Group Blog All Blog
|
ลดยุ่งยาก ! "ปศุสัตว์"ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์บริการนำเข้า-ส่งออกทุกขั้นตอนเบ็ดเสร็จวันเดียว
"ปศุสัตว์"นำร่องการใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบการนำเข้า-ส่งออก อาหารสัตว์-วัตถุอันตรายด้านปศุสัตว์ เชื่อมโยงขั้นตอนด้วยระบบจบในวันเดียว
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์เปิดตัวนำร่องการใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบการนำเข้า-ส่งออก ด้านอาหารสัตว์และวัตถุอันตรายด้านการปศุสัตว์ โดยบริการทุกขั้นตอนเบ็ดเสร็จเชื่อมโยงหนึ่งเดียว ลดความซ้ำซ้อน ลดขั้นตอน และระยะเวลาในการให้บริการ ทุกอย่างทำได้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่การยื่นคำขออนุญาต การตรวจสอบผ่านระบบอัติโนมัติ (Automated service) การจ่ายเงิน (e-Payment) การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ (e-License) ภายใน 1 วันทำการ ทำให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทางมารับบริการด้วยตัวเอง ลดการใช้กระดาษ (Paperless) ตลอดจนสร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ 4.0 กรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานภาครัฐ 4.0 ที่มุ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนตลอดมา ได้ประยุกต์นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาปรับปรุงและพัฒนากระบวนงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาและปรับปรุงระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บริการด้านทะเบียนใบอนุญาตอาหารสัตว์และวัตถุอันตรายด้านการปศุสัตว์ มาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งรองรับงานบริการด้านการอนุญาตนำเข้า-ส่งออก การผลิต การขาย การออกหนังสือรับรอง Health Certificate ของอาหารสัตว์และวัตถุอันตรายด้านการปศุสัตว์ ต่อมาได้มีการพัฒนาการชำระเงินผ่านระบบ e-Payment และได้เชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เป็นต้น ล่าสุดในปี 2564 ได้มีการพัฒนาระบบการตรวจสอบอัตโนมัติ (Automated service) เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร อีกทั้งยังมีระบบการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ซึ่งเป็นการบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รองรับการดำเนินชีวิตวิถีถัดไป (Next normal) และการขยายตลาดด้านอาหารสัตว์ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีการใช้บริการต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น พร้อมกับการฝึกอบรมการลงลายมือชื่อในระบบอิเล็กทรอนิกส์และออกใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ ในวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 เวลา 9.00 น. พิธีเปิด อย่างเป็นทางการ ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ปศุสัตว์เขต ปศุสัตว์จังหวัด และด่านกักกันสัตว์ทั่วประเทศ เข้าร่วมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Virtual meeting) รวมทั้งสิ้น 130 คน ซึ่งตนได้ลงลายมือชื่อในระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ใบอนุญาตขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะฉบับแรก การบริการทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้านอาหารสัตว์และวัตถุอันตรายด้านการปศุสัตว์รูปแบบใหม่เป็นการให้บริการเบ็ดเสร็จเชื่อมโยงในหนึ่งเดียว เป็นช่องทางการให้บริการมิติใหม่แบบไร้พรมแดน ปัจจุบันมีการใช้บริการแล้วมากกว่า 100,000 ครั้งต่อปี และเมื่อเปิดใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ จะสามารถตรวจสอบและอนุมัติได้ทันทีเมื่อเอกสารถูกต้องครบถ้วน ภายใน 1 วันทำการ ผู้ประกอบการสามารถดาวน์โหลดใบอนุญาตเพื่อนำไปใช้งานได้ โดยไม่ต้องเดินทางมารับเอกสารด้วยตนเอง ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการ ลดขั้นตอน ลดระยะเวลา ลดการใช้กระดาษ และสามารถอำนวยความสะดวกในการนำเข้า-ส่งออกด้านอาหารสัตว์และวัตถุอันตรายด้านการปศุสัตว์แก่ผู้มารับบริการได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้สะดวกและพึงพอใจทั้งผู้ให้และผู้รับบริการด้วย "ประภัตร"จี้ปศุสัตว์เร่งจ่ายชดเชยเสียหายจากลัมปี สกิน
นายประภัตร โพธสุธน รมช .เกษตรฯ ที่กำกับดูแลกรมปศสัตว์เปิดเผยว่าจากที่มีรายงานสถานการณ์โรคลัมปี สกิน (Lumpy skin) เป็นโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทยที่พบการติดเชื้อครั้งแรกในโคเนื้อของเกษตรกรที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2564 การแพร่กระจายของโรคโดยมีแมลงเป็นพาหะ ไปยังโค-กระบือของเกษตรกรในจังหวัดต่างๆ
รวมทั้งสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบืออย่างมาก นั้นตนกำชับสั่งการให้กรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาควบคุมสถานการณ์การระบาดในทันที ให้สำเร็จ และให้เฝ้าระวังโรคในจังหวัดข้างเคียง และหาแนวทางช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเป็นการเร่งด่วน เพื่อเป็นการช่วนเหบือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากการระบาดตน ได้เสนอให้แก้ไขระเบียบ โดยเพิ่มอัตราการให้ความช่วยเหลือกรณีสัตว์ตายด้วยโรคลัมปี สกิน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่ง ปัจจุบัน (25 พฤศจิกายน 2564) ได้จ่ายเงินให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรแล้ว 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ น่าน เชียงใหม่ กำแพงเพขร อุทัยธานี ชุมพร นครสวรรค์ และแพร่ รวมเกษตรกร 297 ราย โค-กระบือ 390 ตัว วงเงิน 8,520,000 บาท จากที่กรมปศุสัตว์ได้รับเอกสารจากจังหวัดแล้วทั้งสิ้น 28 จังหวัด รวมเกษตรกร 20,271 ราย โค-กระบือ 23,707 ตัว วงเงิน 503,972,200 บาท โดยจะเร่งตรวจสอบเอกสารตามขั้นตอน พร้อมทั้งทยอยจ่ายเงินให้เกษตรกรในแต่ละจังหวัดภายในช่วยเทศกาลปีใหม่นี้ สำหรับจังหวัดอื่นๆ อีก 35 จังหวัด รวมโค-กระบือ 34,936 ตัว อยู่ระหว่างนำเข้าประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) และรวมรวมเอกสารส่งกรมปศุสัตว์ต่อไป เพื่อเป็นการป้องกันโรค และการให้ความช่วยเหลือเยี่ยวยาให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวการคลังระเบียบกระทรวงคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 และหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเกณฑ์การช่วยเหลือใหม่แบ่งตามช่วงอายุ มีดังนี้ โคอายุน้อยกว่า 6 เดือน ได้รับ 13,000 บาท กระบืออายุน้อยกว่า 6 เดือน ได้รับ 15,000 บาท โคอายุตั้งแต่ 6 เดือน - 1 ปี ได้รับ 22,000 บาท กระบืออายุตั้งแต่ 6 เดือน - 1 ปี ได้รับ 24,000 บาท โคอายุมากกว่า 1 - 2 ปี ได้รับ 29,000 บาท กระบืออายุมากกว่า 1 - 2 ปี ได้รับ 32,000 บาท โคอายุมากกว่า 2 ปี ได้รับ 35,000 บาท และกระบืออายุมากกว่า 2 ปี ได้รับ 39,000 บาท โดยขอให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตวทำขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทุกแห่ง เพื่อให้สามารถรับการชดเชย กรณีสัตว์เสียหายจากภัยพิบัติ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะได้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน เพื่อให้การส่งเสริม สนับสนุน และดูแลเกี่ยวกับการควบคุม ป้องกันโรคได้อย่างทั่วถึงต่อไป แพะขุนสินค้าปศุสัตว์ทางเลือก สร้างรายได้ดี
นายนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า แพะเป็นสัตว์เศรษฐกิจและเป็นสินค้าทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่เกษตรกรให้ความสนใจเลี้ยงในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
โดยพบว่าเกษตรกรมีการเลี้ยงทั้งแบบปล่อยทุ่ง และแบบขังคอกหรือแพะขุน ซึ่งการเลี้ยงแบบปล่อยทุ่งจะมีความเสี่ยงต่อการกินหญ้าที่มีสารพิษตกค้าง โรคพยาธิ และเกิดความสูญเสียแพะระหว่างการเลี้ยงสูง อีกทั้งแพะจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการไม่เพียงพอส่งผลต่อระยะเวลาการเลี้ยง สำหรับการเลี้ยงแบบขังคอกหรือแพะขุน แม้การลงทุนช่วงแรกจะสูงแต่เป็นการเลี้ยงที่เหมาะสมกับสภาพในปัจจุบันที่มีพื้นที่เลี้ยงแพะจำกัด อีกทั้งยังช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ โรคพยาธิ สารพิษตกค้าง และปัญหาแพะรุกเข้าไปในที่สวนไร่นา สศท.7 ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยในระดับพื้นที่ เรื่อง การผลิตและการตลาดแพะขุนในพื้นที่ภาคกลางตอนบน (ชัยนาท ลพบุรี สุพรรณบุรี) ซึ่งผลการศึกษา พบว่า ปัจจุบันเกษตรกรมีการเลี้ยงแพะเพื่อเสริมรายได้มากขึ้น เนื่องจากแพะเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย กินอาหารได้หลากหลาย และใช้พื้นที่ในการเลี้ยงน้อย ในปี 2564 (ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564) มีเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะเนื้อทั้งแบบขุนและแบบปล่อยทุ่ง ทั้ง 3 จังหวัดรวม 4,136 ราย แบ่งเป็น จังหวัดลพบุรี จำนวน 2,007 ราย จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1,211 ราย และจังหวัดชัยนาท จำนวน 918 ราย มีการเลี้ยงแพะเนื้อรวม 131,383 ตัว เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีจำนวน 90,450 ตัว (เพิ่มขึ้น 40,933 ตัว หรือร้อยละ 45) หากพิจารณาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตแพะขุนของภาคกลางตอนบน ปี 2564 พบว่า มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 1,476 บาท/ตัว หรือ 72 บาท/กิโลกรัม แยกเป็นค่าแรงงาน 160 บาท/ตัว ค่าอาหาร วัสดุอุปกรณ์ 1,086 บาท/ตัว และส่วนที่เหลือ 230 บาท/ตัว เป็นค่าเสียโอกาสในการลงทุน ค่าเช่าที่ดิน/ค่าใช้ที่ดิน ค่าเสื่อม/ค่าเสียโอกาสโรงเรือนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้านสถานการณ์ตลาดแพะขุน การจำหน่ายแพะขุนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48 เกษตรกรส่งจำหน่ายให้กับผู้รวบรวมรายใหญ่ในจังหวัดลพบุรี และชัยนาท ผลผลิตร้อยละ 33 เกษตรกรส่งจำหน่ายให้กับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ และอีกร้อยละ 19 ส่งจำหน่ายให้กับผู้รวบรวมรายย่อยในพื้นที่ ผู้รวบรวมรายย่อยจะส่งต่อให้กับผู้รวบรวมรายใหญ่ต่อไป โดยผู้รวบรวมรายใหญ่จะส่งจำหน่ายแพะขุนให้กับพ่อค้าเวียดนามร้อยละ 69 ส่งจำหน่ายพ่อค้าขายส่งภาคใต้ร้อยละ 27 และส่งจำหน่าย พ่อค้าขายส่งกรุงเทพฯ และพ่อค้าขายส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 4 สำหรับตลาดรับซื้อแพะรายใหญ่ คือ ประเทศจีน แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่มีชายแดนติดต่อกับประเทศจีนทำให้ต้องซื้อขายผ่านพ่อค้าเวียดนามที่เข้ามารับซื้อแพะในประเทศไทย เพื่อส่งไปจำหน่ายต่อยังประเทศจีน หากสามารถส่งเสริมให้ผู้ประกอบการของไทยส่งออกแพะไปจำหน่ายยังประเทศจีนได้โดยตรง จะเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการค้าแพะของไทยเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกผ่านไปยังเวียดนามด้วย ทั้งนี้ ท่านใดที่สนใจข้อมูลเชิงลึกของผลการวิจัย ซึ่ง สศท.7 ได้ทำการศึกษาวิถีการตลาด ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดของแพะขุน ในพื้นที่ภาคกลางตอนบน สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.7 โทร. 0 5640 5005 อีเมล์ zone7@oae.go.th ด่วน ! ปศุสัตว์คุมเข้มไข้หวัดนกหลังติดเชื้อในคน
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่านายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการด่วนให้กรมปศุสัตว์คุมเข้มเฝ้าระวังเชื้อไข้หวัดนกชนิด H5N6 เป็นการเร่งด่วนหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนพบการติดเชื้อในคนเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน โดยมีผู้ติดเชื้อแล้ว 49 คน เสียชีวิต 25 คน
ทั้งนี้จากกรณีดังกล่าวตนได้มีคำสั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์ทุกจังหวัด และสำนักงานปศุสัตว์อำเภอทั่วประเทศเข้มงวดในการตรวจสอบและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเจ้มงวดตรวจสอบตามแนวชายแดนพร้อมทั้งดำเนินการมาตรการชะลอการนำเข้า นำออก หรือผ่านราชอาณาจักร นอกจากนั้นยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จากสำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ พร้อมทีมงาน เข้าติดตามงานตามโครงการ “เฝ้าระวังโรคไข้หวัดนก ในนกธรรมชาติเชิงรับในพื้นที่ชุมน้ำ”โดยประสานงานร่วมกับทีมงานในพื้นที่ ประกอบด้วย กลุ่มพัฒนาสุขภาพสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครสวรรค์ เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด และเจ้าหน้าที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด ประเทศไทยปลอดเชื้อไข้หวัดนกมาตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปี ทั้งในคนและสัตว์” เนื่องจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกทั่วประเทศมีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในโรงเรือนและบริเวณโดยรอบ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มเข้มงวดระบบความปลอดภัยและการจัดการภายในฟาร์ม มีการควบคุมการเข้า-ออกฟาร์ม โดยให้ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยานพาหนะทุกคัน และให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินมาตรการควบคุมโรคทันทีในกรณีที่มีการแจ้งและการรายงาน รวมถึงให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายในประเทศ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตลอดจนหน่วยงานระหว่างประเทศ องค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) อย่างต่อเนื่อง หากพบสัตว์ปีกมีอาการหรือป่วยตายผิดปกติ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ หรืออาสาปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที เพื่อเร่งดำเนินการสอบสวนและให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ โทร 063-225-6888 หรือแจ้งผ่าน Application : DLD 4.0 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนเลี้ยงกุ้งฝอย-หอยขม ปูนา แหล่งอาหารในพื้นที่
"เกษตรฯ"เดินหน้าโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนส่งเสริมสร้างแหล่งอาหารชุมชน เลี้ยงกุ้งฝอย-หอยขม ปูนา ปลาพื้นถิ่น สร้างรายได้ให้ประขาชนในพื้นที่
นายทินกร อ่อนปทุม คณะที่ปรึกษานายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดที่เกิดขึ้นอย่างค่อเนื่องล่าสุดกระทรวงเกษตร ฯ ได้มีนโยบายในการส่งเสริมโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนอันเนื่องมาจากผลกระทบจากโรคระบาดโควิด ตามกรอบแนวทางของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้กำหนดให้แนวทางในการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ซึ่งที่ผ่านมานายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯได้มอบนโยบายให้ส่วนราชการในส่วนภูมิภาคเร่งดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ทั้งนี้ได้แก่1.โครงการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งฝอย-หอยขม-ปูนา-ปลาพื้นถิ่น งบประมาณ 3,000,000 บาท มีประชาชนเข้าร่วมโครงการ 1,000 ครัวเรือน โดยกระจายไปทั่วทั้งจังหวัด โดยมึการสร้างเกษตรกรต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ลดต้นทุนไม่ต้องพึ่งพาอาหารปลา โดยใช้หลักการสร้างอาหารธรรมชาติซึ่งองค์ความรู้ความหลากหลายทางชีวภาพการเกื้อกูลกันของระบบนิเวศในสระน้ำของเกษตรกรนอกจากเป็นแหล่งอาหารในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถต่อยอดเป็นการเกษตรเชิงพานิชย์ได้ต่อไปด้วย สำหรับเกษตรกรที่ต้องการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อแปรรูปหรือทำการตลาดก็สามารถต่อยอดได้ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยประมงจังหวัดกำลังดำเนินการประสานงานผู้ประกอบการส่งออกและผู้ประกอบการแปรรูปอาหารเพื่อทำการตลาดต่อไป โดยใช้วัสดุพื้นถิ่นที่มีอยู่ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยขี้วัว ขี้ไก่ ฟางข้าว ลงไปหมักในน้ำแล้วรักษาสมดุลย์ให้เกิดอาหารธรรมชาติจำพวกแพงค์ตอนพืชและแพงค์ตอนสัตว์ให้ต่อเนื่องซึ่งจะเป็นอาหารให้กับกุ้งฝอยหอยขมปูนาและปากพื้นถิ่นอย่างเกื้อกูลและยั่งยืนส่วนโครงการเลี้ยงปลาดุกข้างบ้าน นั้น มีการอบรมเกษตรเลี้ยงปลาดุก โดยมอบปัจจัยการผลิตบางส่วน ได้แก่กระชังบก อาหารปลา และพันธุ์ปลาดุกแก่เกษตรกร และจากนั้นจะมีการขยายโครงการต่อไปด้วย |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |