Texas Chainsaw * DeathNote 2 * Happy Feet ( 2006 ) * Bashing (2005)
The Texas Chainsaw Massacre : The Beginning (2006) ภาคเริ่มต้น แต่ทำทีหลังของหนังสยองขวัญสั่นประสาทและกระตุกวิญญานข้างศีลธรรมให้หันมามองสามสี่ชีวิต ที่หลีเร้นสายตาผู้คนไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ แต่กลับตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางทุ่งหญ้าและป่ารกอย่างอนาจใจ เพราะ หนึ่งในนั้นได้ใช้ชีวิตด้วยความต้องการเติมเต็มความสมบูรณ์ของใบหน้าตน ด้วยการแล่เอาผิวหนังชั้นนอกของใครก็ตามที่หามาได้ แล้วนำมาเย็บติดกันให้เป็นราวหน้ากาก สวมปิดทับความเละเหลวที่ติดตัวเขามาแต่เกิด ช่วงเวลาที่ สงครามเวียดนามกำลังปะทุ (1959-1975) ในปี1969 , เอริค (Matthew Bomer) ผู้พี่และ ดีน ( Taylor Handley ) น้องชาย รวมทั้ง คริสซี่ ( Jordana Brewster ) และ บาร์ลี่ ( Diora Baird ) แฟนสาวของทั้งสอง ทั้งหมดกำลังใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจเป็นสัปดาห์สุดท้าย ก่อนที่ เอริคจะพาดีนกลับเข้าไปร่วมรบที่สงครามเวียดนามอีกครั้ง ขณะขับรถผ่านเมืองเทกซัส รถยนต์ก็เกิดอุบัติเหตุ คริสซี่ กระเด็นตกข้างทางเข้าไปในดงหญ้า ส่วนอีกสามคนได้รับบาดเจ็บและได้รับการช่วยเหลือ ( ! ) จาก ฮ้อยท์ (R. Lee Ermey) นายอำเภอ แต่ดูท่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะปกติ คริสซี่จึงไม่แสดงตัว ทั้งสามถูกพาไปบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังที่ โทมัส ( Andrew Bryniarski ) หนุ่มร่างใหญ่หลานชายนายฮ้อยทมิฬ กำลังรอหน้ากากอันใหม่เพื่อมาแทนผ้าพันแผลที่ชุ่มเน่าไปด้วยเลือดเกรอะกรังอันเดิม ทั้งสามตกอยู่ในวงล้อมของสิ่งมีชิวิตที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความเป็นคนอยู่น้อยมาก ทั้ง นายฮ้อย , โทมัส ป้า ลูด้า เม (Marietta Marich) และ ลุงมอนตี้ (Terrence Evans) แต่ก็ยังพอมีหวังรอดเมื่อ คริสตี้ ได้ตามมาช่วยเหลืออย่างระแวดระวัง หนังให้เหตุผลของการกำเนิดอย่างผิดปกติของโทมัส ได้อย่างน่าฟัง และมีความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเก็บกักความกดดันและเคียดแค้น อันเกิดจากผู้คนรอบข้างและหน้าที่การงานจนเกินขีด แล้วระเบิดมันออกมาในวันหนึ่ง และการดำเนินเรื่องก็บีบหัวใจตื่นเต้นระทึกตึกๆอยู่ตลอดเวลา ไม่ผิดหวังแน่ๆสำหรับผู้ที่อยากให้ใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม ถ้าไม่นับรวมฉากแหวะ ฉากเฉือน ฉากปาด ฉากเลื่อย ละก้อ หนังมีฉากบรรยากาศ และมุมกล้องที่สวยมากๆ จัดองค์ประกอบของภาพได้สวยทีเดียว หนังเป็นผลงานการกำกับของ Jonathan Liebesman ที่เคยมีผลงานผ่านตาเราจากเรื่อง Darkness Falls (2003) * *
DeathNote 2 :: The Last Name (2006) หนังภาคต่อที่ขมวดจบลงเร็วกว่าการเป็นการ์ตูน ที่ยังต้องลุ้นกันอีกหลาย แต่การจบในครั้งนี้ ก็ดูไม่ขี้เหร่เท่าใด เพราะมันก็เป็นเหตุเป็นผลมาจากการเคี่ยวกรำอ่านสมองของกันอย่างหนัก ระหว่าง ยางามิ ไลท์ และ แอล ส่วนเนื้อเรื่องก็มีจุดที่แตกต่างจากการ์ตูนอยู่เยอะทีเดียวความต่อจากภาคที่แล้ว มิสะ อามาเนะ หรือ มิสะมิสะ (Erika Toda) นักร้องและนักแสดงสาววัยรุ่น จับพลัดจับผลูเก็บ เดธโน๊ตเล่มที่สองได้ โดนมี เรม ( Peter : ปีเตอร์ไหนเราก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าลุงแกเกิดปี 1952 นะเอ้อ..เสียงหนุ่มมากๆ ) เป็นยมทูตคอยติดตามผู้ครอบครองโน๊ต และเธอยอมแลกดวงตายมทูตกับอายุขัย แล้วจึงมาเจอ ไลท์ (Tatsuya Fujiwara) ซึ่งเธอก็รู้ได้ทันทีว่า ไลท์ คือ คิระ พร้อมกับตกหลุมรักไลท์ทันทีด้วยเหมือนกัน ไลท์เสนอตัวมาช่วยแผนกสืบสวนพิเศษที่กำลังไล่ล่าควาญหาตัว คิระ อย่างขมักเขม้น ร่วมกับ แอล (Ken'ichi Matsuyama) และ คุณโซอิชิโร่ (Takeshi Kaga) พ่อของไลท์หัวหน้าแผนก ไลท์ เห็นลู่ทางที่จะกำจัด แอล จากการรู้ว่ามิสะมีโน๊ตอีกเล่ม จึงหลอกใช้ และวางแผนต่างๆนาๆ (ซึ่งเธอก็เต็มใจ) เพื่อลวงให้ทุกคนเลิกสงสัยว่าเขาคือคิระเสียที แต่ราวกับว่าบนโลกมนุษย์มีโน๊ตสองเล่มแล้วยังวุ่นไม่พอ ฟ้ายังแกล้ง ส่งเล่มที่สามและเพิ่มผู้ถือโน๊ตมาเพิ่มอีก แม้ว่าจะพอคลำทางได้จากการเคยอ่านการ์ตูนมาก่อน แต่หนังก็ยังดูสนุก ในความยาวหนัง ถึง 141 นาที (ภาคแรก 126 นาที) และ มีลุ้นอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง ที่พลิกไปพลิกมา จนไม่รู้ว่าจะเอาใจช่วยใครดี * *
Bashing ( 2005 )Bashing หมายถึง การทุบ หรือ ตีอย่างรุนแรงในช่วงต้นเรื่อง หนังขึ้นตัวอักษรบรรยายไว้ว่า สร้างจากเรื่องจริงเพียงน้อยนิด หนังได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของหญิงสาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่เป็นอาสาสมัครไปช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับผลจากสงครามที่อิรัก แต่เมื่อเธอถูกจับเป็นตัวประกัน รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้ให้การช่วยเหลือเธอรอดกลับมาบ้านเกิดได้ แต่กลายเป็นว่าคนในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกันกับเธอนั้นกลับรุมประนามหยามเหยียด ว่าเธอเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจในการทำอะไรตามอำเภอใจ แต่ลงท้ายกลับทำให้ชาติต้องเดือดร้อน ( ! ) หนังเปิดฉากด้วยเหตุการณ์หลังจาก ยูโกะ (Fusako Yurabe) กลับมาญี่ปุ่นได้แล้ว 6 เดือน แต่วันหนึ่งเจ้านายก็เรียกเธอไปคุย และให้เธอออกจากงาน เหตุผลคือ ตั้งแต่เธอมาทำงานที่นี่บรรยากาศในที่ทำงานก็เปลี่ยนไป ทุกคนไม่แฮปปี้ที่มีเธออยู่ หลังตกงาน ยูโกะแวะไปซื้ออาหารที่ร้านสะดวกซื้อ ก็โดนพวกเด็กวัยรุ่นแกล้งจนข้าวของหล่นกระจาย ที่บ้านก็มีโทรศัพท์เข้ามาก่อกวน ถากถางอยู่ไม่เว้นวัน แฟนหนุ่มที่เคยคบหากัน ปากก็บ่นอุบว่าเธอไม่ยอมไปพบกับเขาเลยตั้งแต่กลับมา
แต่เมื่อเธอยินดีไป ปั่นจักรยานไปยิ้มไปราวคนเพิ่งเริ่มมีรัก แต่เมื่อไปถึง เขากลับด่าทอว่าเธอทรยศต่อชาติ ! นานวันเข้า ร้านสะดวกซื้อแถวบ้านก็ไม่ขายอาหารให้เธอ
มื้อนั้นได้กิน แมคโดนัล แทน แล้วก็ถึงวันของ พ่อของยูโกะ (Ryuzo Tanaka) ที่โดนให้ออกจากงานเหมือนกัน เหตุผลเพราะเขามีลูกสาวชื่อโยโกะ คนที่ทำให้ชาติเดือดร้อนคนนั้น ! ความกดดันทั้งหมดตกอยู่ที่ยูโกะ ที่ต้องมาแบกรับความใจแคบ ของผู้คนรอบข้าง, เพื่อนบ้านและของทั้งสังคม โดยจะหาคนเข้าใจในเจตนารมณ์ของเธอแทบไม่ได้เลย Masahiro Kobayashi ผู้กำกับและคนเขียนบทอ้างไว้แต่ต้นว่ามีความจริงเพียงน้อยนิดในหนังเรื่องนี้ ไม่รู้แกหมายรวมไปถึงสังคมของญี่ปุ่น ที่ยกมาประกอบในหนังไว้ด้วยหรือเปล่า เพราะดูแล้วมันน่าอนาจใจจริงๆหากผู้คนส่วนใหญ่ (ซึ่งอยู่ใกล้ตัว) คิดและแสดงออกกันอย่างนั้น * *
Happy Feet ( 2006 ) กฏของการดูแลฟองไข่คือ ห้ามให้ฟองไข่หล่นออกจากอุ้งเท้าเป็นอันขาด! ในแถบดินแดนทวีปแอนตาร์คติก้า ขณะที่เหล่าแม่ๆของเพนกวินเอมเพอเรอร์ (the Emperor Penguins) ออกไปหาอาหารยังที่ห่างไกลลิบลับ หลายเดือนกว่าจะกลับ ฝ่ายพ่อๆทั้งหลายก็เฝ้าฟูมฟักและอดทนสู้กับความหนาวเย็น ประคองฟองไข่ลูกของตนให้ความอบอุ่นด้วยอุ้งเท้า รอวันฟักออกมาเป็นตัวได้ทันวันแม่กลับมาพร้อมอาหาร แต่ เมมฟิส ( ให้เสียงโดย Hugh Jackman ) กลับพลาด ทำฟองไข่ กลิ้งหลุนๆหลุดร่วงออกจากเท้า แต่ ในช่วงราว 10 วินาที เขาก็สามารถนำฟองไข่กลับมาไว้ที่อุ้งเท้าได้เหมือนเดิม ในวันที่ลูกๆของทุกตัวกำลังเจาะเปลือกไข่ออกมาลืมตาดูโลก ทยอยโดดเหยงๆเตาะแตะๆต้วมเตี้ยมเดินเข้าหาพ่อ ร้องเรียกหากันอย่างตื่นเต้น ด้าน เมมฟิส กลับกำลังหมดหวังและเศร้าใจ กับฟองไข่ของตนที่นิ่งเงียบไร้เสียงของการมีชีวิตบรรจุอยู่ภายใน แต่ทันใดนั้น เมมฟิส ก็ยิ้มออกและลิงโลดเป็นอย่างยิ่งเมื่อลูกของเขากำลังเจาะเปลือกไข่ออกมา แต่ (อีกครั้ง) เจ้าเด็กน้อยปุกปุยลูกข้า ทำไมต้องเดินแบบนั้นด้วย ! แม้ นอร์ม่า จีน ( ให้เสียงโดย Nicole Kidman ) จะปลอบใจเขาอย่างไร เขาก็ยังอดที่จะดุ มัมเบิล (ให้เสียงโดย Elijah Wood ) ไม่ได้ ที่ช่างทำให้เผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูลเขาได้อับอายจากการเดินตบเท้าเป็นจังหวะ ( เหมือนเต้นแท๊ป ) และยังเสียงร้องเพลงที่แผดแปดหลอด ต่างกับทุกตัวโดยสิ้นเชิงอย่างนั้น ไม่นานนัก มัมเบิล ก็ถูกใส่ร้าย และทุกตัวในฝูงต่างก็ลงความเห็นว่าเขามีส่วนที่ทำให้เกิดภาวะปลาในทะเลลดน้อยลง อาหารการกินเลยฝืดเคือง เพราะความผ่าเหล่าผ่ากอของเขาเป็นต้นเหตุ มัมเบิล จึงถูกขับไล่ออกจากฝูง แต่ก่อนจาก เขาให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าเมื่อเขารู้สาเหตุที่แท้จริงและพิสูจน์ได้ว่ามันไม่ได้เป็นเพราะเขานั้น เขาจะกลับมาบอกกับทุกคน แม้ว่าครึ่งหลัง หลังจาก มัมเบิล ออกเดินทางผจญภัย เนื้อเรื่องจะเริ่มจริงจังมากขึ้น เพราะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ และส่งผลร้ายต่อชีวิตของเหล่าเพนกวิน แต่โดยรวมแล้ว หนังก็ยังน่ารักสุดๆ กับการได้เห็นการเต้นแบบตุ้มตุ้ย ของเหล่าเพนกวินน้อยทั้งหลาย และเพลงเพราะๆหวานเยิ้มและการเต้นแบบเย้ายวนของเพนกวินสาว กลอเรีย (ให้เสียงโดย Brittany Murphy ) รวมทั้งความกวนโอ๊ยของเพนกวิน ต่างสายพันธุ์ 5 ตัว นำก๊วนโดย ราโมน ( ให้เสียงสไตล์แมกซิกันโดย Robin Williams ) ที่ร่วมเป็นเพื่อนเดินทางค้นหาความจริงพร้อมกับ มัมเบิล ถึงแม้จะเป็นหนังการ์ตูนสำหรับเด็ก ที่มุ่งเน้นให้ความบันเทิงแก่เด็กเป็นหลัก แต่หนังก็ยังทำหน้าที่เป็นสื่อ และสาร ส่งถึงผู้ชมให้เห็นถึงทั้ง น้ำมือ และ น้ำใจ ของมนุษย์ที่มีต่อสัตว์ร่วมโลกของเราอีกด้วย
ใครดูเรื่องไหนแล้ว หรือ ยังไม่ได้ดู ก็ร่วมแสดงความคิดเห็นกันนะคะ
Create Date : 05 ธันวาคม 2549
31 comments
Last Update : 5 ธันวาคม 2549 21:41:07 น.
Counter : 1994 Pageviews.
โดย: nanoguy (nanoguy ) 5 ธันวาคม 2549 23:07:28 น.
โดย: JewNid 5 ธันวาคม 2549 23:17:06 น.
โดย: unwell 6 ธันวาคม 2549 15:51:23 น.
โดย: สะเทื้อน 6 ธันวาคม 2549 17:30:45 น.
โดย: BloodyMonday On Da Move IP: 211.139.145.21 7 ธันวาคม 2549 22:42:33 น.
โดย: nanoguy (nanoguy ) 8 ธันวาคม 2549 22:11:17 น.
โดย: แป๊กก 10 ธันวาคม 2549 9:00:29 น.
โดย: bright IP: 61.47.121.79 10 ธันวาคม 2549 13:03:12 น.
โดย: Tony KooN (tk_station ) 10 ธันวาคม 2549 19:54:38 น.
โดย: เพิ่งมาจากหลังเขา (unwell ) 13 ธันวาคม 2549 8:34:33 น.
โดย: BloodyMonday On Da Move IP: 211.139.145.21 14 ธันวาคม 2549 19:36:53 น.
.Just wait until night
then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ เด็ก ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
เรื่องแรก ไม่ดูแน่ๆ
เรื่องที่ 2 ยังไม่ได้ดูภาคแรก
เรื่องที่ 3 น่าสนใจ
เรื่องที่ 4 เอาไว้รอดูแผ่นกับหลาน
six feet under ก็ไม่ได้ตามมา 2-3 ตอนแล้ว