พริกขี้หนูสดลดระดับน้ำตาลในเลือด



Capsaicin
ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา
เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด


รศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศึกษาวิจัยเรื่อง “เภสัชจลนศาสตร์ของสาร
Capsaicin ในพริกขี้หนูสด
และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี”
เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสาร Capsaicin
ในพริกขี้หนูว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่

         
Capsaicin ว่าพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู
วิธีในการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย
เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสาร Capsaicin
ในพริกขี้หนูที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง

         
การวิจัยเลือกใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม
ผลปรากฏว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นจึงทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ราย

         
อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งรับประทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความ
เข้มข้น สูง อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานแคปซูลเปล่า
เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม
จากนั้นจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที
ตั้งแต่เริ่มรับประทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 เป็นต้นไป


         
กลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่รับประทาน
แคปซูลเปล่า และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

         
นอกจากนี้
จากการวิจัยโดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลเปล่ามารับประทานพริกขี้
หนูสด และเจาะเลือดวัดระดับอินซูลิน รวมทั้งวัดระดับ Capsaicin ใน
เลือดของอาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดที่บรรจุในแคปซูล
ผลปรากฏว่าระดับอินซูลินในกลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานพริกขี้หนูสดอยู่ใน
ระดับคงที่ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับอินซูลินลดลง

         
แสดงให้เห็นว่า Capsaicin จาก
พริกขี้หนูสดสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้
ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5
กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่ Capsaicin
เข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินนั่นเอง





รศ.สุพีชา
กล่าวเสริมว่า
นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ
ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป
เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน
สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบา
หวานต่อไป






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 17:03:04 น.
Counter : 1038 Pageviews.  

กินผลไม้ให้ถูกเวลา…มากคุณค่า




         
บ้านเราโชคดีที่เป็นประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาด
ตลอด ทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ
ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้แช่เย็นจากแดนไกล
(เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน)
ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย
เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้ง
คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น
ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์
เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ
หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก
หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก
แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan
เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่ เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา
แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน
ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา
คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย

ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
         
หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของ
นักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์
ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่าย
ทอดสู่กันฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์
อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ
ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น

ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐานโครงกระดูกและฟันของมนุษย์
ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้นแต่
เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ
หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บผลไม้มากิน
ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็นอาหารตั้งแต่ไหนแต่ไร
มา
เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมากขึ้นกว่า
เดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก
บางครั้งปรับตัวไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ
เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน
หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร
ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ
เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย
จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่าย
ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว
จึงนับว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด
ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ





          นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว
ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง
แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ
ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี
2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง
โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง
เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส
แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป
พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ย
ถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด
และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท)
พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและ
หัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด
นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่าง
กายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก
(โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน
อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น)
ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ
จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4
ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง
ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง
ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย
ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น
ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป


กินผลไม้ตอนท้องว่าง…ได้ประโยชน์สูงสุด
         
ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออก
จากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้
และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูก
วิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง
ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ
หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30
นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้า
สู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่
การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อย
ประมาณ 4 ชั่วโมง
หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจาก
อาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น
ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด
เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้
ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ
ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง
แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร
ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี
แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

  ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม
ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้
หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง
หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์
ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ
อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8
ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย





          ตามแนวคิดนี้
เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ
ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง
เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน
ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด
จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ
แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้
ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต
และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่
รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน
ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง
โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน
และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน
หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่
ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี
กระชุ่มกระชวยอยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%
         
ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ
ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ
เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติ
เท่านั้น
แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร
จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว
หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100%
จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน
หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น
ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้
ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า
ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี
แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย

 

แนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพ
ร่าง กายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา
ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 17:01:37 น.
Counter : 944 Pageviews.  

ให้เวลากับอาหารเช้าบ้าง



“แดงมีแต่แดง
ไม่มีเขียว เอาอีกแล้ว อยากจะไปธุระก็ไปไม่ทัน (เบื่อ)”

          
แว่วเสียงบ่นเป็นเพลงของพ่อวสันต์ โชติกุล
ดังลอดฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดแย่งกันยืนบนรถสายทางด่วนที่ไม่ได้ด่วนสม
ชื่อเอาเสียเลย เพราะแช่อยู่กับที่กว่า 20
นาทีแล้วยังไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อน
ชีวิตจริงที่ไม่ต้องเลียนแบบดาราของคนเมืองกรุง
คงไม่ต้องถามกันให้เมื่อยปากว่าเบื่อไหม เพราะคำตอบก็คือ เบื่อแน่นอน
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ใครมีรถยนต์ส่วนตัวก็สบายหน่อย
ยังพอมีเวลาทำอะไรในระหว่างเดินทางได้บ้าง เช่น แต่งตัว แต่งหน้า กินข้าว
เป็นต้น แต่คนที่ต้องทำตัวเป็นทาร์ซานห้อยโหนรถเมล์นั้น
การที่จะพกข้าวไปกินบนรถเมล์ก็ใช่ที่ เพราะแค่หาที่ยืนได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว





         
ในภาวะอย่างนี้เองทำให้คนกรุงเทพฯ
จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ต้องเสียโอกาสในการได้กินอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด
นั่นก็คือ “อาหารมื้อเช้า” ไปอย่างน่าเสียดาย

         
หลังจากที่ร่างกายของ เรานอนหลับพักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว
เมื่อตื่นนอนมาตอนเช้า ร่างกายจึงอยู่ในภาวะที่สดชื่นสมบูรณ์ทุกระบบ
ทั้งนี้รวมไปถึงระบบการเคี้ยว ระบบย่อย การดูดซึมอาหาร
พร้อมที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่


อาหารเช้าที่กินถ้าหากเป็นอาหาร ที่มีคุณภาพ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ คือ
มีทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ นม หรือถั่วเมล็ดแห้ง ข้าว และแป้ง
ไขมันหรือน้ำมันพืช ผักผลไม้
ก็จะเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเป็นที่สุด
และที่สำคัญอย่าลืมดื่มน้ำตามเข้าไปด้วย


         
ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราให้เวลากับอาหารมื้อเช้าสักนิด
เพียงแค่การกินอาหารตามปกติ ไม่ต้องไปเตรียมอะไรให้พิเศษมากมายนัก
เราก็จะได้สารอาหารที่ครบถ้วน แม้แต่ข้าวราดแกงธรรมดา เช่น
ข้าวราดผัดผักบุ้ง ไข่ดาว เราก็จะได้ทั้งคาร์โบไฮเดรตจากข้าว ได้วิตามิน
เกลือแร่จากผักบุ้ง ได้ไขมันจากน้ำมัน (ที่ใช้ผัดผักบุ้ง) ได้โปรตีนจากไข่
ยิ่งถ้าเพิ่มผลไม้เป็นฝรั่งหรือมะละกอสัก 2-3 ชิ้นแล้วล่ะก็
ก็จะเป็นอาหารมื้อเช้าที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คุณคิดเลยทีเดียว


ตามหลักวิชาการแล้ว มื้อเช้าควรจะเป็นอาหารมื้อหนักที่สุด
ถัดไปก็มื้อกลางวัน และมื้อเย็นจะเบาที่สุด
แต่ทุกวันนี้คนเรากลับไปให้ความสำคัญกับอาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็น
โดยเฉพาะมื้อเย็น บางคนถึงกับขอกินเผื่อมื้อเช้าวันพรุ่งนี้เลยก็มี
แล้วอย่างนี้จะไม่ถูกพ่อต่อ ต๋องเขาค่อนแคะว่า ‘เอวหาย’ ได้อย่างไร
เพราะหลังอาหารมื้อเย็นแล้ว ร่างกายก็เข้าสู่ภาวะพักผ่อนเคลื่อนไหวน้อย
พลังงานก็ถูกนำไปใช้น้อย คราวนี้ก็เลย ‘ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่’ กันเป็นแถว


         
มีข้อเสนอแนะบางประการที่น่าสนใจและน่าลองนำไปปฏิบัติดู
เพื่อให้เราตรวจสอบง่ายๆ
ว่าวันๆหนึ่งเราได้รับสารอาหารครบถ้วนพอดีหรือเปล่า
คำตอบที่ง่ายและตรงไปตรงมา คือ พยายามกินให้มากพอ และกินให้ถูกสัดส่วน
กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่ในทางปฏิบัติ
เป็นการยากสำหรับบางคนที่จะจำว่าอาหารแต่ละหมู่มีอะไรบ้าง
มีประโยชน์อย่างไร ต้องกินอย่างไร

         
เพื่อแก้ไขปัญหาความยุ่งยากในการจด จำหมู่อาหารต่างๆ
เพราะมีความสับสนและซ้ำซ้อนกันอยู่ จึงเสนอว่าควรจำง่ายๆ ว่าวันหนึ่งๆ
ควรกินอาหารให้ได้อย่างน้อยสัก 30 ชนิด ไม่ว่าจะกินกี่มื้อก็ตาม
การที่เสนอเช่นนี้หลายคนคงตกใจว่า เอ๊ะ! 5 หมู่ยังจำไม่ได้ แล้ววันละ 30
ชนิดจะไปจำได้อย่างไร และจะทำได้อย่างไร

          ขอบอก
ว่าไม่ต้องจำ เพราะจำอย่างไรก็ไม่หมด
เพียงแต่ลองนับดูให้ครบถ้วนถึงอาหารทุกชนิดที่กินในทุกมื้อและระหว่างมื้อ
ให้ได้ ก็จะรู้สึกว่าเป็นไปได้ ทำได้ และสนุก
อย่างมื้อเช้ากินข้าวต้มกับผัดผักรวม และยำกุนเชียง
ลองนับดูก็จะได้ชนิดอาหาร คือ ข้าว ผักดอกกะหล่ำ ข้าวโพดอ่อน มะเขือเทศ
หมูกับมันหมู น้ำมันพืช กระเทียม น้ำปลา กุนเชียง มะนาว หัวหอม พริกขี้หนู
น้ำตาล รวมแล้วถึง 14 ชนิด แล้วถ้ารวมกับมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีกต้องถึง
30 ชนิดแน่นอน
วิธีการนี้นอกจากจะทำให้เราสามารถเช็กได้ว่าทั้งวันเราได้สารอาหารครบหรือ
ไม่แล้ว ยังทำให้รู้สึกสนุกกับการนับอีกด้วย






          ตลอดทั้งวันร่างกายต้อง
ใช้พลังงานในการทำงานมากมาย
การกินอาหารเช้าจึงเป็นเสมือนกับการเติมพลังงานให้กับร่างกายให้พร้อมที่จะ
รับมือกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังจะเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายด้วยอีกทางหนึ่ง


รู้กันอย่างนี้แล้วคุณๆ จะใจดำไม่ให้เวลากับอาหารมื้อเช้ากันเชียวหรือ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 17:00:09 น.
Counter : 1048 Pageviews.  

ประโยชน์ของการเคี้ยวอาหารให้ช้าลง


ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ สสส. และ
วิชาการดอทคอม
www.thaihealth.or.th






         
เชื่อได้ว่าคงจะมีน้อยคนนักที่นั่งนับการเคี้ยวอาหารแต่ละคำที่กินในแต่ละ
มื้อ แต่การเคี้ยวอาหารให้มากครั้งก่อนกลืน
มีผลการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า เป็นการช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง
ซึ่งช่วยให้สุขภาพดี และมีอายุยืนยาว

         
นอกจากนี้การเคี้ยวให้ช้าลงยังมีผลต่อการทำงานของสมองในหลายๆ ด้าน อีกด้วย
เนื่องจากการเคี้ยวอาหารจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายและต่อมใต้หู  ให้
หลั่งฮอร์โมนออกมา ขณะเดียวกันก็ยังช่วยกระตุ้นพลังแห่งการขบคิดและสมาธิ
ซึ่งตรงข้ามกับผู้ที่เคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวเร็วไป
สมองก็จะอ่อนแอด้วย

สำหรับประโยชน์
จากการเคี้ยวอาหารให้ช้าลง จะมีผลต่อดีสมองและร่างกาย ดังนี้

- การเคี้ยวอาหาร 30 ครั้ง
ในแต่ละมื้อเป็นอย่างน้อยจะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการอารมณ์
หงุดหงิด เครียด และโมโหง่าย

-
การเคี้ยวอาหาร 50 ครั้ง
จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดความอ้วนได้
เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่มากเกินความจำเป็นดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย


-
การเคี้ยวอาหาร 60 ครั้ง

เหมาะสำหรับการเคี้ยวอาหารที่มีกากไยมากเกินไป ช่วยลดอาการท้องผูก
การทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- การเคี้ยวอาหาร 80 ครั้ง
ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น มีความจำดีขึ้น
สามารถจดจำและจำแนกรสชาติของอาหารทั้งจากธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษ
ต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

-
การเคี้ยวอาหาร 100 ครั้ง
ทำให้คุณจัดการแก้ปัญหาต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว สงบ เยือกเย็น กินน้อยลง แต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก
อีกทั้งช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ

- การเคี้ยวอาหาร 150 ครั้ง ระบบการทำงานของกระเพาะ
และลำไส้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ

- การเคี้ยวอาหาร 200 ครั้ง ต่ออาหาร 1
คำได้ทุกมื้อ จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง
และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น 
อย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ อย่างการเคี้ยวอาหาร
เพราะนอกจากสมองดีแล้วสุขภาพยังดีด้วยค่ะ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 16:58:41 น.
Counter : 803 Pageviews.  

สุดยอด 20 อาหารล้างพิษ


คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่า”อาหาร”เป็นยาที่วิเศษที่สุด 
เพราะเป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ใช่ว่าต้องเป็น
อาหารที่มีราคาแพงอย่างเป๋าฮื้อ หูฉลาม รังนก
หรือของหายากอย่างดีหมีเท่านั้น ถึงจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้
เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าอาหารที่เราหาได้ตามท้องตลาดในชีวิตประจำวันก็มี
ประโยชน์ในตัวไม่ใช่น้อย

 
ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ตับ
ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ
รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
ซึ่งสารพิษต่างๆที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ
สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น

คราว
นี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง




          เริ่มจาก ลำดับที่ 20 สาหร่าย
พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill
University ที่ Montreal
แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย

         
ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้
ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น
และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย
นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก





19.
หัวหอม ประกอบ
ไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด
และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ
นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ
โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้
และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่





18.
มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ
มีวิตามินซีสูง
น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษ
และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง
ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย





17. เมล็ดแฟลกซ์
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง
ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น






16. กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาด
แบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดิน ปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ
ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้





15.
ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า
การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้
เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยา
แก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
และลดอาการอักเสบ

โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ
ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้
ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง
ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น






14. พืชตระกูลถั่ว
(เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
และถั่วขาว)
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่
ไม่ได้กิน
และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟ
เบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้
ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย






13. ขึ้นฉ่าย
ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือด
และช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ
หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า
เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่
ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง
และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน
บุหรี่ด้วย





12.
แครอท
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and
Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ
และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน
สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง
ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ
และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง
และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น





 
11. มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท
ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก
สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย
ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม
แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่
จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน

มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์
ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว
(ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย
ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง
จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย





10.
ส้มโอ
หรือเกรปฟรุต
เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก
สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต
สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด
นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ
ร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน
สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย






9. กระเทียม

จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย
นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส
โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้
ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต
นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น
แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป
ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย





8.
บลูเบอร์รี่

เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอด
อาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ
ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง
สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ





7.
กะหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (
Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป
ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย
ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร
รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ
ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม
ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น
ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย





6. บีตรูต ผัก
สีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมี คอล
( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด
ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด
ตับและระบบน้ำเหลือง
อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น
จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น
ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือด
ให้สมดุลด้วย






5. อะโวคาโด
อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป
ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน(Glutathione )
ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น
ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด
และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan )
พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่
ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์





4.
ตำลึง
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้
ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ
แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ
และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ
ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย





3.
แอปเปิ้ล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง
เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่
ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง
นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง
ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร
ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้






2. อัลมอนด์
เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง
มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน
แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควร
กินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (
Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก
ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า
ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น
ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก





 
1. กล้วย
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่
กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น
โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว
หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว
หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก
ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

นี่คือความสุดยอดของบ้านเมือง
เรา…..ซึ่งบ้านเมืองอื่น..แอบอิจฉา



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก woment health






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 16:57:05 น.
Counter : 1013 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.