เปิดมหกรรมไก่พื้นเมืองแห่งชาติสีสันแห่งล้านนา
"ปศุสัตว์"จับมือมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดงานมหกรรมไก่พื้นเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 6 สีสันแห่งล้านนา ในระหว่างวันที่ 7 – 8 พฤษภาคม 2565
นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมไก่พื้นเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 6 สีสันแห่งล้านนา โดยมีนายศิวะ ธมิกานนท์ นายอำเภอสันทราย ผศ.พาวิน มะโนชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ นายสัตวแพทย์อนุสรณ์ หอมขจร ปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่ นายวิวัฒน์ ไชยชะอุ่ม ผอ.กสส. นายพนม มีศิริพันธ์ ปศุสัตว์เขต 5 และ ตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมงาน ในวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม 2565 ณ สำนักฟาร์ม 907 ไร่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไก่พื้นเมือง ในด้านการเสริมสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี การเพิ่มมูลค่าไก่พื้นเมืองทั้งมีชีวิตและผลิตภัณฑ์ โดยส่งเสริมให้มีการจัดงานมหกรรมไก่พื้นเมืองแห่งชาติมาแล้ว 5 ครั้งและในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นการเผยแพร่อัตลักษณ์พื้นถิ่นของไก่พื้นเมือง การเชื่อมโยงเครือข่าย การผลิต การตลาดไก่พื้นเมืองในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
เป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกร นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันค้นหาแนวทางการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงไก่พื้นเมือง การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการพัฒนาสายพันธุ์ การจัดการให้มีความเหมาะสมเกิดประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์ พัฒนาพันธุ์ไก่พื้นเมืองให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติ เผยแพร่เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของไก่พื้นเมืองไทย บูรณาการร่วมกับชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน
โดยงานมหกรรมไก่พื้นเมือง ครั้งที่ 6 นี้ มีกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจ อาทิ การแข่งขันทำลาบไก่ การแข่งขันสานสุ่มไก่ การแข่งขันไก่ต่อไก่ตั้ง การประกวดไก้แจ้สวยงาม การประกวดไก่พื้นเมืองสวยงาม พร้อมทั้งมีการเสวนา ในหัวข้อ ทิศทางการส่งเสริมและการพัฒนาตลาดไก่พื้นเมือง ฯลฯ ด้วย
ยื่น FAO ขอรับรอง"ควายน้ำทะเลน้อย"เป็นมรดกทางการเกษตรโลก
นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ยื่นเอกสารขอรับรอง “วิถีการเลี้ยงควายและเกษตรเชิงนิเวศในพื้นที่ทะเลน้อย” เป็น “มรดกทางการเกษตรโลก” (Globally Important Agricultural Heritage System หรือ GIAHS) จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO
พื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากจนได้รับการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรือ “Ramsar site" และมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ FAO ในการเป็นมรดกทางการเกษตร ที่เน้นการอนุรักษ์มรดกทางการเกษตรโลก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเศรษฐกิจ ปกป้องและส่งเสริมการใช้ทางชีวภาพให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและยั่งยืนบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย มีวิถีชีวิตที่มีความเชื่อมโยงกับควายน้ำทะเลน้อย โดยสืบทอดการเลี้ยงควายมายาวนานมากว่า 250 ปี สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยมีรายได้หลักจากการขายควาย ประกอบกับการทำประมง ปลูกข้าว และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระจูด ด้านระบบนิเวศ เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำในทะเลน้อยมีปริมาณสูง ควายน้ำจะดำน้ำลงไปกินหญ้าใต้น้ำและพืชน้ำอย่างสายบัว ใบบัว หรือสาหร่าย กระจูด มีความสำคัญต่อระบบนิเวศในการกำจัดวัชพืช และมูลของควายยังเป็นอาหารให้กับพืชและแพลงตอน ซึ่งเป็นอาหารปลา
ในส่วนของด้านวัฒนธรรม ควายเป็นศูนย์รวมของความเชื่อ มีพิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับควาย และทางเดินของควาย นอกจากจะสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามยังช่วยป้องกันการเกิดไฟป่าอีกด้วย ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนให้ผลักดันพื้นที่ชุ่มทะเลน้อย จ.พัทลุง เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกทางการเกษตรโลก ผ่านโครงการความร่วมมือระหว่างไทย – FAO เมื่อปี พ.ศ. 2560 โดย FAO ได้สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดทำแผนงานและเอกสารข้อเสนอการขึ้นทะเบียน (GIAHS Proposal) และได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่จะสามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางการเกษตรโลกได้ จะต้องมีองค์ประกอบครบตามหลักเกณฑ์ 5 ข้อ ทั้งนี้ได้แก่ 1) ความมั่นคงด้านอาหาร/ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร 3) ระบบความรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมาแต่ดั้งเดิม 4) วัฒนธรรม ระบบคุณค่า และองค์กรทางสังคม และ 5) ลักษณะภูมิทัศน์/และภูมิทัศน์ทางทะเล โดยในปี พ.ศ. 2564 มีพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GIAHS แล้ว 62 พื้นที่ จาก 22 ประเทศทั่วโลก
"หากพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางการเกษตรโลกได้สำเร็จ จะทำให้เกษตรกรและชุมชนได้รับประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยว โอกาสทางการเกษตร การจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ"
รับมือสับปะรดทะลัก 9 แสนกว่าตัน
นางสาวศิริพร จูประจักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 ราชบุรี (สศท.10) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตสับปะรดโรงงาน ปี 2565 ของภาคตะวันตก ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตหลักที่สำคัญ มีเนื้อที่เก็บเกี่ยวสับปะรดโรงงานคิดเป็นร้อยละ 55 ของเนื้อที่เก็บเกี่ยวทั้งประเทศ มีเกษตรกรผู้ปลูกรวม 16,903 ครัวเรือน
จากการติดตาม (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565) พบว่า ปี 2565 เนื้อที่เก็บเกี่ยว 4 จังหวัด รวม 253,237 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 249,985 ไร่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1) เนื่องจากราคาสับปะรดปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดีจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่ บางส่วนปลูกแซมสวนยางพาราและสวนมะพร้าว ด้านผลผลิต มีจำนวนรวม 937,672 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 895,603 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5) เนื่องจากสับปะรดที่ปลูกช่วงปลายปี 2563 และช่วงต้นปี 2564 เริ่มให้ผลผลิต ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวย มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเจริญเติบโต
หากมองถึงสถานการณ์สับปะรดโรงงานในพื้นที่ทั้ง 4 จังหวัด จากข้อมูลพยากรณ์ พบว่า ประจวบคีรีขันธ์ มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 167,539 ไร่ ผลผลิต 671,161 ตัน ราชบุรี มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 40,807 ไร่ ผลผลิต 129,032 ตัน เพชรบุรี มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 27,602 ไร่ ผลผลิต83,468 ตัน
กาญจนบุรี มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 17,289 ไร่ ผลผลิต 54,011 ตัน เกษตรกรจะเริ่มทยอยปลูกตั้งแต่เดือนมกราคม - เมษายน 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีฝนตกชุก ไม่มีปัญหาโรครากเน่ายอดเน่า ระยะเวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 14 - 18 เดือน ซึ่งสับปะรดโรงงานสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมกราคม และจะออกมากสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2565 (ร้อยละ 24 ของผลผลิตทั้งหมด) ด้านราคาที่เกษตรกรขายได้ภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ราคาเฉลี่ยทั้ง 4 จังหวัด ณ เดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ 6.38 บาท/กิโลกรัม แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ทำให้โรงงานแปรรูปสับปะรดแต่ละแห่งลดกำลังการผลิตลงและมีวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานไม่มากนัก
ในช่วงฤดูการผลิต โรงงานแปรรูปสับปะรดอยู่ระหว่างปรับแผนกำลังการผลิตต่อวันเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ในส่วนของการจำหน่ายผลผลิตเกษตรกรส่งจำหน่ายให้กับผู้รวบรวมในพื้นที่ และพ่อค้ารายใหญ่ที่มารับซื้อภายในจังหวัดเพื่อรวบรวมส่งไปยังโรงงานแปรรูปทั้งในและนอกพื้นที่
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการผลผลิตสับปะรด ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการกำหนดมาตรการระยะสั้นช่วงผลผลิตกระจุกตัวในเดือนพฤษภาคม – ต้นเดือนมิถุนายนนี้ โดยขอความร่วมมือโรงงานแปรรูปสับปะรดในพื้นที่ให้ช่วยรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่และเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ส่วนมาตรการในระยะยาวได้ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดและโรงงานแปรรูปวางแผนการผลิตและการตลาดร่วมกัน (Contract Farming) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ในการทำเกษตรพันธสัญญา เพื่อลดปัญหาผลผลิตส่วนเกินและราคาตกต่ำ รวมถึงได้ผลผลิตมีคุณภาพและมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด
ฝากถึงเกษตรกรผู้ปลูกสับประรด ควรมีการวางแผนการบังคับผลผลิตสับปะรดเพื่อไม่ให้ผลผลิตเกิดการกระจุกตัว หรือปรับแผนการผลิตเป็นสับปะรดบริโภคผลสดแทนบางส่วน เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการปลูกสับปะรดเพื่อส่งเข้าสู่โรงงานแปรรูป และการสร้างเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาวนั้น
โดยการร่วมมือกับโรงงานแปรรูปทำ Contract Farming ล่วงหน้า ที่ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งด้านปริมาณผลผลิตและราคาสับปะรดให้มีเสถียรภาพและสร้างความยั่งยืนให้แก่เกษตรผู้ปลูกสับปะรด ทั้งนี้ ท่านที่สนใจข้อมูลสถานการณ์การผลิตสับปะรดโรงงานภาคตะวันตก สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.10 ราชบุรี โทร 0 3233 7954 หรืออีเมล zone10@oae.go.th
บุกร้านขายสารเคมี-ปุ๋ยไม่มีทะเบียนราชบุรีพร้อมยึดของกลาง
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตร สนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกตรวจร้านขายสารเคมีและปุ๋ย พิกัด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี หลังมีหนังสือร้องเรียนชี้เบาะแส พบปุ๋ยและวัตถุอันตรายทั้งไม่มีทะเบียนและทะเบียนหมดอายุ รวมกว่า 3,000 ลิตร 560 กิโลกรัม โดยได้ทำการอายัดของกลางมูลค่ากว่า 2 ล้านบาทและดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังได้รับรายงานตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรประสานกับเจ้าหน้าที่ กก.2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าร่วมกันตรวจค้นร้านค้าตามที่ได้รับแจ้งดังกล่าวจากการเข้าตรวจค้นร้านค้าดังกล่าวพบวัตถุอันตรายทางการเกษตรจำนวน 23 รายการ และปุ๋ยเคมีจำนวน 3 รายการ
ผลการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์วัตถุอันตราย 22 รายการ ไม่มีเลขทะเบียน ซึ่งฝ่าฝืนมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนั้นยังตรวจพบผลิตภัณฑ์สารกำจัดแมลง จำนวน 1 รายการ ทะเบียนวัตถุอันตรายหมดอายุ ปุ๋ยเคมี จำนวน 3 รายการ ไม่มีเลขทะเบียน ต้องได้รับโทษ ตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย พ.ศ.2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยบทกำหนดโทษขายปุ๋ยเคมีไม่ขึ้นทะเบียน จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปีและปรับตั้งแต่ 20,000 - 120,000 บาท เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าสถานที่ดังกล่าวมีใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายและใบอนุญาตขายปุ๋ยถูกต้อง
“สารวัตรเกษตรและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันตรวจยึดอายัดวัตถุอันตรายและปุ๋ยเคมีปริมาณทั้งหมด 3,857.50 ลิตร และ 560.90 กิโลกรัม ไว้ในที่เกิดเหตุโดยมูลค่าของกลางที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ประมาณ 2,200,000 บาท พร้อมกับได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยว่าเป็นวัตถุอันตรายและปุ๋ยเคมีส่งตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการกองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”