ยังคงทดเวลาบาดเจ็บ
นอนๆ นั่งๆ
จะเข้าสวน พี่ก็บอกว่าไม่ต้องไป เดี๋ยวไปเงยหน้าสอยมะม่วง
คอเพิ่งผ่ามา ไม่ต้องออกไป
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะมะม่วงที่พี่สอยมาอยู่ในช่องลิ้นชักล่างของตู้เย็น
กะปิโหว่ก็มี เรียบร้อย อยู่ในบ้านต่อไป
ประมาณ 15 วันหลังผ่าตัด (หมอนัด 3 สัปดาห์ คือครอบ 21 วัน )
พี่เรามีนัดกินข้าวกับเพื่อนตอนเย็น สั่งเราว่าอย่าลืมล็อคหลังบ้าน
คือที่บ้าน เราจะล็อคหลังบ้าน พี่จะล็อคหน้าบ้าน
พี่ไม่ล็อคหลังบ้านเพราะเราชอบไปแอบเปิดตากผ้าบ้าง เก็บผ้าบ้าง
พี่รำคาญ ก็เลยแค่กำชับเราว่าอย่าลืมปิด (คือจะเปิดตอนไหนก็ตามใจโลด)
พี่เราออกไป เราก็อาบน้ำจะนอน ใส่ถุงเท้าเรียบร้อย
ช่วงนี้เราใส่ถุงเท้าเพราะอยู่แต่ในห้อง เปิดแอร์ตลอด
ปกติไม่ใส่ เอาจริงใส่แค่ตอนจะนอนด้วย เพราะเรามีการขยับพลิกให้คอเข้าที่ไปมา
ดังนั้น ดีกรีการกลิ้งตัว จนผ้าห่ม (ซึ่งก็ห่มสองผืน มีตอนบนกับตอนล่าง) จะหลุดจากเท้ากับหน้าอกคอ
เราไม่คลุมคอ กับเท้าไม่ได้ คือถ้าสองอันนี้โผล่ตากแอร์ เราจะไม่สบาย
เลยใส่ถุงเท้าราวกับใกล้คริสมาสต์ตลอดเวลาจะนอนช่วงนี้ ไม่ต้องห่วงกลิ้งแล้วผ้าไม่คลุมเท้า
เราใส่ถุงเท้าแล้ว เราก็ขี้เกียจถอด
ปกติไม่ขี้เกียจนะ (พี่เราชอบบอกว่า เวลามีเหตุ มันคือไม่ปกติไง)
เราก็ลงบันไดจะไปล็อคบ้าน แล้วเราก็ลื่นตกบันได ไหลลงไปสามสี่ขึ้น น่ากลัวมาก เพราะจริงๆ เราจะเอนตามยาว แล้วคอจะต้องกระแทกแน่นอน
แต่ว่ามือขวาเราจับราวบันไดได้ ไม่ใช่ราว คือก้านระเบียงบันได
เป็นเหล็กสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่แบบบันไดสมัยก่อน
เรากำได้ พอดีเป็นมือขวาที่ไม่ได้มีปวดเดิม ก็คว้าไว้ แต่มันยังลื่นลงไป เพราะถุงเท้า
นี่คือเดินช้า แต่พอวางเท้าแล้วมันไหลเท้าพ้นบันไดขั้นนั้นไปเลย ไหลวืดช้าๆ ตัวค่อยๆ สไลด์เอนลง
ไม่มีเสียง มือก็กำเหล็กไว้ข้างขวา มันยังไหลลง
มือซ้ายเราค้ำบันได ทั้งๆ ที่มีแรงแล้วแต่มันหยุดไม่อยู่ หรือไม่ก็เพราะเราตัวหนัก
เราต้องค้ำลงไหลลงมาอีก สองสามขั้น มือไม่มีแผล ไม่เจ็บมากแต่เจ็บอยู่
ไหล่ขวาก็ปวดๆ
แต่ว่าพอมันหยุดนิ่ง เราก็นั่งที่ขั้นบันได ถอดถุงเท้า เดินลงไปล็อคหลังบ้าน
ไม่มีเสียง แต่ถ้าพี่เห็น พี่ว่าแน่นอน
เล่าให้ฟังก็น่าจะโดนว่า เดี๋ยวไว้ค่อยเล่าปีหน้า ว่าไม่ทันแล้ว
เมื่อเสร็จสิ้นการตกบันไดและล็อคบ้าน เราก็ขึ้นมาล้างเท้าใส่ถุงเท้า
เตรียมตัวนอนของเราต่อ
เกือบตกบันไดคอหัก นี่เพิ่งผ่ามา เกือบ
แต่เดี๋ยว ไม่ผ่ามาก็อาจตกได้ คอหักได้อีกเหมือนกัน
อย่าประมาท ไม่ดี
อย่างที่หลวงพ่อคูณบอกไว้จริงๆ ด้วย
--------
พี่ซื้อปลาเผามาให้เราเมื่อวานตอนเดกือบทุ่มนนึง
เราเพิ่งกินมาม่าไปก่อนห้าโมงเย็นไม่นาน
หนักใจ
เราเลยแขวนปลาไว้ ไม่เอาเข้าตู้เย็น คือตู้เย็นก็เต็ม
เที่ยงวันนี้เราค่อยกิน เช้าคือกินขนมจนอื่มแล้ว
จริงๆ เมื่อคืนตอนสองทุ่มเราว่าจะกิน เปิดมาเราเหม็นปลา
ก็ไม่อยากบอกพี่ คือเหม็นไม่มาก แต่ไม่อยากใช้คำว่าเหม็น
เพราะบอกเหม็นปลาเผา แต่สั่งแหนมตุ้มจากเซเว่นมา 4 ถุงนอนพริ้มอยู่ในตู้เย็น
มันจะมีใคร ปลาไก่ว่าเหม็น หมูว่าคาว แต่ดันซื้อแหนมหมูตุ้มมารอซุกไว้
ดูไม่สมจริงกับความเหม็น
แต่เราเหม็นจริงๆ นะ ไม่มากหรอก แค่แบบ มันกึ่งว่าดึกไม่ถึงเวลากิน
แต่ปลาเผาไม่บูดหรอก ทิ้งไว้ไม่น้อยกว่าครึ่งวันได้
ของใกล้เน่าเราก็พอถนัดกิน เลยแขวนไว้
พอเที่ยงวันนี้เข้าเวฟกินยังโอเค พี่มาเห็นตอนกิน ก็บอกว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดเมื่อคืนไม่อยากกินก่อนนอน
เดี๋ยวแสบท้อง
บอกไปแบบนี้ แหนมตุ้มจะได้ไม่โดนกล่าวร้าย
จบคืนนี้ซะที ผ่านวันจันทร์แล้ว เดี๋ยววันศุกร์จะได้เจอหมอ
แต่ที่อยากเจอที่สุด คือแตงไทยในโรงอาหารโรงพยาบาล
เป็นอะไรที่เราโปรดมาก ไปทุกครั้งกินทุกครั้ง
คิดถึงแตงไทยแล้วสิ
ไว้ได้ไปหาหมอ มีชีวิตรอดดี น่าจะได้กลับมาเล่าเรื่องผ่าตัดหมอนรองกระดูก
(ส่วนที่เป็นสาระ ไม่ค่อยมีอารมณ์กระจัดกระจายแบบคนป่วยแบบนี้) อีกที
จบตอน