กรกฏาคม 2567

 
2
3
4
5
6
7
9
11
12
13
15
16
17
18
19
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
ผ่าตัดหมอนรองกระดูกปลิ้น ตอนที่ 6 - กลับไปทำงาน
บันทึกตอนนี้ เราได้กลับไปทำงานมาสัปดาห์นึงแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ก่อนไป ตอนที่ครบ 3 สัปดาห์ เรามีนัดกับหมอที่ผ่าให้
ซึ่งเราก็รู้สึกสบายใจมากวันนั้น เพราะอาการโดยรวมดีขึ้น
เหมือนหมอจะให้ขับรถได้ แต่เราเอารถไปเคลมทั้งคันพอดี ก็ว่างรอไป

วันที่ไปหาหมอ เรานัดเพื่อนต่อตอนบ่าย
มันเป็นวันศุกร์ที่เพื่อนไปหาหมอเหมือนกัน
การนัดของเราสองคนอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆ กัน
เรากับเพื่อนมีนัดหมอวันศุกร์เดียวกันพอดี เวลาใกล้เคียงอีก
แถมยังใกล้คณะที่เรียนปริญญาตรีด้วยกันอีกมาก แค่ฝั่งถนน
อะไรมันจะใกล้ได้เบอร์นั้น

การนัดหมอ ทำให้เราสบายใจ เพราะช่วงนั้นอาการเราดีขึ้นตลอด
เราติดรถแฟนพี่ไปตอนเช้า ตะลอนเที่ยวเล่นนิดหน่อยก่อนหาหมอ
ก็เอ๊กซเรย์ก่อน
แล้วเข้าพบแพทย์

ความฮาช่วงพบแพทย์ที่เราต้องบันทึกไว้มีดังนี้


-------------------


เรานั่งเล่นช่วงเช้าแถวโรงพยาบาล มีโทรศัพท์เข้ามาบอกว่า
หมอเลื่อนนัดเราเร็วขึ้น เราต้องไปเอ๊กซเรย์เร็วขึ้น
ความจริงเรากะไปกินแตงไทยที่โรงอาหารโรงพยาบาล
ตอนที่โทรมาคือ เก้าโมงได้ เราเพิ่งกินขนมตอนเช้าไปเต็มปรี่

ผิดแผน

เราจัดแจงทำตัวเองเรียบร้อย ไปเอ๊กซเรย์ก่อนเวลา แล้วไปรอพบแพทย์ตามเวลาใหม่
เราเป็นคนไข้คนแรก ก็ไปวัดความดัน
พอเราวัดเสร็จ เราพบคุณยายจำนวน 2 รถเข็นมาต่อรอ
เราก็ไปนั่งหน้าห้องหมอ ทีนี้มันอีกซัก 5 นาที เราเมื่อยคอ
คือเราไม่ใส่ ปลอกคอ (collar) เลยไง เราก็ อ่ะ ใส่ดีกว่า แล้วไปนั่งพิงผนังด้านหลัง

คนไข้รถเข็นคนถัดจากเรา คุณยายถูกญาติเข็นมาตรงแถวหน้าห้องหมอ
(เพราะเราย้ายมานั่งพิงกำแพง)
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถามคุณยายว่า เอ๊กซเรย์รึยัง
เท่านั้นแหละ ทางผู้ดูแลคุณยายและคุณยายก็ดูวุ่นวาย กรู๊กกรู้วว
เพราะไม่ได้เอีกซเรย์มาก่อนพบแพทย์

ก็พยายามจะถามว่าวันนี้ไม่เอ็กซ์ได้ไหม
แล้วหมอก็มา หมอก็แบบว่า ดูฟิล์มเก่าก็ได้ (หมอน่าจะไม่ค่อยว่างรอฟิล์ม ซึ่งอยู่คนละชั้น)
ใดๆ ก็คิอ ได้ดับความวุ่นวายนั้นโดยการพาคุณยายเข้าห้องตรวจ

แต่เดี๋ยว

คนไข้คนที่ 1 คือฉัน ซึ่งมานั่งเอาหลังอิงกำแพงแถวสอง
และยังไม่ได้ทันได้ปิดตา เพราะแถวข้างหน้ากระตู้วู้กันก่อน และเข้าห้องตรวจไปก่อน
จริงก็
ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะมันก็คนเดียวแป๊บเดียว รถเข็นด้วย เอาเหอะ
แต่ว่าที่จริง ต้องดูก่อนว่า เป็นคิวแรกไหมแล้วก็ต้องบอกคนที่เป็นคิวจริงว่า
ขอพาคุณยายเข้าไปตรวจก่อน

เราเป็นผู้ให็บริการ เราก็ทำแบบนั้นนะ การขอเอาคนไข้ vulnerable (เปราะบาง) เข้าก่อน
ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องไม่ทำให้คนไข้ที่รอแปลงร่างเป็นคนไม่พอใจได้
เราบันทึกเรื่องนี้ไว้ เพื่อทบทวนตัวเองว่าเราก็ต้องบอกคนไข้ทุกครั้ง

เมื่อวานเราเองก็ไปหยิบคิวคนไข้มีฟิล์มแล้วเดิม มาลงนัด เพื่อขจัดคิวรอคอย
อันนี้อาจจะไม่ได้บอกคนไข้อื่นน้อยไป แต่มาลงนัดอย่างเดียวไม่ได้รอทำหัตถการ

*คนไข้เปราะบาง คนไข้รถเข็นรถนอน ใส่ออกซิเจน เด็กร้องวุ่นวาย คนมีไข้ ดูอ่อนเพลีย
ปกติเราได้ลัดคิวให้ก่อน แต่ต้องบอกคนไข้อื่นด้วยหากถูกแซงคิวจำเพาะ


----------------------


กลับมาที่พบหมอกันบ้าง
เราเข้าไปก็บอกหมอว่า เราหายแล้ว พร้อมกลับไปทำงาน
หมอบอกให้เราไม่ออกกำลังที่กระเทือนในแนวขึ้นลง แล้วก็นัด 6 เดือน

เราว่า หมอบอกเราน้อยไป
คือ ความคาดหวังของเรามันมากเกินไปจากการที่วันแรกเราเจอหมอ
แล้วก็ เราเองไม่ได้หาข้อมูล เราถามแต่เรื่องผ่าตัด
การทำงานของเรามันก้มเงย เรารู้สึกว่า มันไม่ใช่ 30 วัน
เราไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นไม่อยากทำงาน
แต่ว่า เอ เหมือนหมอจะบอกว่าใช้ชีวิตได้ปกติ

ซึ่งพี่ที่ฝ่ายบอกว่า ให้ระวังคำว่าใช้ชีวิตได้ปกติของแพทย์
พร้อมกับอธิบายตอนไปทำกิฟท์มา แล้วหมอบอกแบบนี้
เราก็เออ
บางทีหมอคงไม่เข้าใจว่า พวกคนที่ไปหาหมอเนี่ย
เค้าไม่ได้มีชีวิตที่ปกติ เพราะคนปกติมากๆ เนี่ย เค้าไม่ต้องไปผ่ากัน....
ผ่าม
ผ่ามผ่าม
ผ่ามผ่ามผ่าม

อย่างไรก็ดี เราพยายามบอกว่า เราอยากทำอะไร
หมอก็บอกว่า ต้องขนาดนั้นเหรอ
สรุป ก็คือ ไม่ได้ให้ทำอะไรนักหนา แต่ว่า แต่ว่าไปทำฟันได้เหรอ
อันนี้เราก็ลืมถาม
หรือหมอคงบอกให้คิดเอง ต้องถามทุกอย่าง เค้าก็คงสรุปให้ไม่ได้
เราก็คิดว่า มันคงใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกตินั่นแหละ

แต่นั่นทำให้เรานอนไม่หลับ และเป็นกรดไหลย้อนในสัปดาห์สุดท้าย
เมื่อเรา
พบว่าเรานั่งนานแล้วปวดคอมาก ย้ำว่า ปวดมาก จนเราตกใจ
เริ่มจากเย็นวันที่เราไปหาหมอ เราเดินเยอะ เราซ้อนวินมอไซค์
ไปเดินร้านหนังสือ เพราะกะว่าจะซื้อซักเล่ม แล้วเราก็ซื้อมา 5 เล่ม
ไม่นั่งแท็กซี่กลับบ้านเพราะรถติด
แบกของข้ามสะพานลอยมานั่งเรือกลับบ้าน
ผ่าม
ผ่ามผ่าม
ผ่ามผ่ามผ่าม

คืนนั้นเราปวด วันต่อมาก็ระบบ แต่นอนทั้งวันก็ดีขึ้น
ใดๆ คือ หลังจากนั้นเราอารมณ์ไม่ดี เราไม่โอเคเลย
เรากังวลเรื่องการกลับไปทำงาน (เพราะคิดว่าตัวเองต้องทำงาน ดูสิ ทำไมปวดคอ)
(แต่ไม่ค่อยยอมกินยาแก้ปวดนะ จริงๆ เราเหลือยาแก้ปวดเกือบ 30 เม็ดตอนนั้น)
แล้วเราก็เมนส์มาเร็วอีกรอบ เร็วขึ้นอีก 2-3 วันเหมือนเดิม
โอย ยัยคนป่วย

อ้อ หมอถามเราว่าเอายาไหม เราบอกว่าไม่เอา
คือ สรุปว่า ที่มาปวดหงุดหงิดกังวล แต่ไม่ยอมกินยา ---เพื่ออะไร

ก็คนป่วยไง จะใครล่ะ


---------------


การกลับไปทำงาน ใครๆ ก็ไม่อยากให้เราทำเยอะ
ตือ มันก็คนเพิ่งผ่าคอมาเดือนเดียวเนอะ
เราว่างมาก เดินไปทำเอกสาร
เราได้กินข้าวเที่ยงตอนเที่ยง
ได้เลิกงานเดินกลับบ้านตอนบ่ายสี่

เราพบว่าเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
ก็มีนัดน้องเจ็ดโมงครึ่งตอนเช้าและสอนน้องตอนเย็นวันสองวัน เท่านั้น
ตารางเบามาก
ได้นั่งคุยกับพี่ๆ น้องๆ คนโน้นคนนี้ เพราะไม่อยู่นาน

และก็ขึ้นห้องผ่าตัดไปตัดชื้นเนื้อให้คนไข้ภายได้ยาสลบให้เด็ก
ตั้งแต่วันแรก (วันแรกเท่านั้นที่นัดคนไข้เยอะสุด ตกค้าง ฮ่าๆ)
ดูยาไหลเข้าแขนเด็ก แล้วเด็กก็หลับ
คิดถึงตัวเองที่ชิงหลับตาก่อนทันที่ที่ความง่วงมาถึง-----
---ง่วง รีบหลับตารอ แล้วแป๊บเดียวก็มืดไป ------

อีกคนก็คนไข้เก่าเรา เราป่วย เค้าก็ป่วยนอน รพ
เราหายไปเป็นเดิอน คนไข้ก็ป่วยเป็นเดิอน ไม่ได้รักษาต่อ
เป็นคนไข้ที่จะได้ตัดปุ่มกระดูกตำแหน่งสุดท้าย ก่อนใส่ฟันปลอม
ไม่ได้รับการจัดคิวไปรักษากับหมอน้อง คิวเลยกลับมาหาเรา

เราก็ผ่าให้
แล้วก็ เท่านั้นแหละ นอกนั้นวันอื่น คาบอื่นก็ทำไม่เยอะ
ช่วยห้องตรวจ ช่วยเคลียร์คนไข้ รับ consult กุ๊กกิ๊ก
มันติดช่วงวันหวยออก กับฝนตกด้วย ก็คนไข้น้อย
นอกนั้นก็
ไปประชุมเล็กใหญ่
ซึ่งเป็นงานที่เราต้องทำมานานแล้ว แต่เราไม่ได้ทำ เพราะติดพันแต่คนไข้
เรารับทุกคิวแทรก คิวแสริม ข่าวปลาไม่กิน
สุดท้าย ป่วย รักษา ไม่ได้ทำเยอะอีก และได้ประชุม ฮ่าๆ


-----------------


จบสัปดาห์ด้วยการลาศุกร์บ่าย บินกลับมานอนบ้าน
มาที่บ้าน พี่ซึ่อแหนมเนืองไว้ให้
ห้องสะอาดมาก คงจ้างคนมาทำ
นั่งกินกับพี่วันนี้ นอนบ้าน ฝนตก ซักผ้าตาก
บ้านแม่ที่เรารักตลอดกาล
สถานที่พักใจของคนป่วย
นอน และเล่นคอมพ์

ตอนนี้นั่งได้นานแล้ว แต่ปวดคอก็นอนได้
รักบ้านที่สุดเลย --



Create Date : 20 กรกฎาคม 2567
Last Update : 20 กรกฎาคม 2567 18:01:50 น.
Counter : 230 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร


สุขใจพริ้ว
Location :
บุรีรัมย์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



เป็นบันทึกเรื่องราวทั่วไป ตามที่ใจนึกอยาก
ของคนทำงานไกลบ้าน