เข้าวัง ทวยราษฎร์ แซ่ซ้องสรรเสริญ ตอนที่ 2 หุ่นสายเสมา พระมหาชนก
มาต่อตอนสองกันเลยค่ะ อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่าการมางานครั้งนี้ก็เพื่อมาถ่ายงานแสดงของหุ่นสายเสมา เรื่องพระมหาชนก อันเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ พระองค์ทรงดำหริว่าการที่พระมหาชนกจะเสด็จออกแสวงหาโมกขธรรม ยังไม่ถึงเวลาอันควร เพราะว่าได้ทรงนำความเจริญแก่มิถิลายังไม่ครบถ้วน กล่าวคือข้าราชบริพาร นับแต่อุปราช จนถึงคนรักษาช้าง คนรักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอำมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น."ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการ ทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ อนึ่ง พระมหาชนกยังต้องทรงปรารภเรื่องการอนุบาลต้นมะม่วง ตามวิธีสมัยใหม่ เก้าวิธีอีกด้วย ด้วยประการเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงดัดแปลงเนื้อเรื่องในมหาชนกชาดก ให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน โดยมีพระราชดำริว่า พระมหาชนกจะบรรลุโมกขธรรมได้ง่ายกว่าหากได้ประกอบพระราชกรณียกิจในโลกให้ครบถ้วนก่อน พระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์ ทรงเน้นความเจริญรุ่งเรืองของดินแดนสุวรรณภูมิ ที่พระมหาชนกทรงมุ่งเดินเรือมาค้าขาย ทรงแสดงตำแหน่งที่ตั้งของเมือง พยากรณ์ทางอุตุนิยมวิทยาและโหราศาสตร์ด้วยแผนที่ฝีพระหัตถ์ 4 แผ่น ทรงปรารถเรื่องการเกษตรกรรม และการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงแพร่หลาย ทรงแสดงให้เห็นว่า ความเพียรที่บริสุทธิ์ เป็นคุณธรรมสำคัญที่ต้องรื้อฟื้นขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และเป็นมรดกธรรมแก่กุลบุตรกุลธิดา ชาวไทยสืบไป ตัวละครสำคัญๆ มีพระมหาชนก :.......สัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นนางมณีเมขลา :.......สัญญลักษณ์แห่งความสำเร็จอุทิจจพราหมณ์มหาศาล :..สัญลักษณ์แห่งความเมตตา -----คุณแทนคุณ สัมภาษณ์ คุณ นิมิตร พิพิธกุล เจ้าของคณะหุ่นสายเสมา ที่ไปแข่งขันหุ่นโลก ชนะเลิศมาสองปีซ้อนมีการสอนให้ผู้ชมรู้จักในการชักหุ่นสาย เป็นสิ่งที่ยากเพราะตัวผู้ชักเชิดจะไม่มีการจับต้องที่ตัวหุ่นจะบังคับสายชักด้วยนิ้วเท่านั้น ยากไหมคะ เปิดให้เห็นกลไกด้านล่างตัวหุ่น จะมีห่วงอยู่หลายห่วงมากให้ผู้เชิดสอดนิ้วเข้าไปบังคับให้หุ่นเคลื่อนไหว ต้องใช้ทักษะที่ผ่านการฝึกฝนมายาวนาน จากนั้นก็มีการฝึกแยกประสาท ช่วงนี้จะเฮฮาสนุกสนานกันทีเดียว "มากลางวัน เธอนัดให้มากลางคืนมากลางคืน เธอนัดให้มากลางวัน"ร้องไปก็ทำมือไม้ประกอบตามที่คุณ นิมิตรสอนมือซ้ายชี้ขึ้น มือขวาชี้ลง สลับ ซ้าย ขวา ขึ้น ลงหากใครทำได้ถูกต้องเรียกได้ว่ามีแววจะเชิดชักหุ่นได้ จากนั้นก็มาชมการแสดงกันเลย "พระมหาชนก" ตอนความเพียร พระเจ้ามหาชนก กษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา มีพระราชโอรสสองพระองค์พระนามว่า อริฏฐชนก และ โปลชนก เมื่อสวรรคตแล้ว พระอริฏชนกได้ครองราชสมบัติและทรงตั้งพระโปลชนกเป็นอุปราช อมาตย์ผู้ใกล้ชิดได้กราบทูลใส่ร้ายว่า พระอุปราชโปลชนกคิดไม่ซื่อ พระอริฏฐชนกก็หลงเชื่อ สั่งจองจำพระโปลชนก แต่พระโปลชนกตั้งจิตอธิษฐานและหลบหนีไปได้ ภายหลังได้รวบ รวมพลมาท้ารบและเอาชนะได้ในที่สุด พระอริฏฐชนกสิ้นพระชนม์ในที่รบ พระเทวีที่กำลังทรงครรถ์จึงปลอมตัวหนีออกนอกเมือง... ด้วยความช่วยเหลือของท้าวสักกเทวราชจึงเสด็จหนีไปจนถึงเมือง กาลจัมปากะได้พราหมณ์ผู้หนึ่งอุปการะไว้ในฐานะน้องสาว ต่อมาทรงมีพระประสูติกาล ตั้งพระนามพระโอรสตามพระอัยยิกาว่า "มหาชนก" จวบจนกระทั่งมหาชนกเติบใหญ่และได้ทราบความจริง ก็คิดจะไปค้าขายตั้งตัว แล้วจะไปเอาราชสมบัติคืน จึงนำสมบัติกึ่งหนึ่งของพระมารดาไปขาย แลกเป็นสินค้าออกเรือไปยังสุวรรณภูมิ ระหว่างทางเกิดพายุ โหมกระหน่ำ เรือถูกพายุพัดพาไปกระแทกหินใต้มหาสมุทร ทำให้เรือค่อยๆจมลง พระมหาชนกมิได้หวั่นกลัวแต่อย่างใด และได้นำผ้าไปชุบน้ำมัน นำมาห่มตัว เพื่อจะได้ไม่จมน้ำ แล้วปีนขึ้นไปบนเสากระโดงเรือเพื่อที่จะกระโดดให้พ้นลำเรือ พายุโหมกระหน่ำรุนแรงมาก ทำให้เรืออับปางลง ลูกเรือต่างตระหนกตกใจกระโดดลงน้ำหนีตาย แต่ก็ไม่รอดเลยสักรายเดียว หลังจากที่พระมหาชนกกระโดดลงในมหาสมุทรแล้ว ทรงว่ายฝ่าคลื่นลมด้วยความเพียรพยายามหมายเหตุ วงกลมหมุนๆเป็นสัญญลักษณ์แทนลมพายุ ผจญทั้งคลื่นน้ำ และลมพายุหมายเหตุ พัดสีน้ำเงินเป็นสัญญลักษณ์แทนคลื่นน้ำ ว่ายน้ำด้วยความเพียรพยายาม บางครั้งเหมือนกันหยั่งถึงแผ่นดิน ซึ่งที่แท้ก็คือเทวดาแปลงกายเป็นปูมาหนุนเท้าพระมหาชนกเพื่อช่วยให้มีเวลาพักเหนื่อย นางมณีเมฆขลา ผู้พิทักษ์มหาสมุทร เห็นความเพียรพยายามของพระมหาชนก ที่เพียรว่ายน้ำ ทั้งที่ไม่เห็นฝั่ง จึงถามว่าเหตุใดท่านยังมีความเพียรพยายามอยู่อย่างไม่ยอมแพ้ พระมหาชนก ก็บอกว่าจะขอเพียรพยามให้ถึงที่สุด หากถึงตอนนั้นจะไม่ชนะก็จะไม่เสียใจ เพราะได้พยายามเต็มความสามารถของตนเองแล้วนางมณีเมฆขลา กล่าวว่า" ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ซึ่งประมาณมิได้ เห็นปานนี้ ด้วยกิจคือความเพียรของบุรุษ ท่านนั้นจงไปในสถานที่ ที่ใจท่านยินดีเถิด" จากนั้นนางก็ได้ช่วยให้พระมหาชนกได้กลับเข้าฝั่งได้สำเร็จ ขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัยด้วยเถิด และให้จัดตั้งมหาวิทาลัยเพื่อเผยแพร่ความรู้ฝ่ายมิถิลานคร พระโปลชนกได้สวรรคตเหลือเพียงพระราชธิดานาม"สีวลีเทวี"ก่อนสวรรคตทรงตั้งปริศนาเรื่องขุมทรัพย์ทั้งสิบหกไว้ สำหรับผู้จะขึ้นครองราชย์ต่อไป แต่ไม่มีผู้ใดไขปริศนาได้ เหล่าอมาตย์จึงได้ประชุมกันแล้วปล่อยราชรถ ราชรถก็แล่นไปยังที่มหาชนกบรรทมอยู่ เหล่าอมาตย์จึงเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์และอภิเษกกับสีวลีเทวี ทรงไขปริศนาต่างๆ ได้ และทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ------พระมหาชนก เดินทางไปปรึกษาอุทิจจพราหมณ์มหาศาล วันหนึ่ง พระมหาชนก ทรงประทับบนคอช้างเพื่อทอดพระเนตรอุทยาน ใกล้ประตูอุทยานมีมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งมีผล ต้นหนึ่งไม่มีผล ผลนั้นมีรสหวานเหลือเกิน พระมหาชนกทรงเก็บมาเสวยผลหนึ่ง แล้วเสด็จเข้าอุทยาน คนอื่นๆ ตั้งแต่พระอุปราชลงมาต่างก็แย่งเก็บผลมะม่วง จนมะม่วงต้นนั้นโค่นลง พระมหาชนกทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็เกิดความสังเวชที่คนทั้งหลายหวังแต่ประโยชน์อย่างขาดปัญญา รำลึกได้ว่านางมณีเมขลาเคยสั่งให้พระองค์ตั้งมหาวิทยาลัย จึงได้ปรึกษากับพราหมณ์ ในที่สุดได้ตั้งมหาวิทยาลัยปูทะเลย์ขึ้น โดยรำลึกว่าขณะที่ทรงว่ายน้ำในมหาสมุทรทั้ง 7 วัน 7 คืนนั้นมีปูทะเลยักษ์มาช่วยหนุนพระบาท... อุทิจจพราหมณ์มหาศาล ที่ปรึกษาของพระมหาชนกในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยปูทะเลย์ เหล่านางฟ้า,เทวดาต่างชื่นชมยินดี ---ขอฝากบทความที่อยากให้ทุกคนได้อ่าน และขอขอบคุณ เวบปัญญาไทย---ข้อคิดจากหนังสือเรื่องพระมหาชนก"บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดามารดา. อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง." "การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น.การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้น จะมี ประโยชน์อะไร." "ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำจะไม่ลุล่วงไปได้จริงๆชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตนถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน. ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลายการงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม. ดูก่อนเทวดาท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ จมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่าย ข้ามอยู่ และได้เห็น ท่าน มาสถิตอยู่ใกล้ๆ เรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จักทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร." "...สิ่งที่มิได้คิดไว้ จะมีก็ได้ สิ่งที่คิดไว้ จะพินาศไปก็ได้ โภคะทั้งหลายของหญิงก็ตาม ของชายก็ตาม มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น." "...คนอื่นๆ มีอุปราชเป็นต้นจนถึงคนรักษาช้างรักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน. ฝ่ายคนเหล่าอื่น ยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง. มะม่วงอีก ต้นหนึ่งตั้งอยู่งดงาม ดุจภูเขามีพรรณดังแก้วมณี. พระราชาเสด็จออกจากพระอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเหล่าอมาตย์ว่า : "นี่อะไรกัน." เหล่าอำมาตย์กราบทูลว่า : "มหาชนทราบว่าพระองค์เสวยผลรสเลิศแล้ว ต่างก็แย่งกันกินผลมะม่วงนั้น." พระราชาตรัสถามว่า : "ใบและวรรณะของต้นนี้สิ้นไปแล้ว ใบและวรรณะของต้นนอกนี้ยังไม่สิ้นไป เพราะเหตุไร." อมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า : "ใบและวรรณะของอีกต้นหนึ่งไม่สิ้นไป เพราะ ไม่มีผล." พระราชาสดับดังนั้น ได้ความสังเวช. ทรงดำริว่า : "ต้นนี้มีวรรณะสดเขียวตั้งอยู่แล้ว เพราะไม่มีผล แต่ต้นนี้ถูกหักโค่นลงเพราะมีผล. แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล บรรพชาเช่นกับต้นไม้หาผลมิได้. ภัยย่อมมีแก่ ผู้มีความกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล. ก็เราจักไม่เป็นเหมือนต้นไม้มีผล จักเป็นเหมือนต้นไม้หาผลมิได้..." "...เราแน่ใจว่าถึงกาลที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้แสดงความจำเป็น นับแต่อุปราช จนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจารึกในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ทั้งความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา: พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง...หวังว่าท่านคงได้ข้อคิดดีๆจากเรื่องพระมหาชนก สมดังเจตนารมย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ ที่ทรงนิพนธ์เพื่อเป็นอุทหรณ์สอนใจ ให้ข้อคิด เตือนสติ แก่เราชาวไทย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ย่าดา