“ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว”

ติช นัท ฮันท์
378 .. เสียงอ่านเพชรพระอุมา-ภาคสมบูรณ์ # 38 (241 - 255)

     








เสียงอ่านเพชรพระอุมา–ภาคสมบูรณ์ # 38

ลำดับที่  241 - 255


    

    

    


    


ที่มาของเสียงอ่านเพชรพระอุมา  ขอเชิญเปิดอ่านที่นี่





ขอเชิญฟังเสียงอ่านนวนิยาย เพชรพระอุมา – ภาคสมบูรณ์

ลำดับที่ 241 – 255 ค่ะ






ลำดับที่  241 - 243

                    





ลำดับที่  244 - 246

                    





ลำดับที่  247 - 249

                    





ลำดับที่ 250 - 252

                    





ลำดับที่ 253 - 255

                    






    
ขอเชิญติดตามตอนต่อไปในลำดับที่ 39 ค่ะ














อิ น ไ ซ ด์  เ พ ช ร พ ร ะ อุ ม า   

จากนิตยสาร จักรวาลปืน ฉบับที่ 292
ต  อ  น  ที่   2/3
โดย........ พนมเทียน

**********


    

    






เรื่องราว หรือนวนิยายของผมทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าผมไม่รู้ด้วยตนเอง หรือไม่เคยศึกษามาก่อน ผมจะไม่เขียนเป็นอันขาด เพราะเขียนไม่ได้ ไม่มีวัตถุดิบอะไรจะเขียน ดังท่านอาจสังเกตเห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์หรือนิยายที่อิงพงศาวดารจีน ผมไม่เคยเขียนเลย เพราะผมไม่เคยรู้เรื่องของเมืองจีน ทั้งอดีตและปัจจุบัน จะตั้งชื่อตัวละครสักตัวก็ยังตั้งไม่ถูกเลย เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่กล้าเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจีนเลย ทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์ พงศาวดารจีน มีเรื่องพิลึกกึกกืออยู่มากมายน่านำออกมาเขียนมากทีเดียว ผมยังศึกษาเข้าไม่ถึง จึงไม่กล้าเขียน กลัวจะผิดพลาด จะหลับตาวาดภาพนึกฝันเอาเอง ก็จะเป็นการปล่อยไก่ทั้งเล้าเสียเปล่าๆ เพราะท่านที่รู้ย่อมมีอยู่ทั่วไป คนเขียนหนังสือนั้น ตัวเองเขียนอยู่คนเดียว แต่คนอ่านนับจำนวนมากมาย ผิดพลาดอย่างไรเป็นต้องถูกค้นพบ จับได้อยู่วันยังค่ำ ผมจึงขอยืนยัน ณ ที่นี้อีกครั้งว่า เรื่องอะไรที่ผมไม่มีความรู้ ความชำนาญ มาก่อนผมจะไม่เขียนอย่างเด็ดขาด แม้ว่าใจอยากจะเขียนสักเพียงไรก็ตาม





เรื่องของป่า ผมรู้มาจากไหน ?


ถ้าไม่เป็นการปิดบังอำพรางกันแล้ว ผมขอเรียนให้ท่านผู้อ่าน ที่อาจทราบมาบ้างแล้ว (หรืออาจจะยังไม่ทราบมาเลย) ว่า ผมเป็นคนชอบเดินป่าล่าสัตว์อันตรายมาก่อนในอดีตบรรพบุรุษเชื้อสายเลือดสืบทอดกันมาในเรื่องการเดินป่า นิสัยผมเองก็รักในการผจญภัย รักปืนผาหน้าไม้ รักในการล่า ติดมาในสายเลือดและเป็นคนที่แย่มาก ในด้านทำบาปขึ้นเหลือเกิน สิ่งนี้อาจถือเป็นโชคในแง่ของพรานนักล่า แต่ชั่วช้าบาปหนามาก สำหรับบุคคลที่เคร่งอยู่ในธรรมะ ผมชอบล่า ชอบแกะรอยมาโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าไม่เกี่ยวกับการเขียน "เบื้องหลังนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา" ผมก็ไม่อยากจะเปิดเผยในสิ่งไม่เป็นมงคลกับตนเอง กับท่านเลย มันเป็นสิ่งไม่ดีไม่งามเลยสักนิด ในการที่จะบอกถึงความเป็นนักปานาติบาตของตนเอง ซึ่งรู้จักการล่ามาตั้งแต่อายุน้อยๆ แค่ 7-8 ขวบ และพี่น้องในสกุลของผม ที่ได้รับมรดกตกทอดในเรื่องนี้จากบรรพบุรุษ ก็มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้น พี่น้องญาติโยมคนอื่นๆ เขาไม่ใจบาปอย่างผมหรอก ทุกคนล้วนเอื้ออารีเวทนาปรานี ต่อสัตว์โลกทั้งสิ้น ดันมีผมอยู่คนเดียว ที่ได้รับสายเลือดมาจากปู่ และตา อย่างเต็มที่ (ก็โชคดีอยู่บ้างที่ลูกๆ ของผมไม่ได้รับเอามรดกสายเลือดชนิดนี้ไว้เลยสักคนเดียว - บุญไปอย่าง)



ปู่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำโต๊ะโม๊ะ เป็นผู้บุกเบิกและค้นพบเหมืองทองคำแห่งนั้น สาเหตุที่ไปค้นพบเข้าก็เพราะ เป็นนักพเนจรซอกซอนป่าของท่านนี่แหละ และกว่าจะพบเหมืองทองได้ ท่านก็ต้องผ่านผจญกับ ป่า มานับไม่ถ้วน กรณีเรื่องการยิงเสือลายพาดกลอนบนหลังช้างของท่าน ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนนักกีฬายิงปืนทุกวันนี้ ที่เอาปืนของคนไปยิงเป้ากระดาษ (ผมเองเกิดไม่ทันท่านหรอก เพราะท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่คุณพ่อผมอายุได้ 11 ขวบ แต่หลักฐานทางจดหมายเหตุติดต่อ และหลักฐานทางวัตถุ และเอกสารหลายชิ้นที่ตกทอดมาถึงผมยืนยันครบ นอกเหนือไปจากคำบอกเล่าของย่า และญาติผู้ใหญ่ที่ยังพอมีชีวิตเหลืออยู่)



ส่วนตาของผม (พ่อของแม่) ถึงแม้จะไม่ใช่พรานอาชีพ แต่ท่านก็เป็นพรานกิตติมศักดิ์ (รายนี้ผมเกิดทัน ซึ่งท่านมาเสียชีวิตเอาเมื่อผมอายุตั้ง 20 ปีแล้ว) ตาได้สอนผมมาแต่เล็กแต่น้อยทีเดียว ในเรื่องมนตราอาคม และวิชาการล่าสัตว์หรือหลีกหลบสัตว์ (ก็สุดแล้วแต่กรณีไป) รวมทั้งสอนวิชายังชีพในป่าให้แก่ผม ก็ไม่ได้เจตนาจะสอนให้โดยตรงหรอก แต่เหตุการณ์จำเจบังคับ ท่านออกป่าล่าสัตว์ ผมก็ออกกับท่าน ท่านบริกรรมปลุกเสกอย่างไร ผมก็ได้รับการเรียนรู้ และแม้ท่านถลกหนังสัตว์ชนิดไหนอย่างไร ผมก็จำเอาไว้ เพราะเป็นลูกมือช่วยเหลือท่านอยู่ด้วย เหล่านี้ มันซึมซาบเข้าไปในสันดานของผมโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าฝึกกันมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ ทีเดียว



สมัยที่หลบระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่สอง อพยพไปเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านเกิดเดิม อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ตา คือครูคนแรกในการฝึกนิสัยเดินป่า และดำรงชีพอยู่ในป่าให้แก่ผม ซึ่งแต่แรกเริ่มเมื่อยังตัวน้อยๆ อยู่นั้น ก็เริ่มใช้หนังสติ๊ก และไม้ซาง, ล่านก, ล่าหนู, ล่าปลาช่อนไปก่อน พอโตขึ้นอีกหน่อย ก็เริ่มใช้ปืนลม จนกระทั่งไต่ อันดับขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นปืนลูกกรด .22, ปืนลูกซอง, ขึ้นมาจนกระทั่งไรเฟิลขนาดหนัก (แต่ผมสาบานได้ว่า ในชีวิตไม่เคยฆ่าช้างเลย แม้จะประจัญหน้ากันในระยะกระชั้นชิด หลายต่อหลายครั้งก็ตาม เพราะผมให้สัตย์ไว้ก่อนว่า ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยิงช้าง และสัจจะอันนั้น ผมรักษาไว้ได้ตลอดไปในยุคที่ยังเข้าป่าล่าสัตว์อยู่)



มีพรานใหญ่คนหนึ่ง ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั้งประเทศไทย ถ้าเอ่ยชื่อท่าน ก็คงร้องอ๋อ ท่านผู้นี้ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่อาจได้รับอิทธิพลจากสายเลือดทางบรรพบุรุษตกทอดมา ท่านล่าและศึกษาชีวิตในป่ามามาก จนสามารถจะทำพอพิพิธภัณฑ์สัตว์ป่าในบ้านได้ และท่านก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการผลักดัน พรบ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าออกมา นึกออกไหมครับ ว่าท่านเป็นใคร

คุณหมอบุญส่ง เลขะกุล ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น อาผมเอง !!



เมื่ออยู่ในวัยที่โตขึ้นพอสมควรแล้ว ผมได้มาศึกษาเรียนรู้เรื่องป่า และสัตว์ป่าเอากับคุณหมอบุญส่ง เลขะกุล นี่แหละ เป็นการเพิ่มเติม ระยะนั้นเป็นระยะที่ตัวท่านเองเบื่อการล่าสัตว์แล้ว และเห็นว่าสัตว์ป่ากำลังจะหมดไปจากประเทศไทย จึงพยายามที่จะหาทางให้รัฐออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ออกมาให้ได้ แต่มันกลับเป็นระยะที่ผมกำลังฟิตเต็มที่ในเรื่องป่าและสัตว์ป่า, ความต้องการของเราจึงสวนทางกัน ประสาเด็กกับผู้ใหญ่ ระหว่างที่ผมไปขอศึกษาเรื่องราวของป่าและสัตว์ป่า, ความต้องการของเราจึงสวนทางกัน ประสาเด็กกับผู้ใหญ่ ระหว่างที่ผมไปขอศึกษาเรื่องราวของป่าและสัตว์ป่ากับท่านผมก็ไม่เคยบอกท่านเลยว่า ตัวผมเองเข้าป่ารังแกสัตว์ทุกปี อย่างน้อยปีละหน ครั้งละนานๆ ท่านก็ได้แต่อบรมสั่งสอนให้ผมรู้จักธรรมชาติรักชีวิตสัตว์ป่า อันเป็นทรัพยากรของชาติ ส่วนผมก็คิดอยู่ในใจ ระหว่างที่ท่านพร่ำพูดสอนเตือนว่า "ก็คุณอาล่ามาเสียจนพอแล้วนี่!"



เกริ่นมาเพียงสั้นๆ แค่นี้ คงจะไม่ต้องอรรถาธิบายแจกแจงอะไรละเอียดไปกว่านี้อีกแล้วนะครับว่า ป่านั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอดีตของผม ซึ่งมีหลักเกณฑ์และหลักการครบ ไม่ใช่ว่าพอนึกอยากจะเข้าป่า ก็เอารถจิปออกไปส่องตามทุ่ง ป่าของผมนั้น หมายถึงว่าจะต้องบุกห้วย ปีนเขา ไต่หน้าผาขึ้นไป รถยนต์เข้าถึงที่ไหนผมไม่เรียกว่าป่าหรอก และสำหรับป่าในเมืองไทย (รวมทั้งสัตว์ป่าด้วย) มีเหลืออยู่ให้เห็นสำหรับคนรุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว (ยกเว้นป่าสงวน วนอุทยานในปัจจุบันนี้) คือเมื่อประมาณครั้งล่าสุด ราว พ.ศ.2510 ซึ่งเป็นปีที่ผมเอาฝรั่งเข้าไปสำรวจถิ่นมนุษย์หิน ในป่าเมืองกาญจน์ทางด้านหลังน้ำตกเอราวัณ ซึ่งหลังจากนั้นมาแล้ว ไม่มีป่าใหญ่จริงๆ เหลืออยู่อีกแล้วในเมืองไทย เพราะพวกบุกตัดกันหมด !



ยุคที่ผมตระเวนป่าอยู่นั้น ก็คงจะเป็นยุคเดียวกับ ไกร วิริยะ ผู้เขียนเรื่องชุด ป่าดงและพงไพร ในนิตยสารฉบับนี้ ท่องเที่ยวอยู่นั้นแหละ เพียงแต่ว่าเรายังไม่รู้จักกันในสมัยนั้น และเราไปกันคนละตำแหน่งแห่งที่ หรือบางทีก็อาจจะสวนกันไปมา โดยต่างฝ่ายต่างไม่รู้ แต่สำหรับผมนั้น เดิน จริงๆ ครับ มีอะไรก็แบกหามบุกเขาข้ามห้วยกันไป ไม่มีรถจิปจะใช้วิ่งหาสัตว์หรอก เดินข้ามเขากันเป็นลูกๆ ต่อวัน ค่ำไหนนอนนั่น มีแค่ผ้าพลาสติกสองผืน ผืนหนึ่งปูนอน อีกผืนขึงบังอยู่ด้านบน ช่วยกันค้างหรือฝนเท่านั้น ไม่มีวาสนาได้นอนเต็นท์กับเขาหรอก และเกือบตายเพราะขาดแหล่งน้ำ และหลงป่าอยู่หลายครั้ง



ติดตามอ่านอินไซด์ เพชรพระอุมา   ตอนที่  3/3ได้ในลำดับถัดไป


    


    








ขอขอบคุณ "พนมเทียน" เจ้าของผลงาน "เพชรพระอุมา"

ขอขอบคุณ ณ บ้านวรรณกรรม ผู้จัดพิมพ์วรรณกรรมเรื่องนี้

ขอขอบคุณ ห้องสมุดคอลฟิลด์เพื่อคนตาบอด
มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
ผู้จัดทำเป็นหนังสือเสียง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ...เว็บแฟนแท้แท้เพชรพระอุมา และ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอขอบคุณภาพจากทุกเว็บที่เกี่ยวเนื่องกับเพชรพระอุมา

ขอขอบคุณเครื่องแต่งบล็อก จากบล็อกชมพร / บล็อกญามี่

และขอขอบคุณ คุณ treetree6969 ผู้จัดทำวิดีโอนี้



สาขา  Book Blog


ร่มไม้เย็น ค่ะ


  


Create Date : 22 กันยายน 2556
Last Update : 26 กันยายน 2556 20:57:17 น. 0 comments
Counter : 3185 Pageviews.

ร่มไม้เย็น
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]







เริ่มเขียน Blog เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2551


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยม เมื่อเวลา 18.15 น.



Group Blog
 
<<
กันยายน 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
22 กันยายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ร่มไม้เย็น's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.