อนุสาวรีย์ของบะโชในเมืองโองะกิ จังหวัดกิฟุ
รู้สึกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน ไปเจอบทกลอน ไฮกุ ที่บล็อกของ
คุณ กะว่าก๋า แต่ตัวเราเองไม่ทราบเรื่องความเป็นมา ตำนานหรือประวัติของ ไฮกุ เลยวันนี้มีโอกาสได้เจอประวัติตำนาน ไอกุ อีกครั้ง รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเลยนำมาฝากจ้ะ
ประวัติไฮกุ
ไฮกุมาจากบทกวีดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ไฮไค (Haikai) หรือ เร็งกุ (Renku) ต่อมาในสมัยเอโดะ ท่านปรมาจารย์ มะสึโอะ บะโช(ค.ศ. 1644-1694) ได้ขัดเกลาและสร้างแบบแผน ซึ่งต่อมาในสมัยเมจิได้มีการเรียกการประพันธ์ในแบบนี้ว่าไฮกุ ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นที่นิยมแต่งไฮกุถึง 10 ล้านคน และชาวต่างประเทศที่รักการแต่งไฮกุก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งในหมู่ชาวไทย
ไฮกุ (俳句, haiku) เป็นบทกวีญี่ปุ่น มีบทบาทมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ไฮกุเป็นบทกวี โดยที่กวีอื่นมีความยาวมากน้อยต่างกันและมีบังคับสัมผัสตามหลักฉันทลักษณ์ ทำให้บทกวีดังกล่าวไม่เหมาะกับการแสดงออกถึงปรากฏการณ์ทางจิต-วิญญาณและความลึกซึ้งออกมาได้ เนื่องจากบทกวีได้ถูกบังคับยึดติดกับรูปแบบและข้อจำกัดตายตัว แต่บทกวีไฮกุได้ตัดทอนลงให้เหลือเพียงตัวอักษร 3 วรรค ยาว 5-7-5 รวมเป็นตัวอักษรเพียง 17 ตัวเท่านั้น ไฮกุ มีพื้นฐานคือ เรียบง่าย และ ดั้งเดิม จึงไม่ยึดติดกับแบบแผน ไม่มีข้อจำกัด ไหลเรื่อยตามธรรมชาติ สั้นกระชับที่สุด ตรงที่สุด และเป็นไปอย่างฉับพลัน ตามสภาวะสัจจะล้วนๆ เรียบง่ายและตรงความรู้สึก ออกมาจากใจของกวี โดยปราศจากอุปสรรคขวางกั้น แสดงความงาม ความเศร้า ความสงบ ความปิติ ความเก่าแก่ เปลือยเปล่าอยู่ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ในวินาทีแห่งการสร้างสรรค์สิ่งอัศจรรย์ที่ไฮกุได้ถือกำเนิดขึ้น
「朝顔に釣瓶とられてもらひ水」
อา เจ้าดอกบานเช้า
ถังน้ำถูกเถาของเจ้าพัวพัน
ฉันวอนขอน้ำน้อยหนึ่งได้ไหม
--ชิโย
ในครั้งกระนั้นกวีหญิงชิโยมาตักน้ำในบ่อน้ำเธอได้พบว่าที่ตักน้ำได้ถูกเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยเถาของดอกบานเช้า (มอร์นิงกลอรี เธอได้ตะลึงงันด้วยความงามของมันจนลืมนึกถึงงานที่จะต้องทำ เมื่อมีสติ จึงนึกถึงภาระที่ต้องทำขึ้นมาได้ แต่เธอก็ไม่อยากจะไปรบกวนดอกไม้นั้น เธอจึงไปตักน้ำที่บ่อของเพื่อนบ้านแทน
「艸の葉を遊びありけよ露の玉」
เริงรำจากใบหญ้าใบนี้
สู่ใบโน้น
หยกหยาดน้ำค้าง
--รานเชตสุ
บทกวีรานเชตสุแสดงออกถึงความปิติรื่นเริงเบิกบานอย่างแท้จริง เมื่อชีวิตได้รับการหล่อเลี้ยงจากความงาม ย่อมเต็มเปี่ยมด้วยปิติสุข น้ำค้างเป็นตัวแทนของความปิตินี้ ไหลหยดย้อยด้วยลีลาของธรรมชาติ ดั่งการร่ายรำของหยาดน้ำค้าง จากใบหญ้าใบนี้สู่ใบโน้น น้ำค้างที่บริสุทธิสะอาดและประกายแวววับดุจหยกเมื่อต้องแสงอาทิตย์
จิตวิญญาณของกวีไฮกุ ได้ถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาและมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าและนิกายเซนอย่างที่สุด
รายชื่อนักกวีไฮกุที่สำคัญ
มะสึโอะ บะโช (Matsuo Bashō - 松尾芭蕉)มะสึโอะ บะโช
มะสึโอะ บะโช [ ญี่ปุ่น : 松尾芭蕉 Matsuo Bashō, พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644) 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 (ค.ศ. 1694) ] หรือ บะโช เป็นนามแฝงของ มะสึโอะ มุเนะฟุซะ (Matsuo Munefusa) เป็นกวีชาวญี่ปุ่น ผู้ซึ่งได้รับสมญานามเป็นปรมาจารย์ทางด้านบทกวีไฮกุ (Haiku) ในงานกวีที่เขาได้แต่งขึ้นเขียนเพียงชื่อ 芭蕉 (はせを ฮะเซะโอะ) เขาเป็นหนึ่งในกวีที่อยู่ในช่วงยุคสมัยเอะโดะ (edo)
บะโช เกิดในอิงะ (Iga) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดมิเอะ (Mie prefecture) ในตระกูลซามูไร ภายหลังจากการใช้ชีวิตหลายปีภายใต้วิถีชีวิตซามูไร เข้าได้ค้นพบว่าการเป็นนักประพันธ์นั้นเหมาะกับเขามากกว่า เขาจึงได้ละทิ้งวิถีชีวิตซามูไร บะโชได้เริ่มใช้ชีวิตแบบกวีเมื่อได้รับใช้เจ้านายในฐานะซามูไร ในตอนแรกเขาได้ตั้งชื่อตนเองว่า โทะเซ (桃青 Tosei) ตามบทกวีโทะเซ ซึ่งหมายถึงผลพีชเล็ก ๆ (unripe peach) ด้วยบะโชมีความยกย่องนับถือในตัวกวีจีนชื่อหลี่ไป๋ (李白 Lǐ Bó) ซึ่งหมายถึงลูกพลัมสีขาว
ในปี ค.ศ. 1666 เมื่อเจ้านายเก่าได้สิ้นชีวิตลง และมีเจ้านายใหม่ซึ่งเป็นพี่น้องของเจ้านายเดิมขึ้นมาปกครอง เขาได้เลือกกลับไปบ้าน แทนที่จะรับตำแหน่งต่อในฐานะซามูไร และย้ายไปเอะโดะในปี ค.ศ. 1675 (ปัจจุบันคือโตเกียว) ต่อมาในปี ค.ศ. 1678 ที่เอะโดะ เขาได้รับตำแหน่งให้เป็นปรมาจารย์ไฮกุ [Haiku master (Sosho)] และเริ่มชีวิตของกวีอาชีพ ในปี ค.ศ. 1680 ได้ย้ายไปยังฟุกุงะวะ (ส่วนหนึ่งของเอะโดะ) และได้เริ่มปลูกต้นบะโช (芭蕉 Bashō ต้นกล้วย) ที่เขาชื่นชอบในบริเวณสวน ภายหลังจากเขาที่ได้ใช้ชื่อตัวเองว่าบะโช
ในช่วงชีวิต บะโชได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปหลายแห่ง สถานที่ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น และสถานที่ที่ปรากฏในงานประพันธ์ การท่องเที่ยวเหล่านี้มีส่วนสำคัญในงานเขียนของเขา สถานที่บางแห่งได้ส่งเสริมให้มีจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ ในการเดินทางบะโชได้พบสานุศิษย์ และสอนพวกเขาด้วยเร็งงะ (連歌 renga)
หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ เส้นทางสายเล็ก ๆ ไปสู่ทางเหนือ (The Narrow Road Through the Deep North, 奥の細道 Oku no Hosomichi) เขียนขึ้นภายหลังจากการเดินทางของบะโชและลูกศิษย์ ซึ่งเริ่มจากเอะโดะในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1689 และพวกเขาเดินทางไปโทโฮะกุและโฮะกุริกุ จากนั้นจึงกลับสู่เอะโดะในปี ค.ศ. 1691 การเดินทางในหนังสือนี้จบลงที่โองะกิและมิโนะ (ปัจจุบันคือจังหวัดกิฟุ) ด้วยบทหนึ่งในไฮกุที่เขาแสดงความหมายโดยนัยว่า จะเดินทางไปศาลเจ้าอิเซะต่อ ภายหลังจากการพักอยู่ที่โองะกิ
บะโชเสียชีวิตเพราะโรคภัยไข้เจ็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในปี ค.ศ. 1694 ที่โอซากา ภายในบ้านของลูกศิษย์ที่เขาร่วมเดินทางไปด้วย ก่อนสิ้นใจ บะโชได้เขียนไฮกุสุดท้าย
ในการเดินทางฉันป่วย
ความฝันวิ่งอยู่รอบกาย
ในทุ่งที่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้ง
Tabini yande
Yume ha kareno wo
Kake meguru
On travel I am sick
My dream is running around
A field covered with dried grasses
บทกวีที่มีชื่อเสียงของบะโช
"ในสระเก่า" "furuike ya" ('oh, old pond!')
อา ในสระเก่า
กบกระโดด
ป๋อม!
Furuike ya
Kawazu tobikomu
Mizu no oto
Oh, an old pond!
A frog jumps in
The sound of water
เกร็ด
เกี่ยวกับ บะโช Bashō (芭蕉) หรือ ต้นกล้วย
เนื่องจากสภาพอากาศนั้นหนาวเย็นเกินกว่าที่กล้วยจะมีผลได้ ว่ากันว่า เขาตั้งใจว่าจะสื่อความหมายของบทกวีที่มิอาจมีผล หรือไร้ผล (useless poet) และเนื่องจากบะโชได้ศึกษาเซน เช่นนี้ เป็นไปตามแนวคิดของเซน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บล็อกหมวด ความรู้ทั่วไป Education Blog ขอบคุณค่ะ
เหมือนกะไปคนละเรื่องกันด้วยซ้ำในวรรคเดียวกัน
หากว่าคนเขาอ่านแล้ว ไม่ทราบว่าเรากำลังเขียนบทกลอนไฮกุ อยู่คงจพแย่เหมือนกันนะ