Group Blog
 
 
ตุลาคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
1 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

1 ปีที่เฝ้ารอให้ 23 กก. นั้นจากไป

บล๊อคฝุ่นเขรอะมากๆ ไม่เคยมาอัพบล๊อคซะนาน แบบแว่ไม่ค่อยมีเรื่อง ฮา

แต่วันนี้ก็อยากจะเล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการพิชิตน้ำหนักส่วนเกิน
ให้ดูรูปก่อน




รูปก่อนหน้าเป็นรูปที่น้ำหนัก 72 กก. (หุหุ ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน)
รูปหลังจากนั้นเป็นรูปที่น้ำหนัก 52 กก. (ปัจจุบัน 1 ต.ค.53 50 กก.)
ในรูปชุดค่อนข้างหลวม เสื้อยังตัวเก่าXL ตัวเก่ารวบเอวพองเชียว
ยังไม่มีรูปเสื้อที่ชัดๆเห็นทรวดทรงองเอว เอิ๊กๆ

อัพเดท(24 กุมภาพันธ์ 2554)
ตอนนี้น้ำหนักมาอยู่ที่ 48 กก.
มีภาพใหม่มาอวดกัน


เริ่มลดน้ำหนักในเดือน มกราคม 2553
ความจริงเป็นเหตุผลจำเป็นทางสุขภาพ เรียกว่าไฟต์บังคับ
คือตรวจพบว่าเป็นไตเสื่อม ระยะก่อนล้างไต จำเป็นต้องควบคุมอาหารโดยด่วน
เรื่องมันยาวค่อยเล่าให้ฟัง แต่แทรกๆไปเรื่อยๆละกัน

มีแต่คนถามว่าทำอย่างไร
ต้องอดอาหารหรือเปล่า
อยากผอมมั่งจัง ทำไงดี



ตอบไปว่า "กินข้าว 3 มื้อปกติเนี่ยแหล่ะ"

เชื่อมั้ย???

เชื่อซิ กินข้าว 3 มื้อจริงๆ


จะให้ดูเมนูในแต่ละวัน

วันที่ 1
มื้อเช้า ข้าว 1 ทัพพี , แกงจืดผักกาดขาว+วุ้นเส้น , ไข่ต้ม(กินแต่ไข่ขาว)
มื้อกลางวัน ข้าว 1 ทัพพี , แกงจืดผักกาดขาว+วุ้นเส้น
มื้อเย็น ข้าว 1 ทัพพี , น้ำพริกหนุ่ม+ผักสด , ผัดกระเพราเห็ดเออรินจิ , ผลไม้

วันที่ 2
มื้อเช้า ข้าว 1 ทัพพี , ต้มยำเห็ด , ไข่ต้ม(กินแต่ไข่ขาว)
มื้อกลางวัน ข้าว 1 ทัพพี , ต้มยำเห็ด
มื้อเย็น ข้าว 1 ทัพพี , ผัดฟักทอง , ผลไม้

วันที่ 3
มื้อเช้า ข้าว 1 ทัพพี , แกงส้มผักบุ้ง+มะละกอ , ไข่ต้ม(กินแต่ไข่ขาว)
มื้อกลางวัน ข้าว 1 ทัพพี , แกงส้มผักบุ้ง+มะละกอ
มื้อเย็น ข้าว 1 ทัพพี , ยำวุ้นเส้นผักสด , ผลไม้

วันที่ 4
มื้อเช้า ข้าว 1 ทัพพี , ต้มฟักมะนาวดอง , ไข่ต้ม(กินแต่ไข่ขาว)
มื้อกลางวัน ข้าว 1 ทัพพี , ต้มฟักมะนาวดอง
มื้อเย็น ข้าวหนียว+ส้มตำ , ผลไม้


วันที่ 5
มื้อเช้า ข้าว 1 ทัพพี , ผัดผักรวม , ไข่ต้ม(กินแต่ไข่ขาว)
มื้อกลางวัน ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ใส่ผักเยอะๆ(งดเนื้อสัตว์+ลูกชิ้น)
มื้อเย็น ข้าว 1 ทัพพี , ผัดผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้


นี่เป็นเพียงตัวอย่าง 5 วันที่กิน
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมกินซ้ำกัน 2 มื้อ 3 มื้อ
ใครที่ครอบครัวต่างจังหวัดจะทราบว่า อาหารที่ทำกินตอนเช้าจะกินตอนกลางวันด้วย
ส่วนเย็นอาจจะทำใหม่หรือไม่ก็รวมมื้อเช้ากลางวันเย็น ถ้าทำหม้อใหญ่ๆ
อาหารก็เปลี่ยนหมุนวนเวียนกันไป ผัดผัก ต้มจืด ยำ แกงส้ม ต้มยำ น้ำพริกผักฯลฯ
ไม่มีกระทิ ไม่มีไขมัน ไม่มีเนื้อสัตว์(มีก็เขี่ยออก คนอื่นเค้ากินปกตินี่นา)
!!!!อาหารเหล่านี้ไม่ทำให้อ้วน!!!!

สังเกตมั้ยคะว่า กินแค่นี้จริงๆ ไม่มีชา-กาแฟ ไม่มีขนมกรุบกรอบ ไม่มีขนมหวาน
ไม่มีระหว่างมื้อ ไม่มีระหว่างวัน ไม่มีของว่าง

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ เป็นมังสวิรัติ แบบเขี่ยเนื้อสัตว์ออกนะคะ

เพื่อนก็เถียงว่าใครจะไปทำได้
ก็บอกว่า "กรูนี่แหล่ะทำมาแล้ว"

ไม่ยาก เลยของเหล่านี้


ใจต้องแข็งพอ ที่จะไม่กินระหว่างมื้อ
ใจต้องบอกว่าไม่กิน นิดเดียว คำเดียวก็ไม่ได้
ไม่ต้องกลัวขาดสารอาหาร
ไม่กลับมาอ้วนอีก ถ้ากินอย่างนี้ตลอดไป

เรากินมาแล้วทั้งชีวิต สารพัดสารพันจนกลายเป็นโรคอ้วน
และอีกหลายๆโรคตามมา
หยุดเถอะ มากินอาหารถนอนสุขภาพ รักษาร่างกายให้อยู่ไปนานๆดีกว่า

เห็นบางคนกินกล้วยเป็นอาหารลดความอ้วน => กล้วยมีพลังงานสูง คาร์โบไฮเดรตสูง และหวาน
ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น => มันมีปริมาณแคลอรี่ที่เท่ากับขนมปังนั่นแหล่ะ แต่คุณค่าอาหารมันมากกว่า มีใยอาหารช่วยให้ย่อยง่ายขับถ่ายดี งั้นกินข้าว 1 ทัพพีไม่ดีกว่าเหรอ ที่บ้านหาขนมปังกินยาก จะเอามากินกะกับข้าวก็กระไร
สลัดผัก+ทูน่า => มันอร่อยทำให้เรากินเยอะขึ้นรึเปล่า กินนานๆเบื่อเลี่ยน
ปลานึ่ง => ถ้าน้ำจิ้มอร่อยๆ ก็กินเพลินลืมหยุด
ฯลฯ

ที่ยกมา 4 อย่างข้างบนมันดี ไม่ใช่ไม่ดี แต่เรากินไปไม่ได้ตลอด ลงเร็ว และขึ้นเร็ว
ที่บอกว่า เดี๋ยวหิว เดี๋ยวโหย ก็เพราะเรากินน้อยไป
เห็นบางเว็บบอก ขนมปังโฮลวีต+กล้วยหอม 1 ใบ เป็นอาหารเช้า
มันทำให้หิวเร็ว หงุดหงิด อยากไปกินของว่าง หรืออดได้ มื้อเที่ยงก็สวาปามไปเพราะหิว
ข้าวให้พลังงานและอยู่ท้อง ทำให้ไม่หิวระหว่างวัน

พลังงานที่เรากินรวมๆกันแล้วมันเยอะกินไป คนนึงใช้ไม่ค่อยเกิน 2000 แคลอรี่
แต่เรากินกันไปรวมๆแล้วเกินมากกก

มีวิธีคำนวณพลังงาน จากเวบนี้


เราเลยต้องดูว่าเรากินเกินไปรึเปล่า

ก๋วยเตี๋ยวหมู เส้นเล็ก 550 แคลอรี่
นี่แค่มื้อเดียว สมมุติมื้อละ 500 แคลอรี่ 3 มื้อก็ 1500 แล้ว ไหนจะของว่างระหว่างวันอีก ชากาแฟอีก เกิน 2000 แน่นอน
งั้นเราต้องเลือกอาการที่ต่ำกว่า 2000 (รวมกันทั้งวันนะ)

อย่าไปอดอาหาร ยิ่งอดก็ยิ่งหิว ยิ่วหิวก็จะบอกว่า กินคำนึงน่า นิดเดียวน่า วันเดียวน่า นานๆทีน่า ไม่บ่อยหรอก
เช่นเพื่อนชวนไปกินอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ต์ ก็ นานๆที เดือนละครั้งเอ๊ง นั่นแหล่ะตัวอ้วนเลย
เจอขนมอร่อยๆ เช่น เค้ก ขอกินคำนึง ชิ้นเดียวเล็กๆเอง ชิ้นเล็กๆน่ะ 200 แคลอรี่เชียวนะเธอ
พวกจุกจิกๆๆพวกนี้ทำให้แคลอรี่เกินอย่างไม่น่าเชื่อ กินน้อยๆ แต่หลายๆ อย่างมันรวมได้มากกว่ากินอย่างเดียว


อีกอย่างนึงที่ทำให้อ้วน คือ ความเค็ม มันจะดูดน้ำไว้ในร่างกาย ทำให้ร่างกายบวมน้ำ นี่อ้วนน้ำ
ลองไม่ได้กินน้ำสักครึ่งวันซิแล้วไปชั่ง น้ำหนักลดไปได้เกือบครึ่งกิโล
ใครที่ลดลง 2 ขีด 3 ขีด อย่าเพิ่งดีใจ ที่ลดไปน่ะ น้ำทั้งนั้น

สุดท้ายที่ทำให้ลดมากที่สุดและร่างกายไม่ซูบซีด สุขภาพแข็งแรง

คือ
ออกกำลังกาย วันละครึ่งชั่วโมง
วิ่งเฉยๆยังเผาผลาญไปไม่ถึง 1000 แคลอรี่ ถ้าคุณกินไป 2000 แคลอรี่คุณก็ต้องวิ่ง 1 ชั่วโมง
บางคนเถียง อ้าว!!! กลางวันก็ใช้พลังงานนะ ไปดูว่านั่งทำงาน ใช้ไป 110 แคฯ เดินขึ้นบันได 200 แคฯ เดินไปป้ายรถเมล์ 100 แคฯ
มันหมด 2000 รึยังล่ะ ไอ้ที่กินไปมันยังเหลือ มันไม่ได้ใช้ มันทำให้อ้วน

ลองไปคำนวณพลังงานที่กินเข้าไป กับพลังงานที่ใช้ไปซิ ว่าเหลือรึเปล่า
จากเวบนี้

ถ้าเหลือทำยังไงก็ไม่ผอม


!!!อย่าหลอกตัวเองว่าผอมแล้ว!!!

มีแต่คนทักว่า ผอมจัง ทำไมผอม ดูผอมไปนะ ลดมากี่โล ( 2-3 โลเนี่ยนะผอม)
ลองคำนวณดัชนีมวลกาย หรือ BMI แล้วดูว่าผอมรึยัง ถ้ายังอย่าหลอกตัวเอง
ลองไปคำนวณดู ที่เวบนี้


นำค่าที่คำนวณได้ มาเปรียบเทียบค่ามาครฐาน ได้คร่าวๆ ดังนี้
ค่าดัชนีความหนาที่คำนวณได้

ผอม ระดับ 4 < 16.0
ผอม ระดับ 3 16.0-16.9
ผอม ระดับ 2 17.0-18.4
ผอม ระดับ 1 18.5-19.9
ปกติ 20.0-24.9
อ้วน ระดับ1 25.0-29.9
อ้วน ระดับ 2 30.0-39.9
อ้วน ระดับ 3 > 40.0

แพทย์ที่ควบคุมการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ ถ้าเพื่อความสวยงาม ในแง่สรีระ มักจะลดน้ำหนักให้คนไข้อยู่ประมาณ ค่าต่ำสุดของค่าปกติ คือ ประมาณ BMI ให้อยู่ที่ 18.0-19.0

อย่างของเรา หนัก 50 กก. สูง 160 ซม. คำนวณได้ 20 อยู่ในระดับ ปกติ
แต่ถ้าอยากผอมสวย ต้องลงอีก เหลือ 49 กก. อีก 1 กิโลที่ต้องเอาออก
แหมช่วงนี้ลงยากซะด้วย ถ้าลงอีกไขมันที่นมจะหายไป ฮ่าาๆๆๆ

ยังไงอ่านประสบการณ์ที่เราเล่าให้ฟังเนี่ยก็อย่าเพิ่งเชื่อ
ต้องลองทำดู แต่อาจเบื่อแทบขาดใจ เพราะต้องกิน แกงส้ม ต้มจืด ผัดผัก ไปตลอด

สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองป่วยต้องจำกัดอาหารซิ (แต่เราป่วยจริงนะ)
จะได้มีแรงจูงใจในการควบคุมอาหาร ประมาณว่า ทานเนื้อสัตว์ไม่ได้เดี๋ยวผื่นขึ้นอะไรเงี้ย
ไม่กินเค็ม อย่ากินรสจัดเพราะกลัวเป็นไต กลัวโรคกระเพาะ อะไรก็ว่าไป
บอกเพื่อนฝูงอย่าชวนกินมื้อเย็นแสนอร่อย ไปร้านอาหารตบะแตก อย่ายุให้กินนิดนึง ชิ้นเดียว นิดหน่อย อย่ายุ ขอร้อง
ให้คนใกล้ชิด คุณแฟน พ่อแม่พี่น้อง เข้าใจเราด้วย หรือชวนกันลดซะเลย

มีคนทดลองใช้สูตรนี้ไปแล้ว 1 คน ผลคือลดได้ 20 กก.ภายใน 6 เดือน แล้วกำลังลดต่อไปให้ได้ BMI 19 (ตอนนี้ 22 แสดงว่ายังอ้วนอยู่)
เวลาจะกินต้องคอยโทรมาถามเราว่ากินได้มั้ย กินได้มั้ย กินได้รึเปล่าตลอดเวลา
เราก็อาศัยอ่านมาก รู้มาก ถามคุณหมอด้วย เพราะกลัวเรื่องขาดสารอาหาร
แต่เราไม่ขาดสารอาหาร ยังได้โปรตีนจากไข่ พลังงานจากข้าว วิตามินต่างๆจากผัก

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็พิจารณาเอาละกัน
ประสบการณ์จริง ประสบการณ์ตรง ไม่มีโม้

ขอบคุณที่อ่าน ย๊าว ยาว ก็ยังอ่านมาถึงตรงนี้




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2553
8 comments
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2554 10:14:37 น.
Counter : 8016 Pageviews.

 

wow เก่งจัง นับถือค่ะ

เป็นคนกินระหว่างมื้อมาก มิน่าน้ำหนักไม่ลด อิอิ ...

 

โดย: PrettyNatty 1 ตุลาคม 2553 18:35:39 น.  

 

เก่งมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์นะคะ จะลองเอาไปปฏิบัติดูค่ะ

 

โดย: เก่ง (keng_toshi ) 1 ตุลาคม 2553 18:58:53 น.  

 


 

โดย: หน่อยอิง 1 ตุลาคม 2553 20:19:02 น.  

 

ขอบคุณประสบการณ์นะค่ะ ที่นำเสนอ ดีมากเลยค่ะ ใจต้องแข็งพอ ใช่มั้ยค่ะ แสดงว่าวิยังไม่แข็งพอ เวลากินข้าวเกิน 1ทัพพีอยู่เรื่อยเลย แหะๆๆ กลัวไม่อิ่ม จะเอาคุณพี่เป็นตัวอย่างนะค่ะ จะลองดูค่ะ มันจะได้ลดลงมาบ้าง สู้ ๆ ค่ะ (บอกตัวเอง)

 

โดย: WikiPK 1 ตุลาคม 2553 20:29:46 น.  

 

อย่างนี้ต้องลองดู

 

โดย: แสนรัตน์ 1 ตุลาคม 2553 20:58:09 น.  

 

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดี ๆ ค่ะ

 

โดย: แม่เอเธนส์ (frau ) 1 ตุลาคม 2553 23:12:19 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: ดินสอสีม่วง 2 ตุลาคม 2553 9:27:19 น.  

 

ใจไม่แข็งพออ่ะค่ะพี่ หลังคลอดแตงโมผ่านมา 2 ปีตอนนี้น้ำหนักขึ้นมาเกือบ 10 โลแล้ว T_T

 

โดย: pakem 19 ตุลาคม 2553 13:10:44 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


เป๋าตังค์เป๋าตุง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add เป๋าตังค์เป๋าตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.