สารเคมีที่ติดมากับอาหารประจำชาติ
เมื่อสองวันก่อน อ่านข่าวจากสำนักพิมพ์ผู้จัดการแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ ข่าวว่าชาวนาไทยใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชกันอย่างไม่บันยะบันยัง มองถึงผลประโยชน์ตรงหน้ามากกว่า แบบนี้ผู้บริโภคที่ต้องกินข้าวทุกวันอาจประสาทหลอนกันบ้างล่ะ
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ. มูลนิธิชีววิภี และคณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็น ความปลอดภัยทางอาหาร : การแก้ปัญหาจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช กล่าวว่าในปี 2554 ประเทศไทยมีการนำเข้าสารเคมีถึง 87 ล้านกิโลกรัมมูลค่า 22,000 ล้านบาท บางชนิด เช่น คาร์โบฟูรานและเมโทมิล มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 1 เท่าตัว นอกจากนี้จากการที่เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้ทำการศึกษาการใช้สารเคมีนาข้าวของเกษตรจำนวน 200 ราย ใน 5 อำเภอ ของ จ.สุพรรณบุรี ในช่วงปี 2555 พบว่ามีการใช้สารเคมีในนาข้าวคิดเป็น 30 %ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด จากเดิมที่เพียง 7-10 % โดยมีการฉีดสารเคมีถึง 15 ครั้งต่อ 1 ฤดูกาลผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าห่วงและน่ากังวลอย่างมาก
ตอนแรกคาดว่า ต้องมีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแน่นอนถึงมีการใช้สารเคมีมากขนาดนี้ แต่ปรากฏว่า ปีนี้เพลี้ยเบาบาง เมื่อเข้าไปศึกษา จึงทำให้ทราบว่าชาวนาต้องการให้ได้ผลผลิตข้าวจำนวนมาก จึงทุ่มทุกอย่างเพื่อนำไปจำนำข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดโครงการนี้หากไม่ได้กำกับควบคุมคุณภาพของข้าว ในระยะยาวจะย้อนมาทำลายทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค รัฐบาลจึงควรดำเนินการโครงการนี้แบบมีเงื่อนไข เรื่องการปรับปรุงการผลิต เช่น รับจำนำตันละ15,000 บาทสำหรับผู้ผลิตแบบเกษตรปลอดภัย ส่วนผู้ที่ใช้สารเคมีจำนำตันละ 12,000 บาทเพื่อที่ส่วนต่างของการจำนำจะได้เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการผลิตแบบเกษตรปลอดภัยมากขึ้น นายวิฑูรย์ กล่าว
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า ในการประชุมสมัชชาสุขภาพฯเครือข่ายฯมีข้อเสนอสำคัญ ได้แก่ 1. ให้เก็บภาษีสารเคมีทางการเกษตร เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทางด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยให้กระทรวงการคลังศึกษาความเป็นไปได้ รวมทั้งแนวทางในการจัดตั้งกองทุนเพื่อนำมาใช้ในการเยียวยา ชดเชยผลกระทบทางสุขภาพและเศรษฐกิจจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และสนับสนุนการผลิตที่ปลอดภัยระบบเกษตรกรรมยั่งยืน 2. ให้ทบทวนการอนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียน และนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอันตรายร้ายแรงซึ่งประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศในอาเซียนบางประเทศได้ประกาศห้ามผลิต ห้ามใช้และไม่ให้ขึ้นทะเบียนแล้ว เพราะมีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ยืนยันว่าเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพได้แก่ คาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และ อีพีเอ็น เมื่อทราบดังนี้แล้ว การซื้อข้าวสารถุงที่มีแหล่งผลิตบอกไว้ น่าจะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการเลือก อาจจะบ่งบอกถึงนาข้าวที่ไม่ใช้สารเคมี หรือใช้น้อยที่สุด แต่เมื่อไปพลิกข้างถุงบรรจุข้าวดูแล้ว รายไหนรายนั้น ไม่เห็นจะบอกอะไร เพียงแต่พูดลอยๆว่าข้าวนี้มาจากแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิดีที่สุดของประเทศไทย จะเป็นไปได้ไหมที่ผู้ทำข้าวบรรจุถุงออกมาขาย จะบอกที่มาที่ไป เหมือนกับส้มโอจากนครปฐม ลิ้นจี่จากอัมพวา กล้วยไข่จากกำแพงเพชร อะไรทำนองนี้ หลายปีมาแล้ว ผมเคยไปนอนค้างที่บ้านชาวนา ต.นาโหนด เมืองพัทลุง สมัยนั้นชาวบ้านที่มีนาแปลงเล็กๆ เขาจะปลูกข้าวไว้กินเองภายในครอบครัว เมื่อหุงแล้วหน้าตาจะไม่ค่อยสะสวยเหมือนข้าวหอมมะลิ เมล็ดสั้นๆ ออกจะแฉะๆ ให้รสชาติอร่อยไปอีกแบบ ปัจจุบัน ได้ข่าวว่าพี่น้องที่นาโหนด ยังรักษาการทำนาข้าวแบบดั่งเดิม ไม่ใช้สารเคมี ใช้เพียงขี้ค้างคาวเป็นปุ๋ยบำรุงดิน น่าสนับสนุนอย่างยิ่งครับ
Create Date : 05 ธันวาคม 2555 |
Last Update : 5 ธันวาคม 2555 22:38:03 น. |
|
14 comments
|
Counter : 2086 Pageviews. |
|
|
+