจะให้ไวตามินเอในปริมาณที่ร่างกายต้องการเพียงพอสำหรับ 1 วัน
และยังมีไวตามินซีด้วย แครอทมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ
โรคผิวหนังและสายตา แครอทเป็นผักที่ได้ชื่อว่า ช่วยป้องกันมะเร็งอีกด้วย
โดยเฉพาะมะเร็งในปอด เพราะเบตาแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant นอก
จากนั้นน้ำแครอทยังช่วยรักษาโรคตับและมีประโยชน์ต่อคนเป็นดีซ่านด้วย

         
คุณสมบัติต่อต้านมะเร็งของแครอทนั้นอาจมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าแครอทนั้นไม่
ถูกหั่นเป็นชิ้นก่อนปรุง นักวิทยาศาสตร์พบว่าการต้มแครอทก่อนหั่นนั้น
แครอทจะมีสารต่อต้านมะเร็งอย่าง falcarinol
คงอยู่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับแครอทที่ถูกหั่น
และการทดลองโดยการป้อนให้หนูกิน falcarinol
นั้นพบว่าหนูมีการพัฒนาของเนื้องอกน้อยมาก

         
งานวิจัยนี้ทำโดยมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลซึ่งจะถูกไปนำเสนอที่งาน NutrEvent
โดยเป็นงานประชุมวิชาการด้านโภชนาการและสุขภาพ
ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส






การหั่นแครอทนั้นจะเป็นการเพิ่มพื้นที่
ผิวซึ่งจะทำให้สารอาหารนั้นหลุดออกมาอยู่ในน้ำที่ต้มได้มากขึ้นในขณะที่
กำลังทำการปรุง
ด้วยการที่ยังไม่หั่นแครอทและหั่นหลังจากต้มจะเป็นการบังคับให้สารอาหารและ
รสชาติคงอยู่ในแครอทไว้ ซึ่งจะมีประโยชน์สูงกว่าตลอดเวลา โดยสาร falcarinol
จะยังคงอยู่ในแครอทเพิ่มขึ้น
ซึ่งมหาวิทยาลัยเดนมาร์กได้ทำการค้นพบประโยชน์ของสาร falcarinol
ในแครอทเมื่อ 4 ปีก่อน ผลที่ได้คือหนูที่ถูกให้อาหารที่ประกอบด้วยแครอทหรือ
falcarinol นั้นจะพบว่ามีโอกาสน้อยกว่า 1 ใน 3
ที่จะพัฒนาเนื้องอกขึ้นมาในกลุ่มที่ให้อาหารธรรมดา

         
ในคราวนี้
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าแครอทนั้นถูกหั่นแล้วปรุง
โดยในการศึกษาครั้งล่าสุดนั้นนักวิจัยพบว่าเมื่อแครอทถูกความร้อน
ความร้อนจะไปฆ่าเซลล์
ดังนั้นเซลล์จึงสูญเสียคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำเอาไว้ข้างในเซลล์
ทำให้เกิดการเพิ่มความเข้มข้นของ falcarinol ในขณะที่แครอทสูญเสียน้ำ
อย่างไรก็ตามความร้อนยังทำให้ผนังเซลลล์อ่อนลง ทำให้สารที่ละลายน้ำอย่าง
น้ำตาลและวิตามินซี สูญเสียออกไปยังผิวหน้าของเนื้อเยื่อ
นำไปสู่การไหลออกของสารอื่นอย่างเช่น falcarinol
โดยถ้าแครอทยังไม่ถูกหั่นก่อนต้มนั้น จะทำให้มีพื้นที่ผิวน้อยลง
ทำให้เกิดการสูญเสียของสารอาหารน้อยลงด้วย

         
นักวิจัยได้ทำการทดสอบที่เรียกว่า blind taste
และพบว่าการรับประทานแครอทที่ต้มทั้งหัวนั้นมีความอร่อยกว่า โดยอาสาสมัคร 8
ใน 10 คนนั้นชอบผักทั้งต้นหรือหัวมากกว่าที่จะถูกหั่นก่อนปรุง
นี้เป็นเพราะการเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
โดยน้ำตาลที่ทำให้เกิดความหวานในแครอทนั้นจะยังมีความเข้มข้นสูงอยู่ถ้าแครอ
ทนั้นถูกปรุงเป็นอาหารทั้งหัว
ซึ่งนี้เป็นวิธีการที่ง่ายหากต้องการที่จะได้รับสารอาหารจากผักมากขึ้น






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 16:15:39 น.
Counter : 1212 Pageviews.  

โอเมก้า3 ในปลา มีโทษ??



โอเมก้า 3 ในปลา มีโทษ??






         
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงศ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ บอกว่า
น้ำมันปลาเริ่มเป็นที่สนใจมาประมาณ 30 ปี เมื่อมีข้อมูลว่าชาวเอสกิโม
ที่บริโภคปลาในปริมาณสูง จะมีปัญหาเส้นเลือดอุดตันน้อย
ระดับไขมันในเลือดต่ำ
และการเกาะตัวของเกล็ดเลือดน้อยกว่าชาวเดนมาร์กซึ่งกิน เนื้อสัตว์มากกว่า
         
นอกจากนี้ ยังพบว่าชาวญี่ปุ่นในหมู่บ้านชาวประมง ที่บริโภคปลาในปริมาณมาก
จะมีโรคหลอดเลือดหัวใจ
การเกาะตัวของเกล็ดเลือดและความหนืดของเลือดน้อยกว่าชาวญี่ปุ่นในหมู่บ้าน
เลี้ยงสัตว์

         
กลุ่มกรดไขมันที่เรียกว่า โอเมก้า 3 คือ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง
พบมากในปลาทะเลน้ำลึก เป็นไขมันจำเป็น
ต้องได้รับจากอาหารเนื่องจากร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้สารอาหารที่สำคัญมี 2
ชนิด คือ อีพีเอ และ ดีเอชเอ ปลาทะเลน้ำลึก ที่ให้สารอาหารโอเมก้า 3
ได้แก่ ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน และปลาทูน่า
ปลาในอ่าวไทย ที่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาทู และที่มีในปริมาณน้อย
ถึงปานกลาง ได้แก่ ปลาอีกา ปลากะพง ปลาตาเดียว ส่วน ปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น
ปลาช่อน ปลานวลจันทร์ จะพอมีโอเมก้า 3 บ้าง ซึ่งมากกว่าปลาน้ำจืดอื่น ๆ






          สำหรับ
ความสำคัญของโอเมก้า 3 ในเด็ก กรด DHA
มีความสำคัญต่อการเจริญพัฒนาสมองและดวงตาของเด็กทารก โดยเฉพาะในช่วง 3
เดือนก่อนคลอด การขาดของ DHA จะมีความสัมพันธ์กับโรคสมาธิสั้น
โดยเด็กที่มีระดับ DHA ต่ำจะมีปัญหาด้านพฤติกรรม อารมณ์
การนอนและการเรียนรู้มากกว่าเด็กกลุ่มที่มีระดับ DHA ปกติ และเมื่อได้รับ
DHA เสริม อาการต่าง ๆ จะดีขึ้น
          ส่วนความสำคัญของโอเมก้า 3 ในผู้ใหญ่และคนสูงอายุ
จะช่วยลดระดับไตรกลี เซอไรด์ในเลือด
และเพิ่มระดับไขมันชนิดดีซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดได้
ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ยากขึ้น
ช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ลดอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ป้องกันโรคความจำเสื่อม
ชะลอหรือป้องกันการเจริญของเซลล์มะเร็ง
          นอกจากโอเมก้า 3 แล้ว ปลายังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี
ย่อยง่าย และในปลาทะเลยังมีไอโอดีน ซึ่งช่วยป้องกันปัญหาเรื่องคอพอก
และช่วยการเจริญพัฒนาของสมองเด็กในช่วงปีแรกด้วย





ข้อ
ควรระวัง
ในการกินโอเมก้า 3
เนื่องจากน้ำมันปลาลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
ดังนั้นการกินปลาในปริมาณมากต่อเนื่องกัน
หรือกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา
จะทำให้มีปัญหาเรื่องเลือดออกหยุดยากโดยเฉพาะหากกินร่วมกับยาต้านเกล็ดเลือด
เช่น แอสไพรินหรือโคลพิโดเกรล
         
หากกินปลาทะเลมากกว่า 8 ครั้งต่อสัปดาห์
นอกจากจะมีปัญหาเรื่องเลือดหยุดยากแล้ว
ยังจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลงด้วย
สิ่งที่ควรระวังอีกอย่างในการบริโภคปลาทะเลปริมาณมาก คือ
การปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะสารปรอท ดังนั้นหากบริโภคมากเกินไป
จะเกิดการสะสมและเป็นพิษได้






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 16:12:50 น.
Counter : 1405 Pageviews.  

4 น้ำสมุนไพรมากประโยชน์

4 น้ำสมุนไพรมากประโยชน์



         
1. น้ำใบบัวบก :
น้ำใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก
เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ
เพราะจะช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1
สูงกว่าผักชนิดอื่นอีกด้วย ประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบกคือ ใช้แก้ช้ำใน
แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1
อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิตได้ แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ



          2. น้ำ
ว่านหางจระเข้
:
ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้นซึ่งมีประสิทธิภาพในการสมานแผล
ทำให้แผลหายเร็ว ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่อยู่รอบๆ แผล
และถ้าเอาไปทานก็จะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย
ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
แต่เนื่องจากสารสำคัญในว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ
ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วจึงควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้
และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลือๆ ออกให้หมดก่อน
เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง



          3. น้ำ
ลูกเดือย
: เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส
จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต
นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา
ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น
คนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต
บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วงได้




         
4. น้ำขิง :
อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
สารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้
และยังมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน
เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด
ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น 



                     
รู้สรรพคุณของน้ำสมุนไพรไทยดี ๆ อย่างนี้ อย่าลืมหามาดื่มกินกันนะคะ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 16:11:12 น.
Counter : 772 Pageviews.  

เมี่ยงแซลมอนถ้วยขนมปัง

































ส่วน
ผสมเมี่ยงแซลมอน

































เนื้อปลาแซลมอนหั่นลูกเต๋า ลวก 400 กรัม
ขิงอ่อนหั่นลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
หอมแดงหั่นลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
พริกขี้หนูซอย 1/4 ถ้วย
ตะไคร้ซอย 1/2 ถ้วย
มะนาวหั่นลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
น้ำเมี่ยง 1

ส่วนผสมตัวแป้ง












ขนมปังแผ่นสำหรับทำแซนวิช 10 แผ่น
เนยสดชนิดจืดเล็กน้อย

วิธีทำ
1.
ทำตัวแป้งด้วยการตัดขนมปังแซนวิชเป็นชิ้น วงกลมขนาด 2 นิ้ว
รีดขนมปังให้แบนเล็กน้อยด้วยไม้คลึงแป้ง
2.
กรุลงในพิมพ์มัฟฟินที่ทาเนยบางๆ อบไฟ 180 องศาเซลเซียสประมาณ 10-15 นาที
หรือจนขนมปังกรอบเป็นสีเหลืองทอง
3. ทำน้ำเมี่ยงโดยเคี่ยวน้ำตาลปี๊บ 1/2
ถ้วย ผสมกับ น้ำปลา 1/2 ถ้วยให้ข้น พักไว้ให้เย็น
4. วิธีรับประทาน
ใส่เครื่องเมี่ยงทีละน้อยลงในถ้วยขนมปังอบ ใส่น้ำเมี่ยง
แล้วรับประทานเป็นคำ









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2553 16:04:03 น.
Counter : 436 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.