► ►► ..โถ..ชีวิต . . . ◄ ◄◄
เพื่อนบล็อก โจนบ้ากับป้าแก่ๆ
ให้หัวข้อในการเขียนเอนทรี่นี้มาว่า
เราเกิดมาทำไม?
เธออยากจะให้เป็ด เขียนเรื่องนี้ซะนิดนึง . . .
เราเกิดมาทำไม?
คำถามนี้มีมานาน ถ้าเป็นหนังก็กำลังยานได้ที่
ถ้าเป็นมะม่วง ก็คงกำลังงอมพระรามเชียวล่ะ
ขณะที่อะมีบาตัวแรกของโลกไต่เล่นอยู่แถวๆชายป่า
มันก็ถามตัวเองว่า “ นี่เราเกิดมาทำไมกัน? เรามาไต่แถวนี้ทำไม? “
ขณะที่ควายถึกกำลังเล็มหญ้าอยู่ชายทุ่งกับเพื่อนๆ
มันก็ยังเคยถามกับเพื่อนๆของมัน
ว่า” ชีวิตเราเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่อให้หมอนั่น จูงเรามากินหญ้ารึ? “
ว่าแล้วมันก็เหลือบเห็นเขาของเพื่อนมัน ก็เลยสัยต่ออีกนิด
ว่ามันเป็นอะไรกับแมงด้วงกว่าง?
ทำไมมีเขาเหมือนกัน?
.
.
.
นิยามของชีวิต
มีทั้งแบบสำเร็จรูป อย่างคำสอนของศาสนา
และแบบปัจเจก ที่มุ่งให้มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของชีวิต
แสวงหาความหมายเอาเอง
แล้วแต่มนุษย์ผู้นั้น เลือกที่จะเชื่อแบบไหน?
ถ้าแบบสำเร็จรูปที่ไม่ตรงใจ ก็คงต้องแสวงหารสชาติที่ถูกใจตัวเองเอาเอง
แต่ธรรมชาติของมนุษย์
มักจะขลาดกลัวต่อการริเริ่มเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยง
ฉะนั้น มนุษย์ที่ตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อความหมายของชีวิต
แล้วออกไปแสวงหาคำตอบ ถือว่าเป็นมนุษย์ที่กล้า
และอาจจะถึงขั้นบ้าบิ่น
เพราะส่วนใหญ่ ออกไปแล้ว มักจะไม่เจออะไรเลย
หรืออาจจะเจอ แต่อาจจะไม่ใช่แก่นสาร
กลายเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ เข้าป่าเข้าพงไปก็มี
.
.
.
โดยส่วนตัว เราเชื่อว่า มนุษย์เรา
ถูกออกแบบมาให้มีความคิดที่แตกต่างกัน มีมันสมองคนละก้อน
ถูกออกแบบมาให้มีความคิด ที่ไม่เหมือนกัน
นั่นก็เพื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนทางสังคม
คอยสร้างสรรค์ และทำลายโลก
ถ้าเราถูกออกแบบมาให้มีความคิดอย่างเดียวกัน
เราก็คงไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์
จุดประสงค์ของการเกิด จึงอาจจะไม่ได้มีคำตอบติดมากับชีวิต
แต่คำตอบจะเกิดขึ้น จากการที่เรารู้จักตั้งคำถาม
เมื่อเราแสวงหาคำตอบ เราก็คงจะได้คำตอบ
ซึ่งอาจจะมั่วๆบ้าง แต่นั่นก็เป็นนิยามของชีวิต ในแบบของเรา
ขึ้นอยู่กับว่า เราพอใจในคำตอบที่ได้จากการแสวงหานั้นหรือเปล่า?
ถ้าไม่พอใจ ก็กลับไปหาคำตอบสำเร็จรูป อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
.
.
.
ในทางพุทธศาสนา ชีวิตนั้นเป็นสีเทา
การเกิดไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะการเกิด มีทั้งสุขและทุกข์
พุทธศาสนา เสนอแนะทางที่มีแต่ความสุขให้
กล่าวคือพระนิพพาน
และยินดีให้พิสูจน์ ก่อนที่เราจะปักใจเชื่อ
จะมัวกลั้วทุกข์สุขอยู่ไย ในเมื่อเราเลือกที่จะสุขเพียงอย่างเดียวก็ได้
ความจริงพระนิพพาน ไม่มีทั้งสุขและทุกข์
เป็นสภาวะที่อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
แต่เป็นสภาพที่ไม่มีนิยามในภาษามนุษย์
ไม่มีศัพย์บัญญัติ เลยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร?
.
.
.
นิยามของชีวิตในทางพุทธศาสนา
กล่าวว่า ชีวิตเกิดมาเพราะมีเหตุปัจจัย
เหตุปัจจัยที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดมีอันเดียวสั้นๆ
นั่นคือ อวิชชา
วิชชา แปลว่าความรู้ อวิชชา แปลว่าความไม่รู้
ชีวิตเกิดมา เพราะความไม่รู้ คือยังโง่อยู่นั่นเอง
คนฉลาดๆ เขาไม่มาเกิดกันหรอกนะฮะ
ความโง่ที่ทำให้เกิดชีวิตนั้น แบ่งเป็นตัวแม่เป้งได้สี่ตัว
คือ ทุกเข อัญญาณัง ไม่รู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสุขกันแน่?
ทุกขสมุทเย อัญญาณัง ไม่รู้ว่าอะไร มันทำให้เกิดความทุกข์
ทุกขนิโรธ อัญญาณัง ไม่รู้ว่าการพ้นจากทุกข์ไปแล้ว คืออะไร?
ทุกขนิโรธคามินียา ปฏิปทาย อัญญาณัง ไม่รู้ว่าทางที่จะทำให้พ้นทุกข์
คือทางไหน?
.
.
.
ฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีสิ่งเหล่านี้
ชีวิตก็ยังต้องเกิด
นิยามของชีวิต ในทางพระพุทธศาสนา จึงอาจกล่าวได้ว่า
เราเกิดมา เพื่อที่จะหาทาง ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
นั่นเอง
กล่าวคือ เกิดมาเพื่อหาทางทำให้ตัวเองพ้นจากความโง่
พอฉลาดแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องเกิดอีกไงเล่า
.
.
.
แต่อย่าลืม ว่านี่เป็นเพียงคำตอบสำเร็จรูป
ถ้าเธอไม่พอใจในนิยามนี้
เธอก็มีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะออกไปเป็นยิปซีร่อนเร่แสวงหาสัจจะแห่งชีวิต
ในแบบของตัวเองต่อไป
. . .
แต่คำถามที่สำคัญยิ่งกว่าการถามถึงนิยามของชีวิต
ก็คือ
เราจะทำอย่างไร เมื่อสุดท้ายเราได้รู้ความจริงว่า
ชีวิตนั้น นิยามของมันช่างต่ำต้อยติดดิน ไม่ได้สูงส่งอย่างที่เราคาดหวัง
ชิวิตอาจจะเป็นเพียงตุ่มหูดของจักรวาลเท่านั้น
คำถามก็คือ เรายังจะใช้ชีวิตตามนิยามนั้น รึเปล่า?
เราอยากรู้จริงๆหรือ ว่านิยามของชีวิตคืออะไร?
.
. .
ภาพวาดฝีมือเป็ดสวรรค์ สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามนำไปใช้ในทางลามกอนาจาร
Create Date : 11 กันยายน 2553 |
Last Update : 11 กันยายน 2553 0:57:40 น. |
|
26 comments
|
Counter : 585 Pageviews. |
|
|
|
โดย: eroz_killer วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:0:46:20 น. |
|
|
|
โดย: หน่อยอิง วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:5:34:45 น. |
|
|
|
โดย: ก้อยค่ะ (Gunpung ) วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:5:49:11 น. |
|
|
|
โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:6:49:20 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:8:03:33 น. |
|
|
|
โดย: kapeak วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:8:40:30 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:8:42:03 น. |
|
|
|
โดย: pinkypunch วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:9:01:26 น. |
|
|
|
โดย: ปันฝัน วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:10:06:23 น. |
|
|
|
โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:11:36:02 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:14:47:35 น. |
|
|
|
โดย: Scientist วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:17:07:32 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:20:21:34 น. |
|
|
|
โดย: คล้ายดาว วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:22:51:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สวรรค์ชั้นดาวโด่..สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งแห่งเอธิโอเปีย.. Ethiopia
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 85 คน [?]
|
เจ้าของบล็อก ชื่อ เป็ดสวรรค์ บุตรพระเจ้ากูลิโกะ ผู้ปกครองแคว้นมิยาบิ ชอบมองโลกในมุมขำขัน เป็นพรสวรรค์ ติดตัวมาจากนครสวรรค์ เมื่อแรกประสูติ โหราธิบดีนามว่าโตโยต้าได้ทำนายว่า พระโอรสพระองค์นี้ หัวพระถันดำเมี่ยมยิ่งนัก นับเป็นกาลกิณี เมื่อเติบใหญ่ขึ้นบ้านเมืองจะวุ่นวาย ชาวเมืองจะออกมาชุมนุม และจะมีคนตายถึง 91 ศพ
เมื่อพระราชบิดาเห็นดังนั้น จึงให้เนรเทศพระโอรสน้อย ให้ออกไปทำไร่ไถนาอยู่แคว้นปัญจาบ หลังๆหันมาปลูกฝิ่นส่งออกขายนอกประเทศ มีความสนิทสนมกับขุ่นส่า คบค้ากับตานฉ่วย
เมื่อเติบใหญ่ขึ้น จึงใช้เวลาว่างมาเขียนบล็อกเล่นๆ จนล่าสุด เพื่อนฝูงก็เมตตา โหวตให้ได้สายสะพาย ทรงซาบซึ้งพระหัวใจมาก กะว่าจะเลิกค้าฝิ่น แล้วหันมาเอาดีทางขีดเขียนแทนแล้วล่ะ
หวังว่าจะมีรอยยิ้มหลังจากที่อ่านจบ ยิ้มเล็กยิ้มน้อย ค่อยๆยิ้ม แต่ยิ้มนานๆก็ได้
และหากคุณชื่นชอบเรื่องขำขันชวนหัว โปรดอย่ามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะหากคุณชอบมัน และมีคนชอบมัน ก็แสดงให้เห็นว่า มันคงจะมีคุณค่าในตัวมันเองอยู่บ้าง
ลงนาม อัลบัสไดร์เวอร์ เพอรซิวาล วูลฟริก เป็ดสวรรค์ อังคารที่ 4 เมษายน พุทธปรินิพพานล่วงแล้ว 2554 ปี
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ชอบจังค่ะ อ่านแล้วได้แง่คิดดีๆเยอะเลยค่ะ
การ์ตูนแสดงอารมณ์หลากหลายน่ารักจัง เลือกใช้ไม่ถูก อิๆๆ