แรมบรังด์
หลายปีก่อน ทุกเช้าวันอาทิตย์ ผมจะไม่ไปไหน เพราะไม่อยากพลาดการชมรายการทีวีรายการหนึ่ง คือการสอนวาดภาพเหมือนบุคคลด้วยสีน้ำมัน เป็นรายการเพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ออกอากาศทางโทรทัศน์ อาจารย์ผู้สอนเอาภาพเขียนของแรมบรังด์มาศึกษา แล้ววาดตามแบบภาพเขียนนั้น ท่านได้สอนเทคนิคต่างๆ ต่อเนื่องกันหลายตอน สอนถึงความซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่างๆ กว่าจะมาเป็นภาพเขียน มีการจงใจ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะบังเอิญ และลงมือปฏิบัติให้ชมไปพร้อมกัน เป็นรายการที่ดีมากๆ ตอนนี้คงหาชมได้ยาก ถ้ามีคลิปนี้ผยแพร่คงเป็นประโยชน์กับเยาวชนคนที่สนใจการทำงานศิลปะอย่างยิ่ง
แรมบรังด์ ฮาร์เมนซูน ฟาน แรยน์ (Rembrandt Harmenszoon van Rijn ) เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1606 ที่เมืองไลเดน ( Leiden) เนเธอร์แลนด์ เป็นบุตรคนที่ 9 ของครอบครัวเจ้าของโรงงานและหุ้นส่วนโรงสีลม บิดาชื่อ Harmen Gerritsz van Rijn มารดาชื่อ Neeltje van Suijttbroeck แรมบรังด์ ได้รับการศึกษาภาษาละตินตั้งแต่ปฐมวัย ต่อจากนั้นได้เข้ามหาวิทยาลัย เรียนด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยไลเดน แต่เขากลับสนใจเรื่องของการฝึกฝนในงานศิลปะมากกว่า
ในปี ค.ศ. 1622-1624 เขาจึงเข้าเรียนศิลปะกับจาคอบ ฟาน สวาเนเบิร์ก ( Jacob van Swanenburgh) จิตรกรที่มีชื่อเสียงของเมืองไลเดน ซึ่งเคยใช้ชีวิตในอิตาลีมาก่อน อาจารย์ท่านนี้สอนแรมบรังด์ว่าจะถ่ายความทอดรู้สึกของมนุษย์ลงในภาพได้อย่างไร ใช้แสงและความมืดเพื่อแบ่งแยกองค์ประกอบสำคัญจากสิ่งเล็กน้อยอย่างไร
ต่อมาเขาได้เดินทางไปกรุงอัมสเตอร์ดัมเพื่อตามความฝันของตัวเอง ไปเรียนและฝึกงานวาดภาพกับจิตรกรชื่อลาสแมน ( Pieter Lastman) ซึ่งเป็นจิตรกรที่เคยศึกษาศิลปะมาจากประเทศอิตาลีเช่นกัน ลาสแมนได้รับอิทธิพลจากจิตรกรอิตาเลียนชื่อคาราวัจโจ (Michelangelo Merisi da Caravaggio มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1557-1610) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกศิลปะบาโรกของอิตาลี ภาพวาดของคาราวัจโจมีลักษณะเฉพาะตัวคือ การสร้างแสงและเงาขึ้นเอง โดยไม่ต้องอาศัยแสงธรรมชาติ ทำให้ผลงานของเขามีแสงนุ่มนวลงดงาม ต่อมาเรียกผลงานจิตรกรรมแนวนี้ว่า Caravaggisti อิทธิพลของคาราวัจโจจึงตกทอดมาสู่แรมบรังด์ด้วย เขาน่าจะใช้เวลาไม่เกินหกเดือนกับลาสแมน
เจน ลีแวนส์เพื่อนแรมบรังด์ (Self Portrait) ค.ศ. 1625 แรมบรังด์เดินทางกลับบ้านที่ไลเดน ต่อมาได้ร่วมงานกับเพื่อนชื่อ เจน ลีแวนส์ ( Jan Leivens มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1607-1674) สร้างห้องทำงานขึ้นเพื่อรับจ้างเขียนรูป ในระหว่างนั้นเขาได้เรียนรู้การเขียนภาพและพยายามพัฒนาฝีมือให้สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเขียนภาพเหมือนของตัวเอง ในขณะเดียวกันเขาก็สร้างงานภาพพิมพ์โลหะไปด้วย ช่วงเวลาไม่นานนักชื่อเสียงของแรมบรังด์ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป หลังจากบิดาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1630 เขาได้เดินทางไปกรุงอัมสเตอร์ดัมอีกครั้ง ในยุคนั้นอัมสเตอร์ดัมเป็นท่าเรือใหญ่และศูนย์กลางทางการค้าของเนเธอร์แลนด์ เขาอาศัยอยู่กับพ่อค้างานศิลปะคนหนึ่ง ชื่อ เฮนดริค ฟาน อุยเลนเบิร์ก (Hendrik van Uylenburgh) สองปีถัดมา แรมบรังด์ ได้สร้างผลงานชิ้นหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงมาก นั่นคือภาพ " การสาธิตกายวิภาพมนุษย์ของนายแพทย์ทัลพ์" ( Doctor Nicolaes Tulp Demonstrating the Anatomy of the Arm) โดยได้รับการว่าจ้างจากสมาคมศัลยแพทย์กรุงอัมสเตอร์ดัม เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบขนาด 169.5 x 216.5 เซนติเมตร (ปัจจุบันเป็นสมบัติของ The Hague, Maurithsuis)
Doctor Nicolaes Tulp Demonstrating the Anatomy of the Arm
ภาพนี้แสดงให้เป็นอัจฉริยภาพของการจัดองค์ประกอบ การจัดแสงและเงาของภาพตามแนวคิดของเขาคือ ให้แสงจับเฉพาะส่วนที่ต้องการให้เป็นจุดเด่น ได้แก่ เรือนร่างของศพ ใบหน้าของแต่ละคนแสดงความรู้สึกที่ต่างกันไป และยังแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่มีชีวิตซึ่งผิวพรรณเต็มไปด้วยเลือดเนื้อต่างกับศพที่ซีดขาว รวมทั้งสามารถนำภาพเหมือนของบุคคลต่างๆ มาจัดเป็นกลุ่มได้อย่างเหมาะสม นอกเหนือจากคุณค่าทางศิลปะแล้ว ยังเป็นภาพบันทึกประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของเนเธอร์แลนด์อีกด้วย งานวาดภาพชิ้นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ในชีวิตของแรมบรังด์ เพราะหลังจากนั้นได้มีผู้มาว่าจ้างให้เขาวาดภาพด้วยค่าจ้างที่สูงมากทำให้เขามีฐานะมั่นคั่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
Saskia Van Uyleburgh ในปี ค.ศ. 1634 แรมบรังด์ ได้แต่งงานกับซาสเกีย ( Saskia van Uyleburgh) ซึ่งมีเชื้อสายผู้ดีเก่า ทำให้สถานภาพทางสังคมของเขาสูงขึ้นตามไปด้วย ต่อมาแรมบรังด์ ได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งเพื่อเอาใจภรรยา ในขณะเดียวกันเขาก็หันมาสนใจสะสมโบราณวัตถุ เงินที่ได้มาจึงหมดไปกับการซื้อสิ่งต่างๆ เช่น อาวุธโบราณ เครื่องดนตรี เครื่องประดับ และเสื้อผ้าโบราณ ทำให้แรมบรังด์ มีหนี้สินมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ต้องขายทรัพย์สินต่างๆ ที่สะสมไว้จนหมด แม้แต่บ้านก็ถูกยึดไป
แม้แรมบรังด์ จะมีฐานะยากจนอย่างไรเขาก็ยังวาดรูปต่อไป กลับเป็นผลดีต่อการสร้างงานของเขา เพราะแทนที่เขาจะวาดรูปตามใจผู้ว่าจ้างทั้งหมด กลับทำงานตามความรู้สึกนึกคิดของตนด้วย ทำให้ผลงานเป็นอิสระและมีชีวิตชีวา
The Night Watch ค.ศ. 1642 แรมบรังด์ ได้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงมากอีกชิ้นหนึ่งคือ ภาพชื่อ กัปตันแบนิงคอร์ดกับกลุ่มยามรักษาการณ์ (The Militia Company of Captain Frans Banning Cocc) หรือภายหลังรู้จักกันในชื่อ "ยามแห่งค่ำคืน" (The Night Watch) เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 359 x 438 เซนติเมตร งานภาพเขียนขนาดใหญ่นี้เป็นภาพของยามหรือผู้รักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่ง โดยเทศบาลกรุงอัมสเตอร์ดัมเป็นผู้ว่าจ้างให้เขาวาด เพื่อบันทึกภาพของยามรักษาการณ์กลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปข้างหน้า มีกัปตันแบนิงคอร์ดเป็นผู้นำ แรมบรังด์ สร้างจุดเด่นที่กับปตันแบนิงคอร์ด ส่วนคนอื่ๆมีความสำคัญลดหลั่นกันไป แต่ละคนมีแสงสว่างจับใบหน้า ฉากหลังมืดสลัวแสดงให้เห็นว่าเป็นบรรยากาศของกลางคืน การจัดวางองค์ประกอบ การจัดแสงของภาพงดงามตามลักษณะเฉพาะของแรมบรังด์
แม้ผลงานชิ้นนี้จะได้รับการยกย่องชมเชยมากก็ตาม แต่ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่กลับไม่มีใครสนใจนัก เพราะหลังจากที่นำผลงานไปติดตั้งที่ศาลาประชาคมกรุงอัมสเตอร์ดัมแล้ว ก็ไม่ได้รับความสนใจอีก ถูกปล่อยปละละเลย ขาดการดูแลรักษานานเกือบร้อยปี จนผลงานเสียหายชำรุดไปหลายแห่ง เมื่อมีการนำมาทำความสะอาดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ยังพบว่าขณะที่นำมาติดตั้งนั้น มีการตัดรูปคน ด้านขวามือของภาพออกไปสองคน ในปี ค.ศ. 1975 ชายวิกลจริตผู้หนึ่งใช้มีดโกนกรีดจนผ้าใบขาดเสียหายหลายแห่ง แต่ได้รับการซ่อมแซมจนมีสภาดีเช่นเดิม ปัจจุบันผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิภัณฑ์ริจค์ กรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์
Rembrandt and Saskia in the Scene of the Prodigal Son in the Tavern
แม้ว่าภาพเขียนชิ้นสำคัญๆ ของแรมบรังด์ จะเป็นผลงานที่ได้รับการว่างจ้างเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ก็มีภาพเขียนหลายชิ้นที่เขาวาดตามความพอใจของตัวเอง เช่น Rembrandt and Saskia in the Scene of the Prodigal Son in the Tavern เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ วาดเมื่อ ค.ศ. 1635 ขนาด 161 x 131 เซนติเมตร เป็นรูปซาสเกียนั่งอยู่บนตักแรมบรังด์ แสดงให้เห็นความรักและความผูกพันระหว่างเขากับภรรยา
นอกจากนี้แล้ว แรมบรังด์ ยังวาดภาพของภรรยาและบุตรชายของเขาไว้อีกหลายภาพ เช่น ภาพชื่อ Saskia as Flora วาดเมื่อ ค.ศ. 1641 เป็นภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนแผ่นไม้โอ๊คขนาด 97.7 x 82.2 เซนติเมตร ภาพชื่อ Titus at his desk วาดเมื่อ ค.ศ. 1655 สีน้ำมันบนผ้าใบขนาด 77 x 63 เซนติเมตร และภาพชื่อ Titus วาดเมื่อ ค.ศ. 1658 ขนาด 67.3 x 55.2 เซนติเมตรเป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบเช่นเดียวกัน
Saskia as Flora Titus at his desk แรมบรังด์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรที่มีความสามารถในการวาดภาพรูปคนเป็นเลิศ มีผลงานภาพเหมือนทั้งที่เป็นกลุ่มและภาพเดี่ยวปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าแรมบรังด์ เป็นจิตรกรที่ชอบวาดภาพเหมือนตัวเองที่สุด มีภาพเหมือนของเขาที่วาดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ กันถึง 60 ภาพ ภาพเขียนเหล่านี้แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสรีระของเขาในวัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การวาดภาพเหมือนตัวเองยังเป็นการศึกษาและฝึกฝนการวาดรูปคนเหมือนของเขาไปด้วย
จากจิตรกรที่ร่ำรวยหรูหรามีชื่อเสียงกลับผกผันตกต่ำลง แรมบรังด์กลาย เป็นศิลปินล้มละลายต้องอาศัยอยู่กับบุตรชายจนถึงวาระสุดท้าย ชีวิตของเขาเริ่มประสบกับความยากจนหลังจากที่ซาสเกียถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1642 หลังคลอดบุตรชายคนสุดท้องที่ชื่อติตุส (Titus) ได้เพียง 9 เดือน ซาสเกียเสียชีวิตเพราะความตรอมใจที่ต้องสูญเสียบุตรสามคนไปก่อนหน้านั้น
การจากไปของบุตรและภรรยานำความโศกเศร้ามาสู่แรมบรังด์ อย่างใหญ่หลวง ในปีเดียวกันเขาก็ได้รับเฮนดริก สตรอร์เฟิล (Hendrichje Stoffels) เข้ามาช่วยทำงานบ้านและดูแลบุตรชาย และจากความใกล้ชิดและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งสองคนอยู่กินกันฉันท์สามีและภรรยา เฮนดริกได้ให้กำเนินบุตรสาวคนหนึ่งชื่อคอร์เนเลีย (Cornelia)
Hendrickje Bathing in a River ในปี ค.ศ. 1654 แรมบรังด์ ได้สร้างงานจิตรกรรมที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่งคือ ภาพชื่อ Hendrickje Bathing in a River เป็นภาพสีน้ำมันบนแผ่นไม้ ขนาด 61.8 x 47 เซนติเมตร (ปัจจุบันอยู่ที่ The National Gallery กรุงลอนดอน อังกฤษ) ฐานะการเงินของแรมบรังด์ ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดในปี ค.ศ. 1656 ถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย ทรัพย์สินของเขาถูกขายทอดตลาด เขาและเฮนดริกต้องไปอาศัยอยู่กับติตุสบุตรชาย ในขณะนั้นเขาได้อาศัยเงินค้าจ้างสอนนักเรียนที่สนใจการวาดภาพและรายได้จากการรับจ้างวาดภาพ ชื่อ The Syndics of the Clothmakers Guild เป็นภาพจิตรกรรมสีน้ำมันขนาด 191.5 x 279 เซนติเมตร ซึ่งเขาวาดค้างไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1662
The Syndics of the Clothmakers Guild ความเลวร้ายในชีวิตของแรมบรังด์ มิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นเพราะในปี ค.ศ. 1663 เฮนดริกถึงแก่กรรม เขาปล่อยตัวปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ไม่สนใจการรับจ้างวาดรูป แต่กลับทำงานตามใจชอบทำให้เขาค้นพบการเขียนภาพเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น ในช่วงนี้เขาได้รับการอุปการะจากติตุสซึ่งได้รับเงินมรดกจากผลงานของเรมบรันต์ชุดหนึ่ง
ค.ศ. 1668 ติตุสได้แต่งงานกับแมกดาเลนา ฟาน ลู (Magdalan van Loo) หลังจากนั้นเพียงหกเดือนติตุสก็ถึงแก่กรรม เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับลูกสะใภ้ ในที่สุดแรมบรังด์ก็ จบชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1669 อายุ 63 ปี หลังจากได้หลานสาวเพียงไม่กี่เดือน เรมบรันต์ทิ้งมรดกศิลปกรรมไว้ให้เป็นสมบัติของโลกจำนวนมากเป็นจิตรกรรมสีน้ำมันเกือบ 800 ภาพ ภาพพิมพ์ประมาณ 500 ภาพและวาดเส้นประมาณ 100 ภาพ
แรมบรังด์ถูกฝังที่เวสต์เตอร์เคิร์ค (Westerkerk) ในอัมสเตอร์ดัมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2212 นำมาฝากด้วย คลิปจาก BBC กล่าวถึงภาพวาดของแรมบรันด์อย่างละเอียด
VIDEO VIDEO VIDEO VIDEO สร้างเป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1936 VIDEO
Create Date : 14 ตุลาคม 2555
22 comments
Last Update : 3 สิงหาคม 2556 13:07:36 น.
Counter : 7849 Pageviews.