และแผ่นทองถูกหลอมไปแล้ว
ขอรวบรวมข่าวทางอินเตอร์เน็ตไว้ในบล็อกนี้ครับ
พัทลุง - เจ้าของสวนปาล์มขุดเจอทองกลางสวนที่ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เผยซื้อที่ดินมาเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมาเพื่อทำสวนปาล์ม ขณะที่ชาวบ้านหลังจากทราบข่าวแห่ขุดเจอแล้วกว่า 100 แผ่น ด้านวัฒนธรรมจังหวัดเร่งเข้าตรวจสอบ พร้อมประสานฝ่ายปกครองห้ามชาวบ้านเข้าพื้นที่พรุ่งนี้ คาดพื้นที่บริเวณใกล้เคียงยังมีทองคำอีกหลายจุด
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา หลังจากที่ชาวบ้านทราบข่าวพบทองคำแผ่น ทองคำแท่ง กำไล สร้อยคอทองคำ ในสวนปาล์มท้องที่ ม.7 ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ชาวบ้านหลายร้อยคนที่ทราบข่าวต่างนำจอบ เสียมขุดทองคำบนแปลงในสวนปาล์มดังกล่าวอย่างเนืองแน่น
เนื่องจาก นายวิ ทับแสง อายุ 57 ปี อยู่ ม.6 ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน ได้ทำการขุดลอกดินเพื่อทำแปลงปลูกปาล์มน้ำมัน เมื่อขุดยกร่องเสร็จพบแผ่นทองคำน้ำหนักแผ่นละ 2 บาท รวมทั้งสร้อยคอ กำไลทองคำอีกจำนวนมาก และเมื่อเช้านายวิ เจ้าของนำทองคำแผ่นที่ได้ไปขายในเมือง ได้เงินกว่า 3 ล้านบาท ทำให้เพื่อบ้านที่ทราบข่าวต่างเดินทางมาขุดเป็นจำนวนมาก โดยบางรายได้ทองคำแผ่นบริสุทธิ์ แผ่นละ 2 บาท คนละ 1-2 แผ่น และได้กำไล ทองคำ ตุ้มหู อีกหลายราย
นายวิ เจ้าของสวนกล่าวว่า ได้ชื้อที่ดินแลงนี้มาเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา แล้วทำการยกร่องเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน โดยใช้รถแบ็กโฮขุดไว้เมื่อ 20 วันก่อน และขณะที่นำกล้าปาล์มมาปลูก ลูกชายเจอทองคำแผ่น ตอนแรกคิดว่าเป็นทองคำปลอม แต่เดินมาเจอจี้ทอง และทองคำแท่ง จึงได้ช่วยกันเก็บ จนกระทั่งค่ำจึงได้เดินทางกลับบ้าน และรุ่งเช้ามาขุดหาซ้ำจนได้ทองคำแผ่น ทองคำแท่ง กำไล แหวน สร้อยคอจำนวนมาก โดยประมาณค่าไม่ได้ เมื่อนำไปขายร้านทองในตัวเมืองหาดใหญ่ร้านทองชื้อในราคาแผ่นละ 37,000 บาท ซึ่งร้านทองบอกว่าเป็นทองคำแท้บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ได้เดินทางมาขุดค้นหากันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวันนี้ได้กันไม่ต่ำกว่า 100 แผ่น ส่วนตนจะให้ชาวบ้านขุดกันอย่างเต็มที่ในวันนี้ ส่วนในวันพรุ่งนี้จะไม่อนุญาตให้ขุดหา
ด้านนางสุวิมล ศรีหะไตร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพัทลุง ได้เดินทางมาดูชาวบ้านที่มาร่วมกันขุดทองบอกว่า ทองดังกล่าวเป็นทองคำจริงๆ ตนก็ดีใจกับชาวบ้านที่ได้กันไปคนละแผ่นสองแผ่น
ขณะที่ นางศิริพร ทองทวี วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง ได้เดินทางมาตรวจสอบเบื้องต้นกล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มีการพบทองคำแผ่น ทองคำแท่ง สร้อยคอทองคำ ที่มีจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งทางวัฒนธรรมจังหวัดได้ประสานไปทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของอำเภอ เพื่อระงับการขุดของชาวบ้าน พร้อมประสานไปยังกรมศิลปากร ให้เข้าตรวจในวันพรุ่งนี้ เพื่อเสาะหาที่มาที่ไปของทองคำดังกล่าว ซึ่งที่แผ่นทองคำทุกแผ่นจะมีภาษาจีนโบราณสลักไว้ทุกแผ่น และไหโบราณที่พบลักษณะเหมือนไหจีนโบราณเช่นกัน
ในขณะที่ นายบุญเพ็ง บุญศิริ อายุ 55 ปี กล่าวว่า ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเล่าว่าในอดีต พื้นที่ตรงนี้เป็นลำคลองขนาดใหญ่ และเป็นเส้นทางเดินเรือที่ลัดเลาะไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันไม่หลงเหลือความเป็นลำคลองเนื่องจากการทับถมของตะกอนดิน และก่อนหน้านี้ เมื่อ7 ปีที่แล้ว ชาวบ้านขุดพบซากเรือโบราน รวมทั้งไหเครื่องถ้วยชามสังคโลกเป็นจำนวนมาก
ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน คาดว่าทองคำดังกล่าวน่าจะเป็นของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในแหลมมลายูขณะนั้น เนื่องจากเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้นำทองคำแผ่น และทองคำแท่งเพื่อนำไปปิดยอดพระบรมธาตุ แต่การเดินทางลำบาก จึงได้ฝังทองคำจำนวนมากไว้ ซึ่งตนคาดว่าในพื้นที่ใกล้ๆ น่าจะมีทองคำอีกหลายจุด
ข่าวขุดทองที่พัทลุง ล่าสุด ชาวบ้านยังแห่ขุดทองเขาชัยสน อย่างเนื่องแน่น เจ้าของที่ดินวอนตำรวจ อำเภอ ช่วยห้ามชาวบ้าน ด้านร้านทองประกาศงดรับซื้อแผ่นทองคำโบราณจนกว่ารู้ผลพิสูจน์
หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวขุดทองเขาชัยสน จ.พัทลุง โดยชาวบ้านขุดพบแผ่นทองคำโบราณที่สวนปาล์มแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ล่าสุด วันนี้ (28 พฤษภาคม) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ที่สวนปาล์มดังกล่าวอีกครั้ง ปรากฏว่า ยังคงมีชาวบ้านจำนวนมากเดินทางมาขุดทอง ซึ่งก็มีชาวบ้านบางส่วนที่ขุดพบแผ่นทองคำโบราณและทองรูปพรรณเป็นจำนวนมาก
ด้านนายวิ ทับแสง เจ้าของที่ดินดังกล่าว กล่าวว่า หลังจากที่มีชาวบ้านเดินทางมาขุดทองในที่ดินของตนอย่างต่อเนื่อง ตนก็ได้ประสานงานไปขอความช่วยเหลือจากทางอำเภอและเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาช่วยห้ามปรามชาวบ้าน แต่สุดท้าย ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากจำนวนของชาวบ้านมีเกือบ 500 คน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุงก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ อีกทั้งยังช่วยประสานงานไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ลงมาควบคุมพื้นที่ แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้าไปดูแลเช่นเดียวกัน
เมื่อวันที่ 29 พ.ค.57 เวลา 13.00 น.นายอเนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากรให้สัมภาษณ์ที่สนามบินจังหวัดนครศรีธรรมราชหลังลงพื้นที่แหล่งโบราณคดีที่มีการขุดพบทองคำจำนวนมากในอ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ว่าได้มอบให้สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช เป็นผู้ดำเนินการขุดทองค้นหาโบราณคดีเต็มรูปแบบเพื่อพิสูจน์ทางภูมิศาสตร์ ลักษณะการฝังเป็นการเจตนา หรือด้วยเหตุอย่างอื่น
ส่วนทองคำที่พบน่าเชื่อว่าจะเป็นทองคำของเจ้านายในระดับเจ้าเมือง หรือขุนนางชั้นสูง หรือคหบดีเนื่องจากดูปริมาณแล้วพบเป็นจำนวนมาก และขณะนี้ได้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอให้ประกาศให้พื้นที่แหล่งโบราณคดีจุดนี้เป็นพื้นที่ควบคุมห้ามประชาชนเข้ามาขุดค้น ขณะเดียวกันจะประสานไปยังกองทัพภาคที่ 4 ในการเข้าจัดระเบียบพื้นที่เพื่อให้กรมศิลปากรเข้าดำเนินการ
อย่างไรก็ตามผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ระบุว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าทองคำที่พบนั้นเป็นแผ่นที่ถูกรีดจนบางเช่นเดียวกับทองคำที่อยู่บนองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช เป็นไปได้ว่าผู้ที่นำมาอาจนำมาเพื่อมาก่อสร้างองค์พระบรมธาตุเจดีย์ หรืออาจเป็นทองคำที่เหลือจากการการหุ้มปลียอดแล้ว เนื่องจากมีลักษณะเดียวกัน และถูกนำไปยังสถานที่สำคัญอื่นๆในภาคใต้ตอนล่าง แต่อาจเกิดเหตุบางอย่างจึงไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ อยากให้ผู้ที่พบมีความตระหนักถึงคุณค่าของวัตถุชิ้นนี้ที่สามารถให้ความรู้ และเป็นเกียรติประวัติประเทศไทย ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินทองที่ได้มาแล้วก็เสียไป
ขณะที่บรรยากาศการขุดหาทองคำของชาวบ้านยังคงคึกคักเหมือนเดิมชาวบ้านทั้งในและต่างจังหวัดแห่เดินทางมางขุดหาทองประมาณ 200-300 คน ซึ่งลักษณะหลุมที่ขุดหาทองคำจะลึกกว่าเก่าประมาณครึ่งเมตร เพราะเป็นพื้นที่การขุดซ้ำซาก และหากจะให้เจอต้องขุดให้ลึกกว่าเก่าจนทำให้เจ้าของสวนปาล์มหวั่นที่ดินเสียหายทั้งแปลง แม้ว่าจะร้องขอให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลก็ยังไม่สามารถห้ามประชาชนขุดหาทองได้ ห้ามขุด"ทอง"พัทลุง อธิบดีกรมศิลป์ ประกาศปิดพื้นที่ ชี้เป็นโบราณวัตถุ ให้นำมาขายคืน
ตำรวจพัทลุงนำกำลังกว่า 50 นาย ปิดกั้นพื้นที่สวนปาล์มจุดที่พบทองคำแผ่น หลังพบว่าตลอดทั้งคืนยังมีชาวบ้านทั้งในพื้นที่และจากต่างจังหวัดกว่า 200 คน พากันขุดหาทองคำอย่างต่อเนื่อง ด้านอธิบดีกรมศิลปากรประกาศเป็นพื้นที่แหล่งโบราณคดี ห้ามประชาชนเข้ามาขุดค้นเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนถูกดำเนินคดี ระบุเชื่อว่าน่าจะเป็นทองคำของเจ้านายในระดับเจ้าเมือง ขุนนางชั้นสูงหรือคหบดี วอนตระหนักถึงคุณค่าของโบราณวัตถุ ส่วนชาวบ้านต่างพากันทยอยเก็บจอบ เสียม กลับบ้าน
จากกรณีชาว บ้าน ต.เขาชัยสน จ.พัทลุง ขุดพบแผ่นทองคำโบราณ ถูกฝังอยู่ในสวนปาล์มน้ำมันของนายวิ ทับแสง จนมีการแห่ไปขุดหากันเป็นจำนวนมาก โดยทางกรมศิลปากรได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าน่าจะเป็นแผ่นทองคำแท้ มีอายุราว700-800 ปี โดยมีลักษณะคล้ายกับแผ่นทองคำที่หุ้มบนยอดพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว
วันที่ 29 พ.ค. 57
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมายังคงมีชาวบ้านในพื้นที่ ต.เขาชัยสน และจากต่างจังหวัด ได้รวมกลุ่มเหมารถกันประมาณ 200 คน มาขุดหาทองภายในสวนปาล์มกันอย่างคึกคัก ซึ่งตลอดทั้งคืนชาวบ้านพบเพียงเหรียญบาท 2-3 เหรียญเท่านั้น จนกระทั่งในช่วงเช้ามีชาวบ้านขุดพบทองอย่างน้อยอีก 3 ราย โดยเป็นทองแผ่น 2 ราย และกำไลทอง1 ราย
นายวิ ทับแสง อายุ 54 ปี เจ้าของที่ดิน กล่าวว่า สวนปาล์มน้ำมันคงเสียหายทั้งแปลงอย่างแน่นอน เพราะชาวบ้านไม่สนใจคำขอร้องของตน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอเรียกร้องไปยัง ผวจ.พัทลุง และอธิบดีกรมศิลปากร ให้ประสานงานขอกำลังตำรวจและทหารมาเฝ้าดูแลพื้นที่ ไม่ให้ชาวบ้านลงไปขุดหาทอง โดยจะให้ทางกรมศิลปากรจัดส่งเจ้าหน้าที่มาค้นหาวัตถุโบราณไปเก็บไว้เป็น สมบัติของชาติต่อไป ส่วนทองรูปพรรณและสิ่งที่มีค่าที่ตนขุดพบและเก็บเอาไว้นั้นได้นำไปฝากไว้กับธนาคารแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองพัทลุงเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไว้ที่บ้านแค่นิดเดียวเท่านั้น โดยจะนำทองรูปพรรณส่วนหนึ่งไปทำบุญที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นคร ศรีธรรมราชต่อไป ส่วนเรื่องที่จะมอบสิ่งมีค่าดังกล่าวให้กับทางราชการหรือไม่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ ยังอยู่ในระหว่างปรึกษาหารือกับสำนักศิลปากร
นายอาณัติ บำรุงวงศ์ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 14 จ.นครศรีธรรมราช กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ว่า การตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความเป็นมาและอายุของทองคำยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากยังมีประชาชนจำนวนมากยังคงมาขุดหาทองคำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำความเข้าใจกับประชาชน พร้อมกันประชาชนให้ออกไปจากพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งจากการสังเกตทองคำที่ชาวบ้านขุดได้พอที่จะสันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่า ทองคำที่พบเกิดจากความศรัทธาของพี่น้องชาวพุทธในอดีต ที่ต้องการนำทองคำมาเป็นส่วนประกอบในการสร้างองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่มาเจออุปสรรคบางอย่าง ที่ทำให้ทองคำเหล่านี้ถูกฝังทิ้งไว้ในพื้นที่ดังกล่าวเนื่องจากแผ่นทองคำมีลักษณะใกล้เคียงกับแผ่นทองคำและเครื่องประดับที่อยู่บน ปลียอดของพระบรมธาตุเจดีย์ฯ คิดว่าทองคำที่ขุดได้ไม่ควร นำไปขายหรือแปรสภาพ อยากให้คงสภาพไว้ และมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน โดยทางภาครัฐยินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ตามสมควร เมื่อทองคำเหล่านี้อยู่รวมกันมากๆ จะกลายเป็นโบราณวัตถุที่สูงค่า เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ของประชาชนและเยาวชนทั่วไป นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าสู่ จังหวัดพัทลุง เพื่อชมและศึกษาเรื่องทองคำ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุงอีกด้วย? นายอาณัติกล่าว
ต่อมาในช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาชัยสน ได้ใช้รถเครื่องขยายเสียงประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนให้ออกจาก พื้นที่ขุดทอง โดยเจ้าหน้าที่เตรียมนำกำลังเข้าพื้นที่ เพื่อขอความร่วมมือจากชาวบ้านให้ออกไปจากพื้นที่ในเวลา 15.00น. โดยจะกันพื้นที่ไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป เพื่อจะให้เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรตรวจสอบต่อไป
นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยภายหลังเดินทางกลับจากการลงพื้นที่ว่า ในบริเวณใกล้เคียงมีพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเพียงแห่งเดียว ซึ่งพบว่ามีแม่น้ำที่สามารถลัดเลาะมาได้ ลักษณะของแผ่นทองคำนั้นได้ผ่านกระบวนการของช่างทองมาแล้ว มีการรีดเป็นแผ่นสามารถพกพาเดินทางได้ง่าย โดยขณะนี้ได้มอบให้สำนักศิลปากรที่ 14นครศรีธรรมราช เป็นผู้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี เพื่อพิสูจน์ทางภูมิศาสตร์ ลักษณะการฝังเป็นการเจตนา หรือด้วยเหตุอย่างอื่น
อธิบดีกรม ศิลปากรยังระบุด้วยว่า ทองคำที่พบน่าเชื่อว่าจะเป็นทองคำของเจ้านายในระดับเจ้าเมือง หรือขุนนางชั้นสูง หรือคหบดี เนื่องจากดูปริมาณแล้วพบเป็นจำนวนมาก และขณะนี้ได้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ให้ประกาศให้พื้นที่แหล่งโบราณคดีจุดนี้เป็นพื้นที่ควบคุมห้ามประชาชนเข้ามา ขุดค้น ขณะเดียวกันจะประสานไปยังกองทัพภาคที่ 4 ในการเข้าจัดระเบียบพื้นที่เพื่อให้กรมศิลปากรเข้าดำเนินการ
มี ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์นครศรีธรรม ราชระบุว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าทองคำที่พบนั้นเป็นแผ่นที่ถูกรีดจนบางเช่นเดียวกับทองคำ ที่อยู่บนองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช โดยเป็นไปได้ว่าผู้ที่นำมานั้นอาจนำมาเพื่อมาก่อสร้างองค์พระบรมธาตุเจดีย์ หรืออาจเป็นทองคำที่เหลือจากการหุ้มปลียอดแล้ว เนื่องจากมีลักษณะเดียวกันและถูกนำไปยังสถานที่สำคัญอื่นๆ ในภาคใต้ตอนล่าง แต่อาจเกิดเหตุบางอย่างจึงไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ อยากให้ผู้ที่พบมีความตระหนักถึงคุณค่าของวัตถุชิ้นนี้ที่สามารถให้ความรู้ และเป็นเกียรติประวัติของประเทศ ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินทองที่ได้มาแล้วก็เสียไป? นายเอนกกล่าว
วันที่ 30 พ.ค. 57
เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.พัทลุง ว่า น.ส.ศิริพร ทองทวี วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง พ.ต.อ.ผล สุวรรณะ ผกก.สภ.เขาชัยสน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 50 นาย ได้เดินทางไปยังสวนปาล์มของนายวิ พร้อมกับนำป้ายประกาศขนาดใหญ่ไปติดประกาศไว้เพื่อห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปขุด หาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคล หากผู้ใดเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีความผิดฐานบุกรุก ทำให้ประชาชนประมาณ 500 คนที่กำลังขุดหาทองกันอยู่ต้องหยุดการขุดหาทองดังกล่าว มีชาวบ้านส่วนหนึ่งได้เก็บจอบ เสียม ทยอยเดินทางกลับบ้านไป
นาง ศิริพร ทองทวี วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง กล่าวชี้แจงกับชาวบ้านว่า จังหวัดพัทลุงขอออกประกาศเรื่องห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปขุดหาโบราณวัตถุหรือ ศิลปวัตถุดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกัน หากผู้ใดยังคงฝ่าฝืนเข้าขุดค้นหาวัตถุโบราณในสถานที่ดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พุทธศักราช 2504 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2535 จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 7 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พ.ต.อ.ผล วรรณะ ผกก.สภ.เขาชัยสน กล่าวว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จะใช้วิธีการขอความร่วมมือก่อน โดยเน้นการใช้มาตรการนิ่มนวลเพื่อเจรจาก่อน แต่หลังจากนี้หากประชาชนยังฝ่าฝืนทาง สภ.เขาชัยสนก็จะได้ประสานให้ทางหน่วยเหนือใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดต่อไป
วันที่ 31 พ.ค. 57
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.พัทลุง ว่า ที่บริเวณสวนปาล์มของนายวิ ทับแสง อายุ 55 ปี ที่บ้านทุ่งอ้อ หมู่ที่ 7 ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นจุดที่ขุดพบทองคำโบราณ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร ใช้ลวดหนามกั้นทางเข้าบริเวณสวนปาล์ม ห้ามเข้าไปขุดทองอย่างเด็ดขาด พร้อมทำความเข้าใจกับผู้ที่เดินทางมาหวังจะขุดทอง ซึ่งในที่สุดชาวบ้านเองไม่ได้เข้าไปขุดค้นหาทองแล้ว ส่วนที่เดินทางมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าส่วนหนึ่งมาดูการขุดทอง อีกส่วนหนึ่งมาแก้บน
นายอานัฎ บำรุงวงค์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 14 จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า จะผนึกกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรที่ 13 จ.สงขลา และสำนักศิลปากรที่ 15 จ.ภูเก็ต เพื่อจะเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่อีกครั้ง คาดว่าอย่างช้าสุดจะสามารถลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่จริงได้ภายในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจศึกษาอย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถบอกที่มาที่ไปของวัตถุโบราณที่เจอในพื้นที่แห่งนี้ได้
ด้าน รศ.ดร.ศุภศิลป์ มณีรัตน์ รอง ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา (RDO) ฝ่ายยุทธศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีชาวบ้านขุดพบทองใน ต.เขาชัยสน ม.อ.ในฐานะมหาวิทยาลัยทางด้านการศึกษา จึงได้จัดเสวนาเรื่อง ขุมทองเมืองลุง : ประวัติศาสตร์และคุณค่าŽ ในวันที่ 4 มิ.ย. ที่ห้องประชุม Conference Hall ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ม.อ. อ.หาดใหญ่ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนทั่วไป พร้อมป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีกในอนาคต ประชาชนจะได้รับรู้และมีแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง
วันที่ 1 มิ.ย. 57
ผอ.สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ระบุแนวการรับซื้อทองที่พัทลุง เผยเตรียมให้ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน 10 เท่า
นายอาณัติ บำรุงวงศ์ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช กล่าวว่า การขุดพบทองคำที่ องเขาชัยสน จ.พัทลุง ซึ่งได้มีการประกาศว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน และห้ามประชาชนเข้าไปขุดเพิ่มเติมนั้นหลังจากที่มีการประกาศว่าทองคำที่ขุดพบมีความเกี่ยวโยงกับองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ ผู้ครอบครองมีหน้าที่ในการส่งมอบให้การทางราชการ เพราะถือว่าเป็นของส่วนรวม
การส่งคืนนั้นไม่ได้ส่งคืนโดยผู้ครอบครองไม่ได้อะไรเลย แต่ทางราชการจะประเมินราคาและสมนาคุณแก่ผู้ครอบครองสูงกว่าราคาทองคำในปัจจุบัน อย่างเช่นราคาทองคำในปัจจุบันนั้นมีราคาเท่าไร ทรัพย์ที่พบนั้นถ้ามีลวดลายหรือรอยแกะสลักนั้นจะมีมูลค่าทางประวัติศาสตร์ที่สูงกว่าราคาทองคำปกติ ซึ่งโบราณวัตถุที่อยู่ใต้ดินนั้นอยากให้พี่น้องประชาชนชนสำนึกว่าเราตระหนักทรัพย์นี้ไม่ใช่ของเราก็ควรนำมามอบให้กับทางราชการนายอาณัติกล่าว
นายอาณัติ กล่าวอีกว่า ทางกรมศิลปากรจะตั้งคณะกรรมการเพื่อรับคืนทรัพย์สินดังกล่าว และจะมีการพิจารณาสมนาคุณให้กับผู้ครอบครองสูงกว่าราคาทองคำตามท้องตลาด อย่างเช่นราคาทองในปัจจุบันราคาเท่าไรนั้น ทองคำที่พบถ้ามีลวดลายหรือร่องรอยแกะสลักไว้จะมีราคาสูงถึง 30 เท่า แต่ในความเป็นจริงทางราชการจะสมนาคุณให้กับผู้ครอบครองสูงกว่าราคาปัจจุบัน 10 เท่า ซึ่งยังสูงกว่าราคาปกติ
ส่วนการที่ผู้ครอบครองจะนำมาคืนนั้นคาดว่าภายใน 1 เดือนน่าจะยังไม่แล้วเสร็จ แต่จะทำความเข้าใจและให้ความรู้กับผู้ครอบครอง ซึ่งนอกจากจะได้เงินสมนาคุณแล้ว ยังมีชื่อบันทึกไว้ในกรมศิลปากรเป็นเกียรติประวัติ ถือว่าได้ทำคุณงามความดีให้กับแผ่นดิน อยากให้ผู้ที่พบตระหนักถึงคุณค่าของวัตถุชิ้นนี้ที่สามารถให้ความรู้ และเป็นเกียรติประวัติกับประเทศต่อไป ส่วนความผิดนั้นยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะไม่ทราบว่าผู้ใดครอบครองอยู่บ้าง
ประวัติที่เกี่ยวข้องและสมมุติฐาน
https://www.youtube.com/watch?v=WkLJMsSdbZ4#t=12
//youtu.be/6Bf6VmV6M3U
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Insignia_Museum Diarist ดู Blog