ผู้สูงวัยยังมีความสุขทางกามารมณ์กัน ได้ อายุ 80ปี ยังคงดีอยู่
| | ผลการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้เปิดเผยให้รู้ว่า พลเมืองผู้อาวุโสยุคปัจจุบัน ยังคงมีความสุขทางเพศกันอยู่ได้ แม้จะมีวัยล่วงเลยเข้าขั้น 80 ปีแล้ว...
วารสาร วิชาการ "สุขวิทยาทางเพศ" ของสหรัฐฯรายงานผลการสำรวจบรรดาผู้สูงวัยทั้งชายหญิง วัยระหว่าง 57-85 ปี ประมาณ 3,000 คน ซึ่งทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัยชิคาโก โดยสอบถามถึงชีวิตกามารมณ์ที่ผ่านมาเมื่อปีกลาย ปรากฏผลว่า ยังมีหญิงชายสูงวัยบางราย ยังคงมีความสุขทางกามารมณ์ในช่วงปีหลังๆ อยู่
ผล การสำรวจเปิดเผยให้รู้ว่า คนสูงอายุจำนวนครึ่งต่อครึ่งยอมรับว่ามีปัญหาในเรื่องนี้อยู่บ้าง อย่างน้อยก็หนึ่งอย่าง แต่ก็มีผู้ชายมากถึงร้อยละ 68 และสตรีร้อยละ 42 เล่าว่า ก็ยังคงดำเนินไปด้วยดีอยู่ จนถึงเมื่อปีกลาย
ในส่วน ปัญหาอุปสรรคขวางกั้นนั้น ทางด้านฝ่ายหญิงจะมีปัญหาสุขภาพมากมายกว่าฝ่ายชายด้วยกัน.
|
| ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย รัฐ
|
|
Free TextEditor
Create Date : 05 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 21:31:14 น. |
Counter : 386 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
โบท็อกซ์ คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox): สวยด้วยยาพิษ
เคยได้ยินคำว่า “โบท็อกซ์” กันบ้างไหมครับ?
เคยได้ยินไหมครับว่า มีสารที่ฉีดลบรอยเหี่ยวย่น (ตีนกา) บนใบหน้าได้?
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงคำเล่าลือ?
ในบทความตอนนี้ เราจะมาดูกันว่า คนเราอุตริวิตถารขนาดนำเอา “สารพิษ” มาใช้ประโยชน์ ในการทำศัลยกรรมความงามกันได้อย่างไร
โบท็อกซ์ คืออะไร ?
คำว่า “โบท็อกซ์ (Botox?) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสารชีวภาพชนิดหนึ่งคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งถ้าใครไปค้นคำว่า “โบทูลินัม” ดู ก็จะพบว่าเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคือ คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์
| | แบคทีเรีย Clostridium botulinum ที่ถ่ายรูป และตกแต่งสีด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน |
คำว่า “ท็อกซิน” นั้นแปลตรงตัวว่า “สารพิษ” แต่ว่าคำนี้เป็นคำกลางๆ นะครับ กล่าวคือ อาจจะเป็นสารพิษต่อมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น สารพิษบางอย่างเป็นพิษต่อแมลงบางชนิด แต่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ในกรณีนี้ก็เรียกสารดังกล่าวว่า “ท็อกซิน” ได้เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า “เอ” นั้นระบุว่า ท็อกซินชนิดนี้เป็นหนึ่งในท็อกซินที่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ผลิตได้ (มีทั้งหมด 7 ชนิด)
ในบทความนี้ ผมจะขออนุญาตเรียกว่า “ท็อกซิน” ทับศัพท์ไป แทนที่จะใช้ว่า “สารพิษ” หรือ “ชีวพิษ” (ตามการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถาน) เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความหมายที่เหลื่อมล้ำกันเล็กน้อยสำหรับคำในภาษา อังกฤษและไทยนะครับ
ขอสรุปง่ายๆ เสียตรงนี้ก่อนว่า “โบท็อกซ์” นั้นมีที่มาจากท็อกซิน ที่พบในแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์นั่นเอง
ท็อกซินชนิดนี้พบตามธรรมชาติตั้งแต่ปี 1817 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ จัสทินัส เคอร์เนอร์ (Justinus Kerner) ท็อกซินชนิดนี้มีอันตรายไม่น้อย กล่าวคือ อาจมีความรุนแรง ถึงขนาดทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาต หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว เนื่องจากท็อกซินดังกล่าว จะออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ชนิด หนึ่ง คือ อะซีทิลโคลีน (acetylcholine) ได้ มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจหดตัวได้ ซึ่งในผู้ป่วยรายที่เสียชีวิต สาเหตุส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากว่า กล้ามเนื้อหน้าอกซึ่งเกี่ยวข้องกับการหายใจ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ นั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วสินะครับว่า ถ้าการมีท็อกซินดังกล่าวมีอันตรายเช่นนั้นแล้ว ทำไมยังจะมีคนต้องการฉีด “โบท็อกซ์” อยู่อีก หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะสงสัยว่า ก็แล้ว “โบท็อกซ์” มาเกี่ยวข้องกับการลบรอยเหี่ยวย่นได้อย่างไร คำตอบเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือ …
การที่กล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ (หรือเป็นอัมพาตไป) ก็จะมีผลข้างเคียงสำคัญคือ มันจะไม่สามารถทำให้เกิด “รอยเหี่ยวย่น” ได้นั่นเองครับ
| โปรตีนโบท็อกซ์ทำงานด้วยการแย่งจับกับสาร สื่อประสาท (ในที่นี้ แทนสารสื่อประสาทด้วย ก้อนเล็กๆ ที่อยู่กันเป็นกระจุกบริเวณปลายเซลล์ประสาทในภาพ) |
Free TextEditor
Create Date : 05 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 18:43:20 น. |
Counter : 254 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สหรัฐจับตามองดาวเทียมวันละ 1,300 ดวงที่อาจชนกัน
| กองทัพอากาศสหรัฐเผยว่า กำลังติดตามดาวเทียมวันละ 800 ดวงที่อาจชนกัน เป็นดาวเทียมที่สามารถหลบหลีกได้ และจะเพิ่มการติดตามดาวเทียมที่หลบหลีกไม่ได้ 500 ดวงภายในปีนี้
กองทัพอากาศสหรัฐเพิ่มศักยภาพในการคาด เดาการชนกันในอวกาศหลังจากดาวเทียมสื่อสารของกองทัพรัสเซียที่ไม่ได้ใช้การ แล้วชนดาวเทียมพาณิชย์ของอิริเดียม บริษัทในสหรัฐเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พล.อ.อ.เควิน ชิลตัน ผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการยุทธศาสตร์สหรัฐกล่าวต่อที่ประชุมด้านอวกาศในเมือง โอมาฮา รัฐเนบราสกา ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมดาวเทียมในช่วงปีที่ผ่านมา และลบล้างความรู้สึกที่ว่าอวกาศกว้างใหญ่เกินกว่าจะเกิดการชนกันได้ เจ้าหน้าที่ทหารอยากวิเคราะห์โอกาสที่ดาวเทียมจะชนกันให้ละเอียดลึกซึ้งแต่ ขาดบุคลากรและอุปกรณ์สนับสนุน เพราะก่อนเกิดเหตุดาวเทียมชนกัน มีการติดตามดาวเทียมวันละไม่ถึง 100 ดวง การที่ ไม่มีหน่วยงานใดทั้งภาครัฐและเอกชนคาดการณ์เหตุดาวเทียมรัสเซียชนกับดาว เทียมสหรัฐย้ำให้เห็นว่าดาวเทียมของสหรัฐตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ทั้งที่ใช้งานครอบคลุมวัตถุประสงค์ทางทหารและพลเรือนหลากหลายอย่าง
พล.อ.อ.ชิลตัน เผยว่า ขณะ นี้กองทัพอากาศกำลังติดตามดาวเทียม ชิ้นส่วนจรวดและวัตถุต่าง ๆ ในอวกาศมากกว่า 20,000 ชิ้น เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 14,000 ชิ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่จำนวนดังกล่าวเป็นเพียงวัตถุที่ตรวจพบเท่านั้น ยังมีวัตถุในอวกาศอีกมากที่ตรวจไม่พบ ทำให้ดาวเทียมที่โคจรอยู่ในอวกาศเสี่ยงภัย
ด้าน พล.อ.ท.แลร์รี เจมส์ ผู้บังคับการหน่วยบัญชาการส่วนพันธกิจร่วมด้านอวกาศเผยว่า
กอง ทัพอากาศบรรลุเป้าหมายติดตามดาวเทียมหลบหลีกได้ที่อาจชนกัน 800 ดวง ตั้งแต่เดือนกันยายน เร็วกว่าเป้าหมาย 1 เดือน และจะเพิ่มการติดตามดาวเทียมหลบหลีกไม่ได้ 500 ดวงภายในสิ้นปีนี้เพื่อแจ้งข้อมูลแก่หน่วยงานที่ขอมา ดาวเทียมเหล่านี้ไม่มีเชื้อเพลิงสำรองทำให้หลบหลีกไม่ได้เมื่อเข้าสู่วงโคจร แล้ว
|
| ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"
|
|
Free TextEditor
Create Date : 02 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 17:08:45 น. |
Counter : 134 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หนีภัย ความดันโลหิตสูง
| ใครๆ ก็กลัวโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งได้รับสมญานามว่า "ฆาตกรเงียบ"
แบบไหนที่เรียกว่า ความดันโลหิตสูง
ปกติ ค่าความดันโลหิตสูง ที่เหมาะสมของคนปกติไม่ควรเกิน 130/85 มิลลิเมตรปรอท หากตรวจวัดระดับความดันโลหิตได้ค่าออกมามากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และการปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด โรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจ โรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต เป็นต้น
ไม่อยากป่วยเป็น โรคนี้ ในรายงานประจำฉบับ นิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับเดือนก.ย. โดย ศรีสุภา มีวงษ์ มีคำแนะนำของคุณหมอมาฝาก 6 วิธีด้วยกัน
คำแนะนำบอกว่า ก่อนอื่นควรเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการปรับปรุงนิสัยหรือความเคยชินในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
1.รู้ค่าความดันโลหิตของตัวเอง การวัดความดันโลหิตเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้ทราบว่า ความดันของเราอยู่ในระดับปกติหรือไม่ ควรวัดความดันโลหิตอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ (ถ้าอายุมากกว่า 40 ปี) และไม่มีปัจจัยเสี่ยง ให้วัดความดันโลหิตปีละ 1 ครั้ง)
2.ปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อสุขภาพ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเพื่อช่วยลดความดันโลหิต และยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้ต่างๆ
3.ลดการกินเกลือ ควรจำกัดเกลือที่กินในแต่ละวันไม่ให้เกิน 6 กรัม (หรือเทียบเท่า 1 ช้อนชา) จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ประมาณ 2-8 มิลลิเมตรปรอท
4.หลีกเลี่ยงความเครียด หากเป็นไปได้ พยายามเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เครียดทั้งที่ทำงานและที่บ้าน หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือหลีกเลี่ยงได้ พยายามตอบสนองต่อสภาพที่เครียดอย่างมีสติและนุ่มนวล
5.หยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง
6.หมั่นออกกำลังกาย การออกกำลังกาย เช่น แอโรบิกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความดันโลหิตได้ การวิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือรำกระบอง เป็นต้น
ง่ายๆ แค่นี้เอง ทำได้ไหม
|
| ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ข่าวสด
|
Free TextEditor
Create Date : 02 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 17:06:18 น. |
Counter : 124 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|