149 .. วิตามิน D ของเกือบฟรี
วิตามิน D ของเกือบฟรี
เขียนโดย วีรกร ตรีเศศ หรือ วรากรณ์ สามโกเศศ
จากคอลัมน์ อาหารสมอง มติชนสุดสัปดาห์ ศุกร์ 19 กุมภาพันธ์ 2553
วิตามินประเภทหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะมีราคาถูก หาได้ง่าย ไม่มีการโฆษณา แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันกระดูกผุ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม อาการซึมเศร้า โรคเบาหวาน ความอ้วนเกินปกติ ฯลฯ นั่นก็คือ วิตามิน D
วิตามิน D ถูกมองข้ามมานาน เพราะบริษัทยาไม่โฆษณาขาย เนื่องจากสามารถได้มาโดยไม่ต้องจ่ายตังค์ผ่านการรับแสงแดด (ทั้งหมดนี้ไม่ฟรี เพราะแสงแดดทำให้ร้อน ต้องเสียเวลาอยู่กลางแดด และในบางกรณีอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง)
ถ้าสามารถจับแสงแดดใส่ขวดหรือกระป๋องขายได้เมื่อใด เมื่อนั้นคงมีการโฆษณาขายวิตามิน D ชนิดธรรมชาติแน่ วิตามิน D ประเภทบริโภคเสริมอาหารก็มีขาย แต่ไม่กว้างขวางเหมือนวิตามินชนิดอื่นเนื่องจากมีแสงแดดเป็นทางเลือก
มีข้อน่ารู้หลายประการเกี่ยวกับวิตามิน D ดังต่อไปนี้
1. วิตามิน D ผลิตโดยผิวหนังเมื่อได้รับรังสีอุลตร้าไวโอเล็คจากแสงแดดตามธรรมชาติ การโดนแสงแดดผ่านกระจกไม่ทำให้เกิดวิตามิน D เพราะรังสีไม่สามารถเจาะทะลุผ่านกระจกได้
2. การบริโภคอาหาร เช่น ดื่มนม 10 แก้วใหญ่ในแต่ละวัน จึงจะทำให้ได้รับปริมาณต่ำสุดของวิตามิน D ที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน D อย่างเพียงพอในแต่ละวันโดยไม่โดนแสงแดดจึงเป็นเรื่องยาก การได้รับแสงแดดเท่านั้นที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าเกิดการผลิตวิตามิน D ขึ้นในร่างกายของเรา
นอกจากนมแล้ว ก็มีน้ำมันตับปลา (ปลาค๊อดที่หายากยิ่ง มีวิตามิน D มาก) ปลาที่มีน้ำมันมาก ๆ เช่น ปลาตระกูลปลาดุก ตระกูลปลาทู ปลาทูนา ปลาซาดีน ปลาไหล ปลาเฮอริ่ง ส่วนไข่ไก่ ตับวัว ก็มีวิตามิน D เช่นกัน
3. ยิ่งอยู่อาศัยห่างเส้นศูนย์สูตรมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องการแสงแดดนานเพียงนั้น เพื่อให้ได้รับวิตามิน D คนผิวคล้ำอาจต้องการแสงแดดมากกว่าคนผิวขาว 20 - 30 เท่า เพื่อผลิตปริมาณวิตามิน D ปริมาณเท่ากัน (นี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดคนผิวดำมีอัตราการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าคนผิวขาว เนื่องจากได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ)
4. การดูดซับแคลเซียมของกระเพาะอาหารเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากไม่มีวิตามิน D ในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะรับแคลเซียมเข้าไปในร่างกายมากเพียงใด ก็ไม่สามารถดูดซับได้
5. คนที่ขาดวิตามิน D เรื้อรัง ต้องใช้เวลานานในการกลับมาอยู่ในสภาพปกติโดยบริโภควิตามิน D เป็นเดือน ๆ พร้อมกับรับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลา 10 - 20 นาทีในแต่ละวันเป็นอย่างน้อย
6. พวกครีมป้องกันแดด (sunscreen cream) กีดขวางความสามารถในการผลิตวิตามิน D เพียงแค่ครีมที่มีดีกรี SPF = 8 (ปกติคนเล่นกอล์ฟจะใช้15 ถึง 30 SPF) ก็บล๊อกความสามารถดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 95 นี่คือสิ่งที่ต้องระวังสำหรับการใช้ครีมประเภทนี้ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดวิตามิน D และเจ็บป่วยขึ้น
7. ไม่มีการผลิตวิตามิน D มากเกินไปจากการรับแสงแดด ร่างกายของเราจะเป็นผู้ควบคุมการผลิตโดยอัตโนมัติเพื่อไม่ให้เกิดการผลิตวิตามิน D มากกว่าที่ร่างกายต้องการ
8. ก่อนที่วิตามิน D จะถูกใช้งานในร่างกายได้ จะต้องถูก เป่ากระหม่อม โดยตับ และไตเสียก่อน การเป็นโรคเกี่ยวกับตับและไต จนทำงานไม่เป็นปกติ จึงทำให้ร่างกายขาดวิตามิน D เนื่องจากตับและไต จะกลายเป็นตัวกีดกันการใช้วิตามิน D ของร่างกายไป
9. ถึงแม้วิตามิน D จะเป็นสารเคมีที่ทรงพลังยิ่งสำหรับร่างกายเรา แต่เราก็สามารถได้รับมันได้ทุกวันโดยไม่ต้องบริโภคผ่านปาก (ทำให้เสียเงิน) เพียงแต่ไม่เป็นแดร็กคูล่ากลัวแสงแดดเท่านั้นก็พอ
วิตามิน D เป็นสิ่งที่เรียกว่า prohormones (สารที่จะถูกเปลี่ยนเป็น hormone ต่อไป) มีอยู่ 5 ชนิดคือ D1 ถึง D5 ทั้ง 5 ชนิดต่างมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเคมีของร่างกาย มันช่วยเพิ่มการไหลเวียนของแคลเซียมในกระแสโลหิต (ช่วยการดูดซับแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหาร) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างกระดูกของร่างกาย
การขาดวิตามิน D ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับกระดูก, โรค Rickets (เป็นโรคที่เกิดในเด็กโดยกระดูกไม่เติบโตอย่างปกติ และนำไปสู่ความผิดปกติของร่างกายและเกิดความพิการ), นอกจากนี้ทำให้กระดูกบาง และกล้ามเนื้ออ่อนแรง, ตลอดจนนำไปสู่ภาวะกระดูกผุด้วย
แพทย์และนักวิจัย เข้าใจเรื่องปัญหาจากการขาดแคลนวิตามิน D พอควร แต่สิ่งที่ยังดำมืดอยู่ก็คือ ยังไม่รู้ว่าหากรับวิตามิน D เข้าไปในร่างกายเกินขนาดที่เหมาะสมแล้ว (กังวลจากการบริโภคผ่านปาก) ผลเสียระยะยาวจะเป็นอย่างไร
เรื่องนี้ไม่น่ากังวลเท่ากับความจริงที่พบว่า การขาดแคลนวิตามิน D อาจมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรังหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง, วัณโรค, มะเร็ง, โรคหลอดเลือด, โรคเกี่ยวกับความจำ, เบาหวาน ฯลฯ หรือแม้แต่โรค Parkinsons (โรคที่ทำให้ตัวสั่น)
วิตามิน D มีความสำคัญต่อมนุษยชาติ มีราคาต่ำ และมีอยู่มากมายเพียงพอ ขอแต่ให้ได้รับแสงแดด 10 - 20 นาทีต่อวันเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กซึ่งกำลังต้องการกระดูกที่แข็งแรงเพื่อเป็นโครงของร่างกายต่อไปในวันข้างหน้า
การให้เด็กนักเรียนนั่งและยืนตากแดด ฟังครูอบรมหน้าเสาธงทุกเช้าเพื่อรับวิตามิน D เป็นไอเดียที่ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจด้วยว่า เหตุใดจึงต้องนั่งฟังกลางแดด อย่าพูดชนิดจู้จี้ขี้บ่น และที่สำคัญอย่าพูดนานเกินไป
ธรรมสวัสดี
ร่มไม้เย็น ค่ะ
Create Date : 06 พฤษภาคม 2554 |
|
19 comments |
Last Update : 22 เมษายน 2556 19:01:30 น. |
Counter : 4831 Pageviews. |
|
|
|