Heading South มองหนังหลังอาณานิคม
Heading South มองหนังหลังอาณานิคมพล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 14, 24, 28 มกราคม 2550 (1) ดูหนังฝรั่งเศสเรื่อง Heading South(Vers le sud) แล้วให้นึกถึงหนังที่ได้ดูช่วงปีที่ผ่านมาอีก 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ The House of Sand(Casa de Areia) หนังบราซิลของ แอนดรูชา แวดดิงตัน กับ The White Masai(Die Weisse Massai) ของ แฮร์มิเนอ ฮุนท์เกบวร์ท จากเยอรมนี โดยทั้ง 3 เรื่อง ออกฉายในปีเดียวกันคือปี 2005 เหตุที่ชวนให้นึกถึงคือ หนังจากต่างชาติต่างภาษา 3 เรื่องนี้ ล้วนแต่เล่าเรื่องราวของตัวละครหญิงผิวขาวที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายหนุ่มผิวสีในดินแดนของฝ่ายชาย ใน The House of Sand หม้ายสาวผิวขาวหลงค้างในดินแดนทรายสีขาวแห่งบราซิล ต้องดิ้นรนเอาชีวิตตนเองกับลูกเล็กๆ ให้รอด เธอยินยอมรับความช่วยเหลือจากชายชาวพื้นเมือง กระทั่งเข้าไปเป็นครอบครัวเดียวกับเขา(อ่านเพิ่มเติมใน The House of Sand สัมพัทธภาพวิมานทราย ) The White Masai หลังจากเดินทางไปท่องเที่ยวที่เคนยา สาวชาวสวิตเซอร์แลนด์ตัดสินใจทิ้งแฟนหนุ่มไปใช้ชีวิตอยู่กับหนุ่มนักรบชาวเผ่ามาไซในเขตป่าที่สงวนไว้สำหรับชนดั้งเดิม ส่วน Heading South เกี่ยวกับกลุ่มหญิงวัยกลางคนชาวอเมริกันไปเที่ยวหาความสำราญยังชายหาดแห่งเฮติ โดยโปรแกรมหลักของทริปนี้คือการจ้างหนุ่มท้องถิ่นรุ่นกระทงไว้เป็นเพื่อนข้างกาย นอกจากจะว่าด้วยตัวละครหญิงผิวขาวมีปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายหนุ่มผิวสีในดินแดนของฝ่ายชายดังที่กล่าวแล้ว หนังทั้ง 3 เรื่อง ได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายหญิงต่างพึงพอใจไปจนถึงขั้นหลงใหลในเพศรสที่ได้รับ โดยชายหนุ่มผิวสีซึ่งต่างเป็นคนท้องถิ่นล้วนแต่มีร่างกายกำยำแข็งแรง และมอบความสุขในแบบที่หญิงสาวไม่เคยได้รับมาก่อน ฉากอัศจรรย์ที่แสดงถึงชั่วขณะแห่งอารมณ์เปี่ยมสุขของฝ่ายหญิงจึงขาดไม่ได้ในหนังกลุ่มนี้ ข้อสังเกตคือ นี่ไม่ใช่เรื่องรักระหว่างหญิงผิวขาวกับชายผิวสีอันเป็นพล็อตว่าด้วย รักต้องห้าม เช่นที่เห็นในหนังฮอลลีวู้ดยุคหลังอย่าง Save the Last Dance (โธมัส คาร์เตอร์-2001) หรือ Far from Heaven(ท็อด เฮย์นส์-2002) ทั้งยังมีตัวอย่างคู่รักแบบนี้ในหนังอีกหลายเรื่อง เช่น คู่ตัวละครใน Cruel Intentions(โรเจอร์ คัมเบิล-1999) ซึ่งพล็อตหรือคู่ตัวละครดังกล่าวได้ขยับขึ้นมาเป็นเรื่องราวที่ รับได้ ในสังคมปัจจุบัน จากที่เคยเป็นเรื่องชั่วร้ายต้องห้ามที่ไม่มีทางได้ปรากฏบนจอภาพยนตร์เมื่อครั้งอดีต แต่หนัง 3 เรื่อง ข้างต้นไปไกลกว่าด้วยการกล่าวถึง ความใคร่ ที่ฝ่ายหญิงพึงพอใจ แม้ไม่ใช่เป้าหมายแรกของความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาก็ตาม โดยเฉพาะ Heading South ไปไกลที่สุดด้วยการให้ฝ่ายหญิงตั้งใจจับจ่ายซื้อความสุขจากชายหนุ่มผิวสี ถ้าเป็นเมื่อก่อน เรื่องลักษณะนี้ย่อมเป็นสิ่งน่าอายเกินกว่าจะนำเสนอ เป็นสิ่งต้องห้ามที่ผู้สร้างต้องถูกประณามหยามหมิ่น แต่ในโลกปัจจุบันที่สิทธิสตรีถูกยกระดับ ความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศลดน้อยลง เสรีภาพในการแสดงออกมีมาก ช่องทางจึงเปิดกว้างจนแทบจะเป็นทางสะดวก ที่สำคัญคือ หนังทั้ง 3 เรื่อง ไม่ใช่หนังฮอลลีวู้ด แต่เป็นหนังจากประเทศยุโรปที่มีขอบเขตในการนำเสนอกว้างขวางภายใต้รูปแบบของการสร้างงานศิลปะ หรือในส่วนของ The House of Sand ซึ่งเป็นหนังบราซิลก็สร้างขึ้นเพื่อป้อนตลาดยุโรปหรือตลาดหนังอาร์ต เรื่องราวลักษณะนี้จึงไม่ใช่ความผิดแปลกเท่าใดนัก อีกข้อสังเกตหนึ่งคือ การที่หนังกำหนดโดยตรงให้ตัวละครหญิงผิวขาวเข้าไปในดินแดนของตัวละครชายชาวท้องถิ่น ได้พบกับเรื่องราวและประสบการณ์แปลกใหม่ ทั้งยังตื่นตะลึงในเพศรสที่ไม่เคยสัมผัส โดยที่ดินแดนของฝ่ายชายล้วนแต่เป็นพื้นที่เฉพาะซึ่งไม่อาจเข้าไปได้โดยง่าย ดังเช่นดินแดนทรายสีขาวอันมีสภาพแห้งแล้งตัดขาดจากโลกภายนอกใน The House of Sand เขตสงวนสำหรับชนดั้งเดิมในป่าเคนยาใน The White Masai และบ้านเมืองภายใต้เผด็จการทหารช่วงปลายทศวรรษ 70 ของเฮติใน Heading South ดินแดนดังกล่าวนอกจากจะทำให้ตัวละครตื่นเต้น-ตื่นตระหนกไปกับสิ่งที่ได้พบเจอแล้ว ภาพและเรื่องราวที่นำเสนอได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดินแดนที่ปรากฏในหนังต่างมีสภาพป่าเถื่อน ล้าหลัง ไปจนถึงไร้อารยธรรมตามบรรทัดฐานของโลกอารยะ ความแปลกประหลาดหรือที่เรียกว่าอาการ เอ็กโซติก ที่เกิดขึ้นต่อผู้ชมจึงเสมือนโปรแกรมทัวร์ที่แถมมากับภาพยนตร์ ในเมื่อหนังถ่ายทอดผ่านมุมมองหรือเรื่องราวของตัวละครหญิงผิวขาวเป็นหลัก ตัวละครดังกล่าวจึงเหมือนเป็นตัวแทนของผู้ชมในโลกที่หนังเรื่องนั้นๆ สามารถเดินทางไปถึง(แน่นอนว่าไม่ใช่ดินแดนแบบในหนัง) ขณะเดียวกัน แม้จะถูกหยิบยกมานำเสนอ แต่ฐานะของผู้คนหรือสถานที่ล้าหลังดั้งเดิมนั้นไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมาแต่อย่างใด หากเป็นเพียงสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นหวือหวาชั่วครั้งคราวเช่นที่ตัวละครหญิงได้รับสัมผัสในเพศรสนั่นเอง ข้อสังเกตสุดท้าย...เห็นได้ว่าหนังทั้ง 3 เรื่อง เกี่ยวข้องกับสถานภาพของชาติอาณานิคมและเจ้าอาณานิคมในอดีต ทั้งในส่วนของเนื้อหาและงานสร้าง เริ่มจาก The White Masai เป็นเรื่องของสาวชาวสวิสก็จริง แต่ผู้กำกับฯเป็นชาวเยอรมัน และเคนยาคืออดีตอาณานิคมของเยอรมนีตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 Heading South ใช้ฉากประเทศเฮติซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยผู้กำกับฯเรื่องนี้เป็นชาวฝรั่งเศส ขณะที่ตัวละครเป็นหญิงวัยกลางคนชาวอเมริกันไปหาความสำราญที่เฮติ เมื่อเปิดประวัติศาสตร์ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จะพบว่าสหรัฐอเมริกาเคยยึดครองเฮติตั้งแต่ปี 1915 ถึง 1934 สำหรับ The House of Sand อาจจะไม่ชัดเจนเท่า 2 เรื่องแรก แต่นี่คือหนังบราซิลจากฝีมือผู้กำกับฯผิวขาวที่เกิดในบราซิล แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขามีเชื้อสายโปรตุเกสซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาณานิคมของบราซิลหรือไม่(หรืออาจเป็นชาวอังกฤษที่เข้ามามีบทบาทช่วงหนึ่ง) แต่ที่แน่นอนคือเขาไม่ใช่ชนพื้นเมือง ข้อสันนิษฐานคือ การที่ชาวผิวขาวอดีตเจ้าอาณานิคมหยิบเรื่องราวเอ็กโซติกของดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมมาสร้างเป็นหนัง โดยที่ผู้คนและดินแดนนั้นๆ ยังอยู่ในฐานะด้อยกว่า ถือเป็นการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าอาณานิคมที่ยังมีอิทธิพลต่อความคิดความรู้สึกของชาวตะวันตกผิวขาวหรือไม่หนังในกลุ่มนี้ที่บ่งชี้ถึงข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ชัดเจนที่สุดคือ Heading South นั่นเอง (2) อาจไม่ใช่เรื่องแปลก หากหนังจากสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปจะมีเนื้อหากล่าวถึงดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคม และมีมุมมองต่อดินแดนนั้นในทางต่ำต้อยด้อยกว่า(โดยสภาพความเป็นจริง) เช่น หนังเกี่ยวกับอินเดียเรื่อง City of Joy(1992) ของ โรแลนด์ จอฟเฟ่ ผู้กำกับฯชาวอังกฤษ หนังฝรั่งเศสว่าด้วยเวียดนามเรื่อง Indochine(1992) ของ เรชีส์ วาร์นิเยร์ หรือจะเป็นหนังที่มีเนื้อหาในทาง ช่วยเหลือ หรือ เห็นอกเห็นใจ ต่อผู้คนในดินแดนอดีตอาณานิคม เช่นหนังว่าด้วยความโหดร้ายของธุรกิจข้ามชาติที่กระทำต่อประเทศในแอฟริกาอย่าง The Constant Gardener(เฟอร์นานโด เมเรลเลส, 2005) และ Blood Diamond(เอ็ดเวิร์ด ซวิก, 2006) แต่ขบวนแถวของหนัง 3 เรื่อง ที่ออกฉายในปีเดียวกันอย่าง The House of Sand, The White Masai และ Heading South มีความแตกต่างออกไปตรงที่มีการเปิดเปลือยถึงประโยชน์หรือความพึงพอใจที่คนผิวขาวได้รับจากการเข้าไปอยู่ร่วมกับชนพื้นเมือง โดยสะท้อนผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งและสรีระของชายหนุ่ม คือการสรรเสพความดีงามของดินแดนอาณานิคมโดยกลับขั้วกับท่าทีในอดีต แทนที่จะเป็นตัวละครฝ่ายชายตักตวงจากฝ่ายหญิงซึ่งจะกลายเป็นภาพด้านลบให้ความรู้สึกราวกับการรุกรานเอาเปรียบ คราวนี้เมื่อฝ่ายหญิงได้รับความสุขจากฝ่ายชายเสียเองจึงเสมือนเป็นการยกย่อง(สรีระและความแข็งแกร่งของเพศชาย) และยอมรับในสภาพแท้จริง(ชนพื้นเมืองผิวสี) ต่อดินแดนที่เคยอยู่ใต้อาณัติ ทั้งที่จริงๆ แล้วท่าทีดังกล่าวได้ซ่อนแฝงแนวคิดที่แสดงความเหนือกว่าในฐานะคนผิวขาวชาติตะวันตกหรืออดีตชาติเจ้าอาณานิคมอยู่นั่นเอง เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างสรรค์ผ่านมุมคิดของชาติตะวันตกเองแล้ว พื้นที่และวิธีในนำเสนอไม่ว่าจะเป็นตลาดในยุโรป หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เน้นความแปลกประหลาดของผู้คนหรือดินแดนล้าหลังดั้งเดิมอันเป็นฉากหลังของเรื่องราวที่ตัวละครหญิงเข้าไปค้นหา กระทั่งนำมาซึ่งความตื่นเต้นหวือหวากระตุ้นให้อยากเข้าไปสัมผัส ล้วนแต่เอื้อให้เห็นว่าหนังกำลังสื่อสารในหมู่พวกเดียวกัน มีความเข้าใจตรงกัน และมีมุมมองต่อเนื้อหาเรื่องราวใกล้เคียงกัน โดยผู้คนหรือดินแดนล้าหลังดั้งเดิมที่ถูกอ้างถึงนั้นไม่ได้รับการยกระดับขึ้นมาแต่อย่างใด อันที่จริง ลัทธิ อาณานิคม ของชาติตะวันตกดำรงตลอดมาอยู่แล้ว ผ่านงานศิลปะแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม สถาปัตยกรรม หรือการตกแต่งภายใน และผู้เขียนไม่มีข้อมูลสนับสนุนใดที่จะช่วยชี้ชัดลงไปว่าเหตุใดอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมจึงถูกนำเสนอผ่านภาพยนตร์ต่างชาติต่างภาษา 3 เรื่อง ได้แก่ The House of Sand, The White Masai และ Heading South ด้วยเนื้อหาเรื่องราวใกล้เคียงกันในช่วงเวลาเดียวกันเช่นนี้ นอกจากสรุปแบบง่ายๆ ไปก่อนว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญเท่านั้น หลังจากพิจารณาความเหมือนกันแล้ว มาดูความแตกต่างของหนัง 3 เรื่องนี้กันบ้าง โดยเฉพาะระดับท่าทีที่ต่างกันของการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของชนพื้นเมืองโดยตัวละครหญิงผิวขาว เริ่มจาก The House of Sand ตัวละครหญิงต้องการดิ้นรนให้ตนเองและลูกสาวตัวน้อยอยู่รอด เธอจึงยอมตกเป็นของหนุ่มพื้นเมืองชาวประมงผู้เป็นความหวังเดียวของเธอ ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฝ่ายชาย เมื่อเวลาผ่านพ้นไปหลายปีความผูกพันได้ก่อตัวขึ้นระหว่างเธอกับเขา ระดับท่าทีในหนังเรื่องนี้จึงเป็นการหาประโยชน์ในเบื้องต้น ก่อนจะอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนในท้ายที่สุดใน The White Masai สาวชาวสวิสยอมทิ้งแฟนหนุ่มไปอยู่กับชาวเผ่ามาไซด้วยความรักใคร่อย่างแท้จริง ตอนแรกเธอพยายามเรียนรู้วิถีชีวิตของเขา แต่ต่อมาหญิงสาวกลับนำวิถีเมืองเข้าไปโดยคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อชาวเผ่า แน่นอนว่าความรักใคร่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ และจุดแตกหักคือความต้องการเปลี่ยนวิถีชีวิตของชนพื้นเมือง สำหรับ Heading South สาววัยกลางคนชาวอเมริกันสวมบทนักท่องเที่ยวเข้าไปหาความสำราญยังชายหาดเฮติ พวกเธอจ่ายเงินให้ชายชาวพื้นเมืองเพื่อเป็นเพื่อนข้างกาย แม้ตัวละครหญิงผิวขาวตัวหลักของหนังจะมีถึง 3 คน และต่างคนต่างความต้องการ แต่ไม่ว่าคนใดก็ล้วนแต่อยากเสพสุขกับหนุ่มพื้นเมืองในฐานะที่เป็นรสชาติแปลกต่างและอยู่ห่างไกลจากบ้านของพวกเธอทั้งสิ้น ระดับท่าทีของการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชนพื้นเมืองโดยตัวละครหญิงผิวขาวใน Heading South จึงเป็นไปเพื่อความสุขสำราญและความพึงพอใจส่วนตัวชั่วครั้งคราว และน่าจะแสดงถึงอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมชัดเจนที่สุด(จนแทบจะเป็นการวิพากษ์ตนเอง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปยังเนื้อหาและสัญลักษณ์ที่หนังสื่อออกมา หนังใช้ฉากเฮติช่วงปลายทศวรรษ 70 ซึ่งยังอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของตระกูลดูวาลิเยร์ เริ่มต้นด้วยการมาถึงของ เบรนด้า(คาเรน ยัง) แม่บ้านสาวใหญ่ชาวอเมริกันวัยใกล้ 50 ก่อนจะเข้าพักในรีสอร์ตริมทะเล ความต้องการลึกๆ ของเบรนด้าคือ เธออยากพบ เลกบา(มีโนธี ซีซาร์) เด็กหนุ่มผิวสีผู้เคยทำให้เธอ ถึง ครั้งแรกในชีวิตเมื่อ 3 ปีก่อน เอลเลน(ชาร์ลอตต์ แรมปลิง) ครูสอนภาษาฝรั่งเศสจากบอสตัน วัย 55 ปี และ ซู(หลุยส์ พอร์ทัล) สาวใหญ่ร่างอวบอ้วนก็พักในรีสอร์ตนี้เช่นกัน เบรนด้าผูกมิตรกับเอลเลนและซู ได้รับรู้ว่านักท่องเที่ยวทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่จ่ายเงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อแลกกับความสุขจากชายหนุ่มชาวพื้นเมืองทั้งนั้น ปัญหาคือเด็กหนุ่มคนโปรดของเอลเลนคือเลกบา ความขัดแย้งเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของระหว่างเบรนด้ากับเอลเลนจึงเกิดขึ้น อีกตัวละครซึ่งเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์เรื่องนี้คือ อัลแบรต์(ลีส แอมโบรส) หัวหน้าบริกรสูงอายุ ผู้ก้มหน้ารับใช้คนผิวขาวชาวอเมริกัน ทั้งที่พ่อกับปู่เป็นพวกเกลียดสหรัฐเข้ากระดูกดำตั้งแต่เฮติถูกรุกรานในปี 1915 นอกจากความขัดแย้งระหว่างเบรนด้ากับเอลเลนเพื่อแย่งเลกบาแล้ว เลกบาเองก็มีปัญหาส่วนตัวจากการเข้าไปเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจ และอาจทำให้เขามีอันตรายถึงชีวิต จากเนื้อหาเรื่องราวดังกล่าวมีรายละเอียดมากมายที่สะท้อนถึงอิทธิพลของลัทธิอาณานิคม ทั้งด้วยบทสนทนา การกระทำของตัวละครหรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มค็อกเทล... (3) ประเทศเฮติซึ่งเป็นฉากหลังของ Heading South เป็นหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน เยื้องลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 17 กระทั่งประกาศอิสรภาพสำเร็จในปี 1804 ปี 1915 ความระส่ำทางการเมืองและเศรษฐกิจนำพาให้สหรัฐรุกรานและยึดครองเฮติ ประเทศถูกเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั้งทางการเมืองและสังคม สู่รูปแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมและการรวมศูนย์อำนาจ เกิดกบฏกองโจรชาตินิยมต่อต้านสหรัฐ แม้สหรัฐจะถอนตัวไปในปี 1934 แต่รัฐบาลเฮติสืบต่อมานับแต่ปี 1950 ที่เกิดการรัฐประหาร จนถึงยุคเผด็จการทรราชตระกูลดูวาลิเยร์(1957-1986) ซึ่งมีทหารให้การสนับสนุนนั้น เชื่อกันว่าล้วนแต่มีสหรัฐอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น และเวลาอันเป็นฉากหลังของ Heading South ที่ว่าด้วยหญิงสาวชาวอเมริกันมาหาความสำราญในเฮติก็อยู่ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนังจะกล่าวถึงเฮติในช่วงปลายทศวรรษ 70 ซึ่งสหรัฐชักใยผู้นำเผด็จการอยู่ แต่บทบาทของสหรัฐในเฮติไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ในปี 1994 สหรัฐในยุคคลินตันได้เปิดฉากรุกรานเฮติรอบใหม่โดยอ้างความวุ่นวายทางการเมืองเช่นเดิม เรื่อยมาจนถึงปี 2004 ที่บุชจูเนียร์ส่งทหารเข้าไปประจำการในเฮติแบบรวดเร็วทันใจ หลังจากบีบให้อดีตประธานาธิบดี ฌอง แบร์ทรองด์ อริสตีด ลงจากอำนาจและออกนอกประเทศ ซึ่งนายอริสตีดนี้ก็คือบุคคลเดียวกับที่สหรัฐพากลับสู่บัลลังก์หลังจากโดนรัฐประหารเมื่อปี 1994 หนังปี 2005 เรื่อง Heading South จึงเป็นเหมือนภาพเปรียบเทียบถึงบทบาทของสหรัฐอเมริกาที่มีอิทธิพลเหนือเฮติตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ศตวรรษ ทั้งในหน้าประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ร่วมสมัย โดยสะท้อนผ่านเรื่องราวของตัวละครหญิงชาวสหรัฐที่โหยหาต้องการเด็กหนุ่มผิวสีชาวพื้นเมือง จะต่างไปตรงที่วิธีที่พวกเธอใช้ในการยึดครองหาใช่กำลังทหารหรืออำนาจบาตรใหญ่ หากคือ ดอลลาร์อเมริกัน ฉากหลังกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงของเฮติ ที่เต็มไปด้วยทหารถืออาวุธ มีตำรวจนอกเครื่องแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวระรานชาวบ้าน ท่ามกลางความยากจนข้นแค้นอยู่กันอย่างแออัดของผู้คน กับภาพหาดสวรรค์ของนักท่องเที่ยวชาวผิวขาวที่นอนอาบแดดพูดคุยอย่างมีความสุข โดยมีคนพื้นเมืองผิวสีคอยรับใช้ เป็นภาพขัดแย้งที่หนังวางไว้เป็นหลัก ก่อนจะค่อยๆ สมทบด้วยเรื่องราวรายละเอียดของตัวละครตอกย้ำให้เห็นว่า คุณค่า ของเฮติในสายตาคนผิวขาวเป็นเช่นไร ตัวละคร เบรนด้า สาวใหญ่วัย 45 ชาวจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่อาจลืมรสสัมผัสของเลกบา เด็กหนุ่มอายุ 15 เมื่อ 3 ปีก่อน ได้ย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง หลายครั้งที่เธอแสดงให้เห็นว่าตนเองรักและห่วงใยเลกบาราวกับคนพิเศษ ซื้อเสื้อผ้าทันสมัยให้ใส่จนเด็กหนุ่มดูแปลกต่างไปจากคนพื้นเมืองคนอื่น ทั้งยังร้องไห้คร่ำครวญเป็นห่วงเป็นใยยามที่เขาตกอยู่ในอันตราย นอกจากนี้ เบรนด้ายังบอกว่าเธอไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลยเมื่ออยู่ที่บ้านเกิด ส่วน เอลเลน ครูสอนภาษาฝรั่งเศสวัย 55 ปี ผู้เชื่อว่าไม่มีที่สำหรับผู้หญิงอายุเกิน 40 ปี ในบอสตัน เธอจึงมาพักผ่อนที่เฮติช่วงปิดภาคเรียนติดต่อกันเป็นปีที่ 6 แล้ว เอลเลนพักที่รีสอร์ตแห่งเดิมเสมอเพราะติดใจในความสวยงาม ความสะอาด กระทั่งรู้สึกว่าที่นี่เหมือนบ้าน ขณะเดียวกัน เธอกลับพูดถึงปอร์โตแปรงซ์และเฮติว่าเหมือนกองมูลหรือคอกสัตว์ซึ่งไม่เหมาะกับเด็กหนุ่มผู้งดงามอย่างเลกบา ขณะที่ ซู สาวออฟฟิศร่างอ้วนมาที่เฮติด้วยความรู้สึกราวกับเป็นผีเสื้อ มีอิสระ มีชีวิตชีวา ต่างจากที่สหรัฐที่แม้แต่การมีความสัมพันธ์กับใครสักคนกลับเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วน ซูบอกว่าเธอรักชายผิวสีซึ่งเป็นเพื่อนข้างกายของเธอ ทั้งย้ำว่าชายผิวสีที่สหรัฐมีตั้งมากมาย แต่ไม่ดึงดูดใจเธอเท่าที่นี่ จากมุมมองของ 3 สาว เห็นได้ว่าพวกเธอรู้สึกกับเฮติเสมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากบ้าน เป็นสถานที่ที่พวกเธอสามารถตักตวงความสุขได้เต็มที่ด้วยการจับจ่ายซื้อหา ที่สำคัญ เฮติที่มีคุณค่าในสายตาของพวกเธอมีขอบเขตเพียงแค่ชายหาดงดงามราวสวรรค์แห่งนี้เท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงความทุกข์ยากหวาดกลัวหรือความแร้นแค้นของผู้คนที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ ทั้งที่ความทุกข์รายล้อมนี้สาหัสสากรรจ์กว่าเรื่องทุกข์ใจที่ผลักดันพวกเธอมาที่นี่ด้วยซ้ำ แม้สถานะของสถานที่และผู้คนที่ต่ำต้อยด้อยกว่าจะถูกให้ความสำคัญ แต่ในเมื่อคุณค่าที่ถูกเลือกหยิบขึ้นมานั้นเป็นแค่เพียงความสุขสำราญชั่วครั้งคราว ไม่ได้เป็นประโยชน์อย่างถาวรหรือให้จับต้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคุณค่าทางเพศรสที่ตอกย้ำว่าเด็กหนุ่มผิวสีไม่ต่างจากเครื่องประดับของหญิงผิวขาว ทั้งหมดนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมที่ยังหลงค้างอยู่นั่นเอง อาการ ติดใจ เด็กหนุ่มจนต้องย้อนกลับมาของเบรนด้า หรือความรู้สึกราวกับเป็นบ้านจนต้องเดินทางมาทุกปีของเอลเลน เปรียบเทียบได้โดยตรงกับสหรัฐที่ไม่เคยละมือไปจากเฮติ ไม่ว่าจะด้วยการแทรกแซงแบบลับๆ หรือชักแถวเดินเข้ามา ควบคุม โดยตรง ด้วยยังมองเห็นผลประโยชน์บางอย่าง ส่วนเงินดอลลาร์ซึ่งสาวๆ ใช้ล่อใจชาวเฮติให้ตกเป็นเบี้ยล่างและตักตวงความสุขให้ตนเอง หมายถึงระบอบทุนนิยมที่สหรัฐเข้ามาหว่านเพาะในเฮติตั้งแต่การรุกรานครั้งแรก หรืออาจจะรวมไปถึง การปกป้องทุน อันเป็นเป้าหมายแฝงเร้นของการให้ท้ายเผด็จการแล้วแทรกแซงประชาธิปไตยในประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้ของสหรัฐมาโดยตลอด (เช่นที่ปรากฏในงานเขียนของ นอม ชอมสกี้) การเชื่อมโยงเรื่องสหรัฐกับเฮติดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หากมาจากตัวละคร อัลแบรต์ ซึ่งอธิบายตนเองว่าครอบครัวของเขาเกลียดชังสหรัฐยิ่งนัก โดยร่วมรบกับกลุ่มกองโจรชาตินิยมระหว่างที่สหรัฐยึดครองเฮติในปี 1915 แต่วันนี้ตัวเขากลับต้องมาคอยรับใช้ชาวสหรัฐที่ใช้เงินดอลลาร์ก่อความเน่าเฟะให้แก่แผ่นดินเกิด นอกจากมุมมองและเรื่องราวของตัวละครสาวใหญ่ชาวอเมริกันจะสะท้อนถึงสถานะของคนผิวขาวชาวตะวันตกและลัทธิอาณานิคมแล้ว บทสนทนาและการกระทำของตัวละครได้แสดงนัยยะเกี่ยวกับอาณานิคมเช่นกัน เช่นในฉากที่เอลเลนบอกเลกบาว่าเครื่องดื่มที่เขาละเลียดอยู่นั้นคือ เตกีล่า ซันไรส์ แล้วอธิบายความหมายของคำว่า ซันไรส์ เป็นภาษาฝรั่งเศสอีกทีหนึ่ง คำว่า พระอาทิตย์ขึ้น นี้ ชวนให้นึกถึงประโยคว่า จักรวรรดิซึ่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน อันเป็นสโลแกนที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดินิยมในอดีต เริ่มใช้โดยสเปน อังกฤษ จนมาถึงปัจจุบันซึ่งสหรัฐได้อ้างประโยคนี้เช่นกันในฐานะชาติมหาอำนาจหนึ่งเดียวที่แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก หรือในฉากที่เอลเลนถ่ายภาพเลกบานอนเปลือยคว่ำหน้าอยู่บนเตียง เลกบาถามว่าไม่ให้เขานอนหงายหรือ เอลเลนตอบว่า ฉันอยากเห็นแค่ใบหน้าเธอยามหลับกับบั้นท้ายของเธอ ประโยคดังกล่าวสามารถตีความเชื่อมโยงได้ถึงท่าทีของสหรัฐที่ต้องการให้เฮติอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสงบ ระหว่างที่สหรัฐย่องเข้ามาแทรกแซง Heading South ดัดแปลงจากเรื่องสั้น 3 เรื่องของ ดานี ลาเฟริแยร์ นักเขียนผิวสีชาวเฮติผู้อพยพลี้ภัยมาอยู่แคนาดาในช่วงที่เฮติอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลดูวาลิเยร์ งานเขียนของเขาจึงสะท้อนแง่มุมเกี่ยวกับสหรัฐและเฮติในยุคเผด็จการได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากถามว่าในเมื่อหนังเรื่องนี้แสดงถึงอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมที่ฝังแน่นในทัศนคติของชาวตะวันตกผิวขาว แต่ขณะเดียวกันกลับมีนัยยะสื่อถึงการรุกรานของสหรัฐต่อเฮติอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ท่าทีดังกล่าวไม่ขัดแย้งกันเองหรือ คำตอบคือไม่...ทั้งนี้เพราะ Heading South เป็นหนังสัญชาติฝรั่งเศส โดยผู้กำกับฯชาวฝรั่งเศส ถ้าหากจะทำหนังว่าด้วยเฮติซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของพวกเขามาก่อนโดยให้สหรัฐรับบทผู้ร้าย...ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว หมายเหตุ : บทความนี้ทดลองใช้กรอบของแนวคิดสกุล Postcolonialism หรือ หลังอาณานิคม มาวิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์ ไม่ได้ลงลึกยังรายละเอียดของทฤษฎี อ่านบทความเกี่ยวกับแนวคิด หลังอาณานิคม ได้ที่เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนบทนำเพื่อทำความเข้าใจ ลัทธิหลังยุคอาณานิคม โดย สมเกียรติ ตั้งนโม แปลและเรียบเรียง บทบรรยายเรื่อง Post Colonial Criticism การวิจารณ์ศิลปะ-วรรณกรรมแนวหลังอาณานิคม โดย นพพร ประชากุล และบทความเรื่อง แนวคิดสกุล "หลังอาณานิคม" (Postcolonialism) โดย นพพร ประชากุล ใน "สารคดี" ฉบับที่ 191 มกราคม 2544
Create Date : 13 พฤษภาคม 2550
4 comments
Last Update : 13 พฤษภาคม 2550 0:44:36 น.
Counter : 4306 Pageviews.
โดย: tistoo 13 พฤษภาคม 2550 21:45:29 น.
โดย: G IP: 203.113.76.72 15 พฤษภาคม 2550 0:02:31 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
โห ... ลึกซึ้งมากๆเลย
มุมมอง เรื่องราว รวมถึงบทสนทนาและการกระทำของตัวละคร
ล้วนแต่สะท้อนและแสดงนัยยะเกี่ยวกับเรื่องอาณานิคม
โอ ... พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินจริงๆนะเนี่ยย
ปล.
บอส หนูเคยอ่านข่าว เห็นเค้าว่ากันว่า ตอนนี้อ่ะหนุ่มไทยร่างใหญ่กำยำ ผิวสีแทน ตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆเช่นภูเก็ต
กำลังเป็นที่นิยมของสาวใหญ่สาวน้อยทั้งฝรั่งและญี่ปุ่นจำนวนมาก
ยังผลให้เค้าก็เริ่มมีอาชีพรับจ้างมีความสัมพันธ์กับใครสักคนแบบหนุ่มที่เฮติทำเลยแหละ
เฮ้อออ แต่เรื่องนี้ไม่รู้ว่าถ้าเอาไปสร้างเป็นหนังแล้วเราจะตีความกับมันยังไงได้มั่งเนาะ
เพราะชาติเราก็ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมใครเขา (เอ ... หรือว่าจริงๆเราก็กำลังตกเป็นอาณานิคมทางวัฒนธรรมชาติต่างๆเหล่านั้นเค้าอยู่หว่า)