เนยเหลว มาร์การีน..อ้วนมากหรือเปล่า?




ไม่ว่าจะเป็น ขนมปังทาเนย เครป แพนเค้ก
อาหารที่กล่าวถึงนี้ส่วนใหญ่จะใช้เนยเหลวหรือมาร์การีนในการปรุงทั้งนั้น
นอกจากนี้แล้วเนยเหลว
และมาร์การีนยังเป็นส่วนประกอบในอาหารที่เรามองไม่เห็น เช่น เค้ก
ขนมปังต่างๆ พายต่างๆ


          
สังเกตได้อีกอย่างว่า
ในตอนเช้าคนเมืองส่วนใหญ่นั้นมักมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ
ดังนั้นอาหารเหล่านี้จึงเป็นเหมือนทางเลือกที่รวดเร็วบางครอบครัวจึงมักจะทำ
กินเองที่บ้าน หรือไม่ก็ซื้อตามตลาด
จะเห็นได้ว่าเราคงจะไม่สามารถเลี่ยงบริโภคเนยเหลวและมาร์การีนไปได้ง่ายๆ
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ลองมาดูส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้กันดีกว่าว่าให้พลังงานอย่างไร






สำหรับเนยเหลวนั้น

เนื่องจากมีกรรมวิธีสกัดเอาไขมันออกมาจากน้ำนมสดเพื่อมาทำ เนยเหลว
ดังนั้นจะมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 80 และนมผงขาดมันเนยประมาณร้อยละ
2 นอกจากนี้เนยเหลวบางนิดจะมีการเติมเกลือลงไปเล็กน้อยเพื่อให้เกิดรสเค็ม
ส่วนมาร์การีนนั้นใช้ไขมันจากพืชหรือไขมันจากสัตว์บางชนิดขึ้นมาทดแทน
โดยไขมันจากพืชที่นำมาผลิตมาร์การีนนั้น
ถึงแม้จะทำมาจากไขมันพืชที่มีส่วนประกอบของไขมันไม่อิ่มตัวจำนวนมากก็ตาม
แต่ก็ต้องผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Hydrogenation
ทำให้กรดไขมันมีความอิ่มตัวสูงขึ้นด้วย
แต่ก็สามารถจะเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องได้โดยไม่ละลาย

สำหรับพลังงานและสารอาหารที่จะได้รับจากการบริโภคเนยเหลว
หรือมาร์การีนนั้น
ถ้าบริโภค 1 ช้อนชา จะได้ไขมัน 5 กรัม
และให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี
ดังนั้นเราสามารถคำนวณปริมาณพลังงานที่จะได้จากการบริโภคขนมปังทาเนย1
แผ่นได้ คือขนมปัง 1 แผ่น ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี และทาเนยอีก 1
ช้อนชาเท่ากับ 45 กิโลแคลอรี ดังนั้นขนมปังทาเนยแผ่นนี้ให้ขนมปังเท่ากับ
125 กิโลแคลอรี ถ้ามีการโรยน้ำตาลอีกพลังงานก็จะเพิ่มขึ้น
และแม้จะทามาร์การีนแทนเนยก็ได้พลังงานใกล้เคียงกันค่ะ
ถ้าเราหวังว่าอาจจะได้กรดไขมันไม่อิ่มตัวจากมาร์การีนนั้นคงเป็นไปไม่ได้
เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวถูกเปลี่ยนเป็นกรดไขมันอิ่มตัวเกือบทั้งหมดแล้วค่ะ
เอาล่ะคราวนี้เราคงจะเลือกกินกันได้ถูกแล้วนะคะ





ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากSlimming







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:13:22 น.
Counter : 1543 Pageviews.  

ไขปริศนา "ปีกไก่" อันตรายจริงหรือ?!



ใคร
ที่ชอบกินปีกไก่ แล้วได้รับอีเมลจั่วหัวว่า "ปีกไก่มรณะ" โดยเฉพาะสาว ๆ
คงตกใจ เพราะมีการให้ข้อมูลว่า ไก่ จะถูกฉีดฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโต
บริเวณ คอหรือปีก ซึ่งถ้ารับประทานจะมีผลข้างเคียงต่อ ร่างกายอย่างร้ายแรง
โดยเฉพาะผลต่อฮอร์โมนของ สตรี ที่นำไปสู่การเจริญเติบโตของซีสต์
ในมดลูกได้



      เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา
ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ บอกว่า ไม่มีงานวิจัยที่ชี้ว่ากินปีกไก่แล้วทำให้เกิดซีสต์ที่รัง
ไข่เลย แต่ซีสต์ที่รังไข่อาจ เกิดจากไก่ได้ทางอ้อม คือ
กินหนังไก่จนอ้วนมากไป เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด
"ซีสต์รังไข่"


           ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน คือ ราวปี
2542 อาจจะจริง เพราะการฉีดฮอร์โมนนี้นิยมฉีดที่ปีกกับคอไก่
แต่เดี๋ยวนี้มีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไม่ให้ใช้ฮอร์โมนเร่งฉีดในไก่แล้ว
จากการสอบถามสัตวแพทย์บอกว่า ฟาร์มไก่เกือบ 100 เปอร์
เซ็นต์ไม่ใช้ฮอร์โมนแล้ว ไม่ว่า จะแบบฉีดหรือฝังใต้หงอน พูดง่าย ๆ
ว่าคนที่กินไก่หลัง พ.ศ. 2542 น่าจะสบายใจได้เรื่องฮอร์โมน
อีกทั้งฮอร์โมนแพงมาก ไก่เดี๋ยวนี้เลี้ยงกันราว 40-45 วัน
คือให้สั้นที่สุดจะได้ไม่เปลือง ฉะนั้นเขา ไม่ลงทุนกับฮอร์โมนแพง ๆ เป็นแน่

          
ในยุคนี้ถ้าจะเร่งด้วยฮอร์โมนเขาจะใช้ฮอร์โมนจากธรรมชาติเช่น
"กวาวเครือขาว" ที่มีสารคล้ายเอสโตรเจนอยู่
อย่างไรก็ดีอาจมีสารตกค้างจากอาหารที่เลี้ยงไก่บางอย่างแทน
โดยสารพิษหรือยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอาหารไก่พอไก่กินเข้าไปจะละลายอยู่ตาม
ไขมันในตัว โดยเฉพาะหนังไก่ คอไก่ ปลายปีกที่มีหนังเยอะ

บริเวณไหนของไก่ที่อันตรายน้อยที่สุด?
นพ.กฤษดา กล่าวว่า ส่วนที่เป็นอกดีที่สุดเพราะมีมัน
น้อย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับยาพิษตกค้างที่มักละลายอยู่ในมันไก่ รองลงมา
เป็นส่วนใดก็ได้ที่เป็นเนื้อล้วนมีมันแทรกน้อย เช่น น่องและตะโพก
เพราะพวกสารเคมีเป็นพิษต่าง ๆ ถ้าจะปนในไก่มักจะปนในไขมัน
ดังนั้นท่านที่ชอบทานหนังไก่ทอดร้อน ๆ หอมอร่อยต้องระวัง


การนำไก่มาปรุงอาหาร วิธีการปรุงที่ดีที่สุด คือ
ปรุงแบบไม่ต้องใช้น้ำมัน เช่น ต้ม ย่าง นึ่ง
มีเคล็ดอยู่บ้างตรงที่ถ้าต้มไก่ก็พยายามช้อนเปลวมันที่ลอยฟ่องอยู่ออกเป็น
ระยะจะได้ลดสารพิษลง ถ้าย่างก็ลอกหนังออกบ้างก่อนก็ดี
เพราะมันจะมีสารก่อมะเร็งเยอะอยู่


กินเนื้อไก่บ่อย ๆ มีโทษหรือไม่? นพ.กฤษ
ดา บอกว่า ไม่มีปัญหา ยกเว้นถ้าเป็น "เกาต์" คงต้องระวัง
เพียงแต่สลับกันกับเนื้อสีขาวอย่างอื่นด้วยก็จะดี
ตามหลักของการกินให้หลากหลายเช่นสลับกับเนื้อปลา ไข่ขาว เต้าหู้บ้างก็ได้

          
เนื้อไก่อยู่ในกลุ่มเนื้อสีขาว (White meat) ถือเป็นโปรตีนย่อยง่าย
ไขมันน้อย โดยเฉพาะเนื้อไก่งวงที่กระด้างเหมือนกระดาษ
ถ้าเทียบกับเนื้อวัวเนื้อหมูแล้วเนื้อไก่ก่อให้เกิด "ภูมิแพ้" น้อยกว่า
ถ้าใครเป็นภูมิแพ้เรื้อรังไม่หาย หรือเด็ก ๆ มีภูมิแพ้เรื้อรัง
เปลี่ยนมากินเนื้อไก่แทนเนื้อวัวก็ดี

          
เนื้อไก่ไม่ค่อยทำให้แพ้ง่าย
เพราะกรดอะมิโนในเนื้อไม่ค่อยมากหน้าหลายตาเท่าเนื้อวัว ถึงขนาด รพ.
ศิริราช เอาเนื้ออกไก่มาบดทำเป็นน้ำเรียก "นมไก่" ให้เด็กภูมิแพ้กินแทน
นมวัว

มีคนชอบพูดว่า
กินไก่ที่เร่งฮอร์โมนแล้วทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วจริงหรือไม่?

นพ.กฤษดา กล่าวว่า การเป็นหนุ่มสาวเร็วนี้ถือเป็นโรคอย่างหนึ่งเรียก
"โรคหนุ่มสาวก่อนวัย" ซึ่งเหตุหนึ่งมาจากการที่มีมวลไขมันพอกตัวเยอะ
ในเด็กที่ชอบกินไก่ทอดหรือหนังไก่จะทำให้มีโอกาสสูง
อีกประการหนึ่งคือจากฮอร์โมนไก่ละลายเข้าในไขมันคน คือ ไก่ในยุคก่อนปี 2542
ยังมีการใช้ฮอร์โมนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ฮอร์โมนเหล่านี้มักละลายในไขมันดี
เด็กกินเข้าไปก็เก็บสะสมไว้ในไขมันกินบ่อยมากเข้า จึงมีส่วนทำให้เกิด
"โรคหนุ่มสาวก่อนวัย" ได้

           ท้ายนี้คงต้องบอกว่า
ไก่ในปัจจุบันมีความปลอดภัย ฟาร์มต่าง ๆ
ไม่ได้ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ดังนั้น
จึงไม่ได้ทำให้เกิด "ซีสต์รังไข่"
แต่ซีสต์ที่รังไข่อาจเกิดจากไก่ได้ทางอ้อม คือการ
กินหนังไก่จนอ้วนมากนั่นเอง



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากDevil







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:03:57 น.
Counter : 507 Pageviews.  

หายใจผิด ตัวการทำลายผิว

รู้ไหมว่าการหายใจก็ส่งผล
กระทบต่อผิวสวย ๆ ของเราได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาบอกกัน…





หายใจเร็วเร่งสร้างอนุมูลอิสระ

อย่างที่ทราบกันว่าอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของความแก่ ทำให้ผิวเสีย
มีริ้วรอยเหี่ยวย่น อนุมูลอิสระในร่างกายเราเกิดจากหลายสาเหตุ
รวมถึงของเสียจากการเผาผลาญอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล
ซึ่งในกระบวนการเผาผลาญจะต้องใช้ออกซิเจนจากการหายใจของเรา
ดังนั้นหากเราหายใจเร็วหรือถี่ก็จะยิ่งกระพือการเผาผลาญพลังงานทำให้เกิดของ
เสีย ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระเป็นทวีคูณ ผิวจึงเสียเร็วขึ้นตามไปด้วย

หายใจตื้นยิ่งสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ โดย
ปกติเซลล์ของเราจะขับของเสียคือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย ดังนั้น
การที่เรายิ่งหายใจตื้น ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับยิ่งน้อยลง
เป็นสาเหตุให้ร่างกายมีก๊าซเสีย คือ คาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่มาก
ส่งผลให้เซลล์เกิดการอักเสบหรือไม่แข็งแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เร่งให้เกิดอนุมูล
อิสระในร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบ
การหายใจอย่างถูกวิธีเพื่อให้ได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอจึงเป็นวิธีที่
ช่วยให้ปอดขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้

ออกซิเจนเสริมพลังลดอ้วน การหายใจที่ถูก
วิธีช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เลือด
เลือดดีจึงเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดี ยิ่งกล้ามเนื้อใหญ่เท่าไร
ระบบเผาผลาญไขมันของเราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อกล้ามเนื้อซึ่งเปรียบเหมือนเตาเผาของร่างกายทำงานได้ดี
ก็จะช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่ง ในคนที่ลดน้ำหนักผิดวิธี โดยการอดอาหาร
น้ำหนักอาจจะลดลง แต่ 1 ใน 4 ของน้ำหนักที่หายไปคือ กล้ามเนื้อ
ถ้าเราทำลายกล้ามเนื้อไปแล้ว เมื่อกลับมากินอาหารเหมือนปกติ
เราก็จะอ้วนง่ายขึ้น แต่หากรู้จักออกกำลังกายให้ดี กินอาหารดี
และฝึกหายใจอย่างถูกต้องด้วยแล้ว
จะยิ่งเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและส่งผลถึงการลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้นด้วย

           
ทั้งนี้วิธีการออกกำลังกายที่จะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้ร่างกาย คือ
การออกกำลังกายแบบสลับช่วง และสลับชนิด การออกกำลังกายแบบสลับช่วง เช่น
วิ่งเร็วสลับช้า โดยวิ่งเร็วเต็มที่ 2 นาที แล้วผ่อนความเร็วลงอีก 2 นาที
ทำอย่างนี้ตลอดครึ่งชั่วโมง การเดินเร็วสลับเดินช้า การปั่นจักรยาน
หรือตีแบดมินตัน แต่ต้องวิ่งไปเก็บลูกเอง ส่วนการออกกำลังกายแบบสลับชนิด
เช่น วิ่ง 15 นาที ซิทอัพ 15 นาที หรือซิทอัพ 15 นาที ว่ายน้ำ 15 นาที
จะช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจและปอดได้ดี ทำให้เราหายใจได้ลึกขึ้น
ช่วยลดอ้วนได้และทำให้แก่ช้าลง





ฝึก
หายใจสร้างสวย
พฤติกรรมการหายใจที่ดีนี้ฝึกได้ด้วยตัวเอง
เพียงนั่งลงในที่อากาศปลอดโปร่ง
เริ่มจากหายใจเอาอากาศไม่ดีในร่างกายเราออกก่อน โดยหายใจออกอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นจึงสูดอากาศดีเข้าทางจมูกช้าๆ จนเต็มปอด แล้วกลั้นหายใจ นับ
1-2-3-4-5 ตามด้วยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ ทำวันละ 3 รอบ รอบละ 20 นาที
ขณะที่เรากลั้นหายใจอยู่ออกซิเจนที่เคลื่อนเข้าไปในปอดจะขับก๊าซคาร์บอน
ไดออกไซด์ออกมา เมื่อออกซิเจนในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
ร่างกายจะนำออกซิเจนนี้ไปซ่อมแซมตัวเองนอกจากนี้ยังพบว่า
หากฝึกหายใจอย่างต่อเนื่องทำให้มีสมาธิ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารความสุข
(เอนโดรฟิน) มากยิ่งขึ้นด้วย

ขั้น
ตอนการสร้างสวยสุขภาพดีด้วยการหายใจเป็นเรื่องง่าย
ขอเพียงฝึกอย่างสม่ำเสมอคุณจะพบกับการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 3 เดือนค่ะ…






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:02:36 น.
Counter : 643 Pageviews.  

ออกกำลัง “สมอง” กันดีกว่า



ง่าย
และได้ผลที่สุด คือการ คิดเลขในใจ
          
หนึ่งในบทเรียนสอนเลขตอนเด็ก ครูเคยสอนให้ ′คิดเลขในใจ′ บวก ลบ คูณ หาร
เท่าไร เก็บไว้ในใจก่อน แล้วเริ่มจัดการกับโจทย์อื่นต่อไป

เรื่องแบบนี้ถ้าเป็นสมัยสมองยังสดใส ยังอยู่ในวัยเอ๊าะ
รุ่นหนุ่มรุ่นสาว ขอบอก...เรื่องหมู ๆ





           แต่...
ทำไมหนอเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่คิดว่าหมู กลับเป็นหมูหิน คิดยากคิดเย็น
สปีดการคิดก็ตก บางรายยิ่งร้ายเพราะจะบวก ลบ คูณ หาร
ยังไงก็คิดไม่ออกเอาเสียแล้ว

          
อาการแบบนี้อาจจะไม่ได้เกิดกับแค่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว
เพราะอาจจะรุกรานไปเกิดในรูปแบบหลง ๆ ลืม ๆ ความจำน้อยลง สมองสั่งงานช้า
สับสนวันเวลา จำสถานที่ ไม่ได้ หลงทิศหลงทาง พูดซ้ำถามซ้ำ ใช้คำผิด ๆ ถูก ๆ
อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนไป ไม่รับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
เกิดความกลัวหวาดระแวง ร้ายไปกว่านั้นอาจมีอาการประสาทหลอนก็เป็นได้

          
ถ้าใครเป็นหรือใครมีคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะอยู่ในเพศไหน วัยใด
โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุอานามล่วงเข้าหลัก 6 แล้ว พึงนึกไว้ได้อย่างหนึ่งว่า
ภาวะ ′สมองเสื่อม′ น่าจะมา
เยือนแล้ว

           จากงานวิจัยพบว่า ในปี 2040
น่าจะมีคนเป็นโรคสมองเสื่อมมากถึง 81 ล้านคนทั่วโลก โดยพบว่าคนอายุ 65 ปี
ในประเทศตะวันตกจะป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม 1% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุก
ๆ 5 ปีที่อายุเพิ่มขึ้น และยังพบอีกด้วยว่า ผู้ที่มีอายุ 86 ปีขึ้นไป
จะป่วยด้วยโรคนี้มากถึง 32%

           สำหรับในประเทศไทย
แม้จะยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยโรคนี้อยู่ประมาณ 200,000-300,000 คน

          
โรคนี้แม้จะไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเจ็บป่วยหรือพิกลพิการใด ๆ
แต่ความร้ายกาจของโรคจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องการสั่งงานของสมอง
ความจำ ความฉลาด การควบคุมอารมณ์ และไม่สามารถแยกถูกผิดได้

          

ต้นเหตุทั้งปวงนี้เกิดจากเซลล์ประสาทที่แม้จะถูกผลิตและสร้างขึ้นใหม่มาอยู่
เรื่อย ๆ แต่ก็กลับเสื่อมสภาพลงเร็วกว่าปกติ
โดยเฉพาะกับเซลล์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน
เช่นเดียวกับบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายที่หากไม่ได้ใช้งานในส่วนไหนก็จะลีบฝ่อ
ไปเอง ฉันใดก็ฉันนั้น เช่นเดียวกับสมอง






ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะยืดเวลาสมองให้เสื่อมช้าไปมากที่สุด
นั่นคือต้องจับสมองมาเอ็กเซอร์ไซส์ และวิธีการเอ็กเซอร์ไซส์ที่ดี ง่าย
และได้ผลนั้น คือการใช้วิธี ′คิดเลขในใจ′
มาเป็นตัวช่วยนั่นเอง


น.พ.สุวินัย
บุษราคัมวงษ์ แพทย์ด้านอายุรกรรมสมอง
สถานพยาบาลกล้วยน้ำไท 2
กล่าวว่า ′การคิดเลขในใจทุกวัน วันละ  หลาย ๆ ครั้ง
จะเป็นการกระตุ้นให้สมอง ออกกำลัง
กระตุ้นเซลล์สมองให้สร้างแขนงประสาทไปเชื่อมต่อกับเซลล์สมองส่วนอื่น ๆ
เพิ่มให้เส้นใยประสาทของเซลล์ประสาทมีการเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น
และยังเพิ่มปริมาณสารเคมีที่บรรจุอยู่ที่ประสาท
ทำให้สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม
เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนจากพ่อค้าแม่ค้าที่แม้จะสูงอายุ
แต่ยังคิดค่าอาหารและเงินทอนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

          
ส่วนวิธีการคิดนั้น คุณหมอแนะนำว่าให้คิดเลขทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอน
ค่าอาหาร รายรับ รายจ่ายแต่ละวัน ด้วยสมองของตัวเอง แทนการใช้เครื่องคิดเลข
หรือแม้แต่นับนิ้วก็ไม่ได้

           คิดไปเริ่มจากหลัก 2 หลัก
จากบวกไปลบ แล้วค่อย ๆ ก้าวไปสู่การคูณและหาร โดยเริ่มจากง่าย ๆ
จากสูตรคูณแม่ 1-12 ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น

          
หรืออาจจะลองหัดใช้งานมือข้างไม่ถนัด
ลองหัดเป็นนักวิเคราะห์หรือคาดการณ์หนังละครที่ดู
หรือลองทบทวนเรื่องราวเก่า ๆ ย้อนหลังในทุกวัน ว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง
เพราะอะไรถึงทำเช่นนั้น เหล่านี้ก็ช่วยได้

          
นอกจากนั้นแล้ว อย่าลืมที่จะกินอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะผักใบเขียวจัด ๆ
ออกกำลังกายใหสม่ำเสมอ นอนให้พอ เลี่ยงดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ อย่าอ้วน
อย่าเครียด ที่สำคัญอย่าลืม บริหารสมองกันด้วยนะ...จะบอกให้...







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:01:11 น.
Counter : 635 Pageviews.  

ดอกคำฝอย ทำได้มากกว่าลดน้ำหนัก

สรรพคุณที่ทำให้ดอกคำฝอยได้แจ้งเกิดใน
ใจของแฟนๆ มาจากความสามารถในการลดไขมันในเส้นเลือด
แต่ที่จริงแล้วมันยังมีประโยชน์มากกว่านั้น




สลายลิ่มเลือด
         
คนที่ชอบกินของหวานจะมีน้ำตาลในเลือดสูง
จากนั้นเลือดจะเหนียวข้นจับตัวกลายเป็นลิ่มเลือด
ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตไม่ดี
แต่คำฝอยมีสรรพคุณช่วยสลายลิ่มเลือดให้เล็กลงและป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัว
กลายเป็นลิ่มเลือดขึ้นมาใหม่

หัวใจ
แข็งแรง

         
เมื่อตัวยาจากดอกคำฝอยสลายลิ่มเลือดไปแล้ว
ร่างกายก็จะมีเลือดไปเลี้ยงที่หัวใจมากขึ้น ทำให้หัวใจแข็งแรง
และยังช่วยลดไขมันอุดตันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจไปในตัว

รักษาแผลกดทับ
         
ตำราแพทย์แผนโบราณบอกว่าให้ต้มดอกคำฝอย 500 กรัม ในน้ำ 7 ลิตร
ต้มด้วยไฟปานกลางประมาณ 2 ชั่วโมง จนดอกคำฝอยเป็นสีขาว
ตักกากออกให้เหลือแต่น้ำ แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ต่อไปจนน้ำเหนียวเป็นกาว
จากนั้นก็เอาน้ำยาทาลงบนผ้า เอาไปปิดที่แผลกดทับ ทำติดต่อกันประมาณ 1
อาทิตย์ แผลกดทับก็จะหายเอง

Tip ....
ถึงแม้ดอกคำฝอยจะมีดีหลายอย่าง
แต่ถ้าดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายก็กลายเป็นโทษได้เหมือนกัน
เพราะน้ำดอกคำฝอยมีคุณสมบัติสลายลิ่มเลือด ถ้าดื่มมากๆ จะทำให้โลหิตจาง
เลือดน้อย แถมยังเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจหวิว มึนศีรษะ
กลายเป็นผู้หญิงขี้โรคโดยไม่รู้ตัว



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากSpicy






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 22:59:39 น.
Counter : 441 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.