1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
[Joker] เมื่อหมดสิ้นความหวังกับสังคมแล้ว ดิสโทเปียย่อมเป็นสิ่งสวยงาม
ช่วงนี้คนอยู่บ้านกัน จะอัพบล็อกท่องเที่ยว ก็ไปเที่ยวตามไม่ได้อยู่ดี มาอัพบล็อกภาพยนตร์พักใหญ่ๆ ละกันครับ ต่อจากเมื่อเดือนก่อนได้รีวิวเรื่อง Parasite กันไปแล้ว ตัวหนังสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากความเหลื่อมล้ำนั้น และโอกาสในการไต่ลำดับชั้นทางสังคม บทหลักของหนังอยู่ที่ครอบครัวคนรวยและคนจน วันนี้มาดูหนังอีกเรื่องที่ความเหลื่อมล้ำส่งผลสะท้อนให้เกิดความรุนแรงระดับมหภาค หนังสุดมืดหม่นแห่งปี 2019 "Joker" นั่นเอง Joker (2019) เป็นภาพยนตร์ที่นำโครงเรื่องจากแบทแมนคอมิคส์ยอดฮิตของอเมริกา โดยครั้งนี้เปลี่ยนโฟกัสจากการกำจัดเหล่าร้ายของแบทแมน มาที่กำเนิดตัวละครคู่ปรับของแบทแมนอย่างโจ๊กเกอร์กันบ้าง ซึ่งโจ๊กเกอร์หนนี้รับบทโดยวาคีน ฟินิกซ์ เป็นบทที่เล่นยากเพราะต้องแสดงตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นตัวตลกน่าสงสารที่คนดูพากันเอาใจช่วย ไปจนถึงจุดที่เขากลายเป็นฆาตรกรวิปริต แต่เฮียฟินิกซ์ก็ตีโจทย์แตกกระจุยจนรางวัลออสการ์สาขาดารานำชายปีนี้แทบไม่ต้องลุ้นอะไรกันเลย เนื่องจากจักรวาลของคอมิคส์อเมริกาอย่างมาร์เวลหรือ DC จะแตกแขนงออกไปโดยเนื้อเรื่องจะมีทั้งที่เกี่ยว (เช่น trilogy ของแบทแมนโนแลนด์ หรือจักรวาลมาร์เวลในหนังโรง) และไม่เกี่ยวข้องกัน เรื่อง Joker นี้ก็เป็นหนังโดดหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังแบทแมนภาคอื่นๆ ชื่อจริงและปูมหลังของโจ๊กเกอร์ใน DC ไม่ได้เปิดเผยมาอย่างเป็นทางการ สำหรับโจ๊กเกอร์ในภาพยนตร์นี้ให้มีชื่อจริงว่าอาร์เธอร์ เฟล็กซ์ ฉากของเรื่องเกิดขึ้นในปี 1981 ตัวเอกอาร์เธอร์ เฟล็กซ์ เป็นตัวตลกรับจ้างที่ไม่ประสบความสำเร็จ รายได้จากการจ้างไปแสดงหรือช่วยโฆษณาตามร้านต่างๆ แทบไม่พอยาไส้ เขาต้องใช้ชีวิตในสังคมเลวทรามของเมืองก๊อตแธมที่พวกอันธพาลจะไล่กระทืบตัวตลกด้วยความหมั่นไส้ก็ไม่มีใครช่วยเหลืออะไร แต่การเป็นนักแสดงตลกเป็นอาชีพที่อาร์เธอร์ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก เขาพยายามจดมุกตลกต่างๆที่คิดได้ลงสมุดโน้ตประจำตัว และหวังว่าสักวันเขาจะได้รับการยอมรับบนเวที สิ่งที่ขัดขวางการใช้ชีวิตของอาร์เธอร์อย่างถึงที่สุดคืออาการป่วยทางสมอง ทำให้บางทีเขาจะหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่สัมพันธ์กับอารมณ์ บางทีคนก็หงุดหงิดว่ามันขำอะไรฟะ หรือตอนขึ้นเวทีไปเล่นตลกแล้วดันขำขึ้นมา คนดูก็เข้าใจว่ามัวแต่ฮามุกตัวเองอีก แม้จะพกบัตรผู้ป่วยเพื่อแสดงให้คนอื่นดูว่าเขาไม่ได้ตั้งใจขำ แต่บางครั้งมันก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ "ผมไม่รู้ว่าเป็นแค่ผม หรือสังคมมันกำลังป่วยหนักขึ้นทุกวัน" "สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของโรคนี้คือคนรอบข้างคาดหวังให้เราทำเหมือนตัวเองไม่ได้ป่วย" โชคดีของอาร์เธอร์ที่เขายังมีหลายสิ่งให้ยึดเหนี่ยว ทั้งการได้ทำอาชีพที่ตัวเองรัก มีแม่ที่ต้องดูแล สาวข้างห้องที่เข้ากับเขาได้ดี และมีนักจิตบำบัดเป็นสวัสดิการสังคมให้เขาได้พูดคุยด้วยแต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป สิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเขาก็ค่อยๆ พังทลายลงไปทีละอย่าง... เมื่อรู้ข่าวว่าอาร์เธอร์ถูกอันธพาลไล่กระทืบ แรนเดลเพื่อนในคณะตลกเดียวกันก็เอาปืนมาให้พกไว้ป้องกันตัว แต่ปืนเจ้าปัญหานี้เองที่ทำให้เขาต้องตกงานเพราะมันดันหล่นลงมาตอนที่เขากำลังแสดงตลกอยู่ในโรงพยาบาลเด็ก แถมแรนเดลยังซัดทอดว่าอาร์เธอร์เป็นคนมาขอซื้อปืนกับเขาอีก ชีวิตของอาร์เธอร์เริ่มหันเข้าด้านมืด เมื่อเขาต้องเผชิญกับอันธพาลในรถไฟใต้ดินที่แสนกวนตีน 3 คน พวกมันเข้ามารุมกระทืบอาร์เธอร์เพราะหงุดหงิดเสียงหัวเราะ จนอาร์เธอร์ต้องชักปืนออกมาส่งพวกมันไปนรกอเวจี คดีนี้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วเมืองก๊อตแธม เพราะสามอันธพาลเป็นลูกจ้างของเวยน์เอนเตอร์ไพรซ์ บริษัทยักษ์ใหญ่ของโธมัส เวยน์ ผู้กำลังจะลงชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี เขาดูถูกคนจน ทำให้ถูกต่อต้านจากชนชั้นล่างมาก เบาะแสของคดีนี้มีแค่คำบอกเล่าว่าฆาตกรใส่หน้ากากตัวตลก (ที่จริงเป็นเมคอัพ) ผู้ประท้วงหลายคนสะใจกับการกระทำของตัวตลกฆาตกรนี้ จึงสวมหน้ากากตัวตลกเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง ส่วนอาร์เธอร์ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาคือฆาตกรตัวจริงนั้น การฆ่าคนเป็นครั้งแรกกลับทำให้เขาได้รู้สึกปลดปล่อย ยิ่งกว่าการทำตัวอยู่ในกรอบคุณธรรมของสังคม และตราบใดที่ตำรวจยังสาวไม่ถึงตัวเขาก็ยังใช้ชีวิตได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาร์เธอร์เคยไปหาจิตแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาอาการเป็นระยะๆ แต่ครั้งสุดท้ายเขาต้องรับข่าวร้ายเมื่อรัฐบาลตัดสวัสดิการนี้ออก แม้ที่ผ่านมามันไม่ค่อยได้ช่วยอะไร แต่อย่างน้อยอาร์เธอร์ก็ยังมีคนให้ระบายความในใจ ยังมียาให้กินเพื่อระงับอาการ แต่หลังจากที่รัฐบาลทอดทิ้งกลุ่มคนอย่างเขาไปโดยสมบูรณ์แล้ว จิตใจของอาร์เธอร์ก็ดิ่งลงแบบไม่มีใครช่วยฉุดขึ้นมาอีก อาร์เธอร์ได้ค้นพบความลับเรื่องชาติกำเนิดของเขาโดยบังเอิญ แม่ของเขาอ้างว่าเคยคบกับโธมัส เวยน์ นั่นคือเขาเป็นโอรสลับ เอ้ย! (ติดจากบล็อกที่แล้ว) ...เป็นลูกลับๆ ของเวยน์ด้วย เขาไม่ได้คาดหวังทรัพย์สมบัติของเศรษฐีตระกูลเวยน์ สิ่งที่ต้องการมีเพียงความรักจากพ่อที่ไม่เคยได้พบ อาร์เธอร์เดินทางไปถึงบ้านเวยน์และได้พบพูดคุยกับบรู๊ซ ลูกชายของโธมัส แต่ก็ถูกพ่อบ้านอัลเฟรดไล่กลับไปเสียก่อน แม้อาร์เธอร์จะพยายามบอกว่าแม่ของเขาคือเพนนี เฟล็กซ์ แต่เมื่อได้ยินชื่อนี้พ่อบ้านรู้ทันทีว่ามันเป็นชื่อที่ไม่ควรพูดถึงอาร์เธอร์ปลอมตัวเข้ามาในโรงภาพยนตร์จนได้พบกับโธมัส เวยน์ตัวจริง แต่โธมัสไม่ยอมรับว่าเขามีความสัมพันธ์กับเพนนี นั่นเป็นสิ่งที่แม่ของอาร์เธอร์ทึกทักขึ้นมาเอง อาร์เธอร์พยายามไปค้นประวัติของเพนนีในแฟ้มข้อมูลผู้ป่วยของโรงพยาบาลจิตเวชอาร์คัมก็พบว่า เพนนีเฟล็กซ์มีอาการทางจิต เป็นโรคหลงตัวเองอย่างรุนแรง เธอรับอาร์เธอร์เป็นบุตรบุญธรรมเพื่อชดเชยความผิดหวังที่ไม่ได้ลงเอยกับโธมัส และทั้งเธอและสามีต่างทุบตีอาร์เธอร์ แต่เธอได้เลิกกับสามีและการถูกทุบตีอย่างต่อเนื่องทำให้อาร์เธอร์มีอาการทางประสาทจนหัวเราะไม่หยุดแถมลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว ความจริงที่ค้นพบนี้ทำให้เขาโกรธแค้นแม่มาก ตัวการที่ทำให้ชีวิตเขาพังพินาศตั้งแต่แรกกลับเป็นผู้หญิงคนที่เขาดูแลมาตลอด อาร์เธอร์จึงฆ่าแม่ที่กำลังล้มป่วยนอนอยู่ในโรงพยาบาล โดยเอาหมอนปิดหน้าให้ขาดอากาศ ตอนวาคีน ฟินิกซ์ รับบทคอมโมดัส ตัวร้ายในเรื่อง Gladiator ก็ฆ่าพ่อ (จักรพรรดิมาร์คัส ออเรเลียส) ด้วยหมอนเช่นเดียวกัน ถ้ามีฉากแบบนี้ในเรื่องต่อไปอีก ฟินิกซ์คงได้รับสมญานักฆ่าบุพการีด้วยหมอน อันที่จริงเรื่องความเป็นมาเป็นไปของเพนนีก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเธอคิดไปเองจริงๆ หรือเธอมีความสัมพันธ์กับโธมัสจริง แต่โธมัสใช้อำนาจปิดข่าวและปลอมแปลงเอกสาร ช่วงท้ายเรื่องอาร์เธอร์พบจดหมายจากโธมัสที่เขียนถึงเพนนีว่า "ผมรักรอยยิ้มคุณ" ก็ชวนให้คนดูสงสัยเข้าไปอีก แต่เรื่องนั้นคงไม่สำคัญอะไรกับอาร์เธอร์แล้ว เขาเคยถูกใจโซฟี ดูมอนด์ สาวข้างห้องที่ดูจะเข้ากับเขาได้ดี เขาตามเธอไปที่ทำงาน ตอนแม่ป่วยทั้งสองคนก็มาเฝ้าเธอที่โรงพยาบาลด้วยกัน ตอนที่เขาขึ้นเวทีเล่นตลก แม้อาการหัวเราะจะทำให้มุกตลกของเขากำลังจะพัง แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าให้กำลังใจจากโซฟีแล้ว อาร์เธอร์ก็ทำให้มันผ่านไปได้โดยดี ...นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของอาร์เธอร์ แต่วันหนึ่งหลังจากอาร์เธอร์พบเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับแม่มา เขากลับมารอเธอที่ห้อง เผื่อจะมีคนช่วยปลอบประโลมจิตใจที่กำลังจะพัง โซฟีเข้ามาในห้องแล้วตกใจที่พบเขานั่งอยู่ บทพูดของเธอที่เหมือนไม่รู้จักอาร์เธอร์นอกจากรู้แค่ว่าอยู่ห้องข้างๆ ทำให้อาร์เธอร์บรรลุความจริงว่าความสัมพันธ์ของเขากับเธอที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นจริง เป็นแค่ภาพลวงตาที่อาร์เธอร์สร้างขึ้นมาเยียวยาจิตใจของตนเองหลังจากนั้นอาร์เธอร์ก็เข้าสู่ความบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์ อาร์เธอร์ไปฆ่าแม่จอมมโนที่โรงพยาบาล ฆ่าแรนเดลไอ้เพื่อนทรยศ และตัวตนของเขาจะเป็นที่เล่าขานในวงกว้างเมื่อเขาถูกเชิญไปออกรายการสด Live With Murray Franklin ของเมอเรย์ แฟลงคลิน ที่โด่งดัง (รับบทโดยโรเบิร์ต เดอ นีโร) ก่อนวิกลจริต อารเธอร์และแม่ชอบดูรายการของเมอร์เรย์มาก เขาเป็นพิธีกรตลกชื่อดัง และเป็นเป้าหมายสูงสุดที่อาร์เธอร์อยากเป็น ถึงขนาดเคยจินตนาการว่าตัวเองในฐานะผู้ชม ถูกเมอร์เรย์เรียกไปยืนข้างเขาบนเวทีด้วยความประทับใจที่เขาดูแลแม่ "ผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้มีลูกชายเหมือนอย่างคุณ" ...ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่จินตนาการของอาร์เธอร์อีกเช่นกัน ถึงกระนั้นเขาก็มีโอกาสได้ยืนเคียงข้างเมอเรย์จริงๆ เมื่อเมอเรย์เอาเทปที่เขาไปแสดงตลกและหลุดขำออกมาอย่างน่าอายมาประจานในทีวี แต่นั่นกลับทำให้ผู้ชมรู้สึกสนใจตลกตกอับคนนี้ จนเมอเรย์ต้องเชิญเขาไปออกรายการ ที่ผ่านมาอาร์เธอร์พยายามจดมุกตลกไว้ในสมุดโน้ตของเขา แต่ส่วนใหญ่สิ่งที่เขียนมันไม่ใช่มุกตลกเลย แม้พยายามจะเป็นคนที่มอบความสุขให้คนอื่น แต่จิตใจที่ย่ำแย่ของอาร์เธอร์ทำให้ความหดหู่มันเด่นชัดทะลุเมคอัพตัวตลกออกมา "ตอนเด็กๆ ผมไม่ชอบไปโรงเรียน แม่บอกผมว่าถ้าไม่เรียนแล้วจะไปทำอะไร ผมบอกว่าอยากเป็นตลก ตอนนั้นใครได้ยินก็พากันหัวเราะ แต่พอขึ้นมาเล่นตลกจริงๆ ก็ไม่มีใครหัวเราะแล้ว..." อาร์เธอร์ตั้งใจเล่าเป็นมุกแต่ฟังแล้วก็หดหู่นะครับ การที่บุคคลที่เขาเอาเป็นเป้าหมาย กลับย่ำยีความฝันของอาร์เธอร์โดยไม่มีชิ้นดีทำให้เขาโกรธแค้น แต่ก็รับปากจะไปออกรายการให้ เขาให้เมอเรย์เรียกแทนตัวเขาว่า "โจ๊กเกอร์" บทสัมภาษณ์โจ๊กเกอร์ออกรายการสดที่ควรจะสนุกเฮฮากลับตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อให้เล่ามุกขำๆ เขากลับเล่าโศกนาฎกรรม แถมเขายังประกาศกลางรายการว่าเขาเองที่เป็นคนฆ่าไอ้สามคนในรถไฟใต้ดินนั้น บทสัมภาษณ์โจ๊กเกอร์ในตอนนี้คือ message หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยครับ"ชีวิตผมก็เป็นแค่เรื่องตลกอยู่แล้ว การฆ่าไอ้สามคนนั้นก็เป็นเรื่องตลก และผมเบื่อที่จะต้องแกล้งทำเหมือนมันไม่ตลกอีกแล้ว เรื่องตลกมันเป็นนามธรรมนะเมอเรย์ พวกแกทุกคนอวดดีเหลือเกินที่คอยมาตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด เหมือนกับตอนที่ตัดสินว่าเรื่องไหนตลก-ไม่ตลก ผมทำเป็นเชิงสัญลักษณ์เพื่อปลุกกระแสสังคมหรือเปล่าน่ะเหรอ? ผมก็แค่ฆ่าไอ้พวกนั้นเพราะไอ้พวกนั้นมันเลว ทุกวันนี้ทุกคนเลวร้ายกันไปหมด และมันก็ทำให้ผู้คนเป็นบ้า ทำไมทุกคนต้องสนใจเรื่องของไอ้สามตัวนี้กันนัก ถ้าเป็นผมนอนตายอยู่ข้างทางพวกคุณคงเดินข้ามไปเลยใช่ไหมล่ะ ผมเดินผ่านพวกคุณทุกวันก็ไม่เห็นจะมีใครสนใจผม แต่ทีไอ้สามตัวนี้ทุกคนกลับสนใจเพราะโธมัส เวยน์ คร่ำครวญถึงพวกมันออกทีวี! คุณก็อยู่แต่ในสตูดิโอ ไม่รู้หรือไงว่าข้างนอกบ้าคลั่งกันขนาดไหน ทุกคนกรีดร้องใส่กัน ตะโกนใส่กัน ไม่มีใครคิดถึงคนอื่น คิดว่าโธมัส เวยน์เคยสนใจคนอย่างผมไหม? มันไม่เคยเห็นใจคนอื่นนอกจากตัวเองหรอก! มันคิดว่าทุกคนจะต้องยอมมันเหมือนเด็กเชื่องๆ โดยไม่คิดว่าสักวันพวกเราจะเป็นบ้าขึ้นมา!" "และคุณก็เป็นคนเลวนะเมอเรย์" (ที่ตั้งใจเอาเขามาประจานออกทีวี) พูดจบโจ๊กเกอร์ก็ฝากกระสุนใส่กบาลของเมอเรย์ออกรายการสด จนห้องส่งเกิดความโกลาหลขึ้น การถ่ายฉากฆ่าคนออกอากาศก็มีอิมแพ็คทำให้คนทั้งเมืองที่ร่างกายต้องการแก๊สน้ำตาอยู่แล้วเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา โจ๊กเกอร์ถูกตำรวจหิ้วขึ้นรถไป แต่กลุ่มผู้ประท้วงก็ขับรถชนรถตำรวจเอาตัวเขาออกมาได้ เอ็นทรี่ Parasite เราได้พูดถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำกันไปแล้ว ทบทวนแค่ประโยคเดียวพอนะครับ --> ความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาหลักในหลายประเทศเกิดจากการที่รัฐจัดสรรทรัพยากรให้กลุ่มบุคคลต่างๆ อย่างไม่เหมาะสม มากกว่าเกิดจากตัวบุคคลนั้นเอง ในเรื่อง Parasite เป็นความเหลื่อมล้ำที่บ้านคนจนมองบ้านคนรวย แต่ในเรื่อง Joker นี้ความเหลื่อมล้ำที่ไปสุดปลายทางมันทำให้เกิดการขยับเขยื้อนบางอย่างในสังคมแล้ว แม้คนที่อยู่ชั้นบนของบันไดทางเศรษฐกิจจะตักตวงประโยชน์จากความเหลื่อมล้ำได้มาก เพราะตัวเองถือครองทุน และเข้าถึงสวัสดิการและผลประโยชน์ต่างๆได้ง่ายกว่า แต่ประวัติศาสตร์ก็ให้บทเรียนหลายครั้งว่าความเหลื่อมล้ำที่มากเกินไปย่อมนำความพินาศมาสู่สังคม นักวิชาการหลายท่านแม้จะเป็นคนมีกินมีใช้แต่ไม่ได้ละเลยที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ นอกจากคุณธรรมแล้วหลายท่านก็ออกตัวชัดเจนว่า "ผมเห็นแก่ตัว อยากจะมีบั้นปลายชีวิตในสังคมที่สงบสุข เพราะการปฏิวัติชนชั้นจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่มีราคาแพงเกินไปเสมอ" การปฏิวัติชนชั้นอย่างที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสและรัสเซียได้ลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงไป แต่การเติบโตต่างๆ ก็หยุดชะงักไปอีกหลายปี ไม่มีใครได้ประโยชน์จากการปฏิวัติแต่สิ่งที่แน่นอนก็คือชนชั้นบนต้องรับความเสียหายที่มากกว่า และมันเป็นสิ่งที่ชนชั้นล่างซึ่งเป็นแกนนำในการปฏิวัติต้องการให้เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดคือต้องการฉุดคนข้างบนลงมารับรู้ึความยากลำบากแบบเดียวกับพวกเขาด้วย อีกทั้งเมื่อสังคมกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ชนชั้นบนที่ถูกบั่นทอนอำนาจลงไปย่อมสูบกินทรัพยากรน้อยลง ทำให้ส่วนแบ่งที่คนอื่นจะได้รับมีมากขึ้น ตอนนี้ผู้ประท้วงก่อเหตุลุกลามไปทั่ว เมืองก๊อตแธมตกอยู่ในกองเพลิง โจ๊กเกอร์ยินดีเป็นอย่างยิ่งกับภาพที่เห็น เมื่อหมดสิ้นความหวังกับสังคมแล้ว ดิสโทเปียย่อมเป็นสิ่งสวยงาม โลกแบบนี้มันก็ยังดีกว่าการนั่งจมอยู่ใต้สุดของห่วงโซ่แห่งโศกนาฏกรรมแบบไร้ทางต่อสู้ โจ๊กเกอร์นำเลือดที่เปรอะอยู่เต็มปากลากออกมาเป็นรอยยิ้ม แล้ววายร้ายอันดับหนึ่งแห่งซีรี่ส์แบทแมน ก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกด้านหนึ่งโธมัส เวยน์ และมาร์ธา (ภรรยา) พาบรู๊ซ เวยน์ (ลูกชาย) หนีออกจากโรงภาพยนตร์เข้ามายังตรอกแห่งหนึ่ง แต่ก็ถูกหนึ่งในผู้ประท้วงฆ่าตาย (หลายเรื่องในจักรวาล DC ให้คนร้ายคนนี้มีชื่อว่าโจ ชิล) ฉากกระชากสร้อยมาร์ธ่าจนเม็ดไข่มุกกระจัดกระจายเป็นภาพจำที่ฝังอยู่ในหัวของบรู๊ซ เวยน์ มาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วแบทแมนก็ถือกำเนิดขึ้นจากจุดนั้น แม้ว่าเวอร์ชั่นนี้อายุของแบทแมนกับโจ๊กเกอร์จะห่างกันสัก 40 ปีได้ หลายคนก็อธิบายว่ากว่าแบทแมนจะพร้อมออกปราบเหล่าร้าย โจ๊กเกอร์ก็คงสืบทอดกันไปหลายรุ่นแล้ว มีหลายคนกังวลว่าภาพยนตร์ที่กดประสาทเช่นนี้จะส่งผลร้ายกับสังคมหรือเชิดชูอาชญากร หากใครยังจำกันได้ (หรือใครต้องการจะลืมก็ขออภัยด้วยนะครับ) ต้นปีมีคดีสะเทือนขวัญที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างคนร้ายชิงทองที่ลพบุรี หรือจ่าคลั่งขโมยอาวุธจากในคลังมากราดยิงคนที่โคราช ทั้งสองคดีมีการฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นไปตามความตั้งใจโดยเฉพาะกรณีจ่าคลั่งที่ต้องการให้เรื่องอื้อฉาวในกองทัพเผยแพร่ออกไปผ่านการพูดถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ แม้จะมีเหตุผลในการก่อความรุนแรง แต่สิ่งที่ก่อขึ้นก็เลวร้ายเกินกว่าที่จะอภัยให้ได้ เราอาจระลึกถึงผู้สูญเสีย หรือไล่ตามหาความจริงของเรื่องอื้อฉาวที่ถูกเปิดโปงออกมา แต่เราไม่ควรมีพื้นที่ให้คนร้ายได้เป็นที่จดจำ คนพวกนี้ต้องการเป็นที่จดจำ หรือต้องการให้ message ของตนเองแพร่กระจายออกไป สิ่งที่สังคมควรทำเป็นอย่างยิ่งคือการไม่กล่าวถึงเรื่องราวของพวกมัน ในปี พ.ศ.2562 มีคดีคนร้ายเหยียดผิวและต่อต้านคนอพยพไล่กราดยิงคนในมัสยิดเมืองไครส์เชิร์ต ประเทศนิวซีแลนด์ จาซินดาร์ อาเดน นายกหญิงของนิวซีแลนด์ได้พูดถึงกรณีนี้ว่า "เขาคือผู้ก่อการร้าย เขาคืออาชญากร เขาคือพวกสุดโต่ง แต่เมื่อฉันพูดถึงเขา เขาจะไร้นาม เขาต้องการมีชื่อเสียงในทางลบ แต่เราชาวนิวซีแลนด์จะไม่ให้สิ่งนั้นแก่เขา แม้แต่จะเอ่ยชื่อของเขา" คนฆ่าจอห์น เลนนอน คนฆ่าอับราฮัม ลินคอล์น คนฆ่ามหาตมะ คานธี ทุกคนล้วนทำลายชีวิตของบุคคลที่สร้างสิ่งยิ่งใหญ่ให้โลกใบนี้เพียงเพื่อต้องการเป็นที่กล่าวขาน เราโกรธแค้นในโศกนาฎกรรมที่คนเหล่านี้ก่อขึ้น แต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการไม่กล่าวถึง เพื่อไม่ให้โลกจดจำคนพวกนี้ เทียบกันแล้วตัวละครอย่างโจ๊กเกอร์ยังมีเหตุผลในการเลือกฆ่าแต่ละคนที่ดีกว่ามาก (ฆ่าแรนเดลที่หักหลัง แต่ไม่ฆ่าตัวตลกแคระเพราะดีกับเขามาตลอด, ฆ่าเมอเรย์ที่เอาเขามาประจานออกทีวี แต่ไม่ฆ่าผู้ร่วมรายการคนอื่น) ด้วยชีวิตที่น่าสงสาร และความพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะฟันฝ่าความยากลำบากเพื่อที่จะใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ทำให้คนดูพากันเอาใจช่วยอาร์เธอร์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง และยอมรับแม้เขาจะกลายเป็นโจ๊กเกอร์ไปแล้ว ทั้งนี้บทสรุปของหนังเรื่องนี้ไม่ได้บอกว่าความรุนแรงเป็นทางออกของปัญหานะครับ แต่ต้องการให้ทุกคนร่วมมือกันช่วยเหลือดูแลคนด้อยโอกาส เพื่อไม่ให้สังคมให้กำเนิดโจ๊กเกอร์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นขอเชิญทุกท่านหากมีโอกาสพบเจอคนอย่างอาร์เธอร์เฟล็กซ์ ก็ช่วยกันเยียวยาจิตใจเขา ให้โอกาสเขา มอบความหวังให้เขา เพื่อไม่ให้สังคมเรามันไปถึงวันที่เกิดการปฏิวัติทางชนชั้นนะครับ เจ้าของบล็อกก็เป็นคนเห็นแก่ตัวที่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายในสังคมที่สงบสุขเช่นกัน เป็นหนังอีกเรื่องที่ชอบถึงขีดสุดในรอบปีที่แล้วครับ เอาคะแนนไป 5 บัตรผู้ป่วย ขอปิดท้ายบล็อกด้วยเพลง That's Life ของแฟรงก์ ซีนาตร้า ที่เลือกมาประกอบตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ เป็นเพลงที่ช่างเข้ากับเรื่องราวของ Joker เสียจริง (เพลงปี 1966 นะครับ เก่ากว่าเหตุการณ์ในเรื่องไปอีก) VIDEO
That's life (That's life), that's what all the people say You're riding high in April, shot down in May But I know I'm gonna change that tune When I'm back on top, back on top in June I said, that's life (That's life), and as funny as it may seem Some people get their kicks, stompin' on a dream But I don't let it, let it get me down 'Cause this fine old world it keeps spinning around I've been a puppet, a pauper, a pirate, a poet, a pawn and a king I've been up and down and over and out, and I know one thing Each time I find myself flat on my face I pick myself up and get back in the race That's life (That's life), I tell ya, I can't deny it I thought of quitting, baby But my heart just ain't gonna buy it And if I didn't think it was worth one single try I'd jump right on a big bird and then I'd fly I've been a puppet, a pauper, a pirate, a poet, a pawn and a king I've been up and down and over and out, and I know one thing Each time I find myself laying flat on my face I just pick myself up and get back in the race
Create Date : 12 เมษายน 2563
Last Update : 22 เมษายน 2563 22:01:30 น.
41 comments
Counter : 2782 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณTui Laksi , คุณThe Kop Civil , คุณกะว่าก๋า , คุณhaiku , คุณtoor36 , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณเริงฤดีนะ , คุณkae+aoe , คุณทนายอ้วน , คุณSweet_pills , คุณmcayenne94 , คุณที่เห็นและเป็นมา , คุณสองแผ่นดิน , คุณจันทราน็อคเทิร์น , คุณmariabamboo , คุณอุ้มสี , คุณtuk-tuk@korat , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณ**mp5** , คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก
โดย: Tui Laksi วันที่: 12 เมษายน 2563 เวลา:21:35:28 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2563 เวลา:22:32:43 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 12 เมษายน 2563 เวลา:23:53:23 น.
โดย: ไวน์กับสายน้ำ IP: 124.120.207.125 วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:4:57:10 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:6:35:57 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:9:02:44 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:9:06:44 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:15:57:25 น.
โดย: Sweet_pills วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:18:05:18 น.
โดย: mcayenne94 วันที่: 13 เมษายน 2563 เวลา:18:46:44 น.
โดย: ชีริว วันที่: 14 เมษายน 2563 เวลา:11:04:12 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 14 เมษายน 2563 เวลา:12:46:59 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 เมษายน 2563 เวลา:21:16:02 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 เมษายน 2563 เวลา:22:59:19 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 14 เมษายน 2563 เวลา:23:22:33 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2563 เวลา:6:13:38 น.
โดย: Sweet_pills วันที่: 16 เมษายน 2563 เวลา:0:29:40 น.
โดย: mariabamboo วันที่: 16 เมษายน 2563 เวลา:21:24:09 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 17 เมษายน 2563 เวลา:10:44:25 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 17 เมษายน 2563 เวลา:20:28:32 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 เมษายน 2563 เวลา:21:29:06 น.
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 17 เมษายน 2563 เวลา:22:03:05 น.
โดย: Sweet_pills วันที่: 17 เมษายน 2563 เวลา:23:36:03 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 เมษายน 2563 เวลา:6:19:23 น.
โดย: **mp5** วันที่: 19 เมษายน 2563 เวลา:16:33:45 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 เมษายน 2563 เวลา:22:05:40 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 20 เมษายน 2563 เวลา:22:53:43 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 21 เมษายน 2563 เวลา:1:05:48 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 เมษายน 2563 เวลา:6:53:13 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 22 เมษายน 2563 เวลา:10:46:29 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 22 เมษายน 2563 เวลา:10:51:35 น.
Location :
พระนครศรีอยุธยา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [? ]
เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนบอร์ด pantip มานาน เผ่าพันธุ์ : สัตว์มีกระดูกสันหลัง (ยาวมาก) อายุ : หลายขวบแล้ว สติปัญญา : หยุดการเจริญเติบโตเมื่อหลายปีก่อน