Group Blog All Blog
|
ธ.ก.ส.จับมือมก.เสวนาจัดการฟาร์มสุกรแนวใหม่สู้ภัย ASF
นายณรงค์ ขันติวิริยะกุล ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “การจัดการฟาร์มสุกรแนวใหม่สู้ภัย ASF” โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ลดาวัลย์ พวงจิตร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ให้การต้อนรับและเข้าร่วมกิจกรรม งานสัมมนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสุกรขุนและแม่พันธุ์ ฟาร์มมาตรฐาน
ตลอดจนปัจจัยความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจฟาร์มสุกร เพิ่มคุณภาพและลดความเสี่ยงในการเลี้ยงสุกรภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค African Swine Fever (ASF) ให้แก่ Smart Farmer ผู้ประกอบการ SME เกษตรกรลูกค้าผู้เลี้ยงสุกรขุนและแม่พันธุ์ รวมถึงพนักงาน ธ.ก.ส. กว่า 350 ราย นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook page: KURDI NEWS และ Facebook page: BAAC SME & Startup สำหรับผู้ที่สนใจ ซึ่งทาง ธ.ก.ส. และมก. มุ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามโมเดล BCG Economy ด้วยการเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายให้กับภาคเกษตรไทย สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ณ ห้องสัมมนาเธียร์เตอร์ ชั้น 11 คณะเทคนิคการสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565
เปิดตัวพันธุ์งาอุบลราชธานี 3 ให้ผลผลิตสูง
"กรมวิชาการเกษตร"เปิดตัวพันธุ์งา“อุบลราชธานี 3” ให้ผลผลิตสูงกว่า 200 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มปริมาณน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่า 46 เปอร์เซ็นต์ ต้านทานแมลงศัตรูมวนฝิ่นสีเขียว หนุนปลูกสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรปลูกได้ตลอดปี
นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ล่าสุดคณะนักวิจัยของศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี กรมวิชาการเกษตร ได้วิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงที่ให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นกว่าพันธุ์เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณผลผลิตงาของประเทศเพิ่มมากขึ้นเพียงพอต่อความต้องการของตลาดและทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน จากนั้นนำเข้าประเมินพันธุ์ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์งาแดงเพื่อให้ผลผลิตสูง ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การรวบรวมและศึกษาพันธุ์ การคัดเลือกพันธุ์ และการประเมินพันธุ์โดยการเปรียบเทียบเบื้องต้น เปรียบเทียบมาตรฐาน เปรียบเทียบในท้องถิ่น และเปรียบเทียบในไร่เกษตรกรที่จังหวัดอุบลราชธานี นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์ ศึกษาข้อมูลจำเพาะของพันธุ์ ทั้งนี้งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 3 มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตเฉลี่ยในแหล่งปลูกสำคัญที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ จำนวน 216 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งสูงกว่างาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 ที่ให้ผลผลิต 192 กิโลกรัม/ไร่ และงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 2 ให้ผลผลิต 206 กิโลกรัม/ไร่ และยังให้ปริมาณน้ำมันเฉลี่ยสูง 46.4% รวมทั้งยังมีความต้านทานต่อการทำลายของศัตรูพืชมวนฝิ่นสีเขียว เหมาะสำหรับปลูกในแหล่งปลูกที่สำคัญ และสภาพการผลิตพืชไร่ทั่วไป โดยเกษตรกรสามารถปลูกสร้างรายได้เสริมได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตามงาถือเป็นพืชไร่น้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์เกือบทุกชนิด รวมทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัย จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเกษตรกรจะปลูกเป็นพืชเสริมรายได้ก่อนหรือหลังพืชหลักทำให้พื้นที่ปลูกงาของเกษตรกรอยู่ในวงจำกัด จากสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนส่งผลให้ผลผลิตงาบางปีเกิดความเสียหาย ได้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ทำให้ผลผลิตงาไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั้งที่งาเป็นพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 90 วัน และต้องการการดูแลรักษาน้อย โดยเฉพาะบางปีงาเป็นพืชที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรสูงกว่าพืชหลัก "สหรัฐ"ไฟเขียวเปิดตลาดนำเข้าส้มโอไทยแบบไม่จำกัดพันธุ์
"สหรัฐ"ไฟเขียวเปิดตลาดนำเข้าส้มโอไทยแบบไม่จำกัดพันธุ์ หลังคอยนาน 15 ปี ใช้เงื่อนผ่านการฉายรังสี 400 เกรย์ พร้อมแจ้งแหล่งผลิตและโรงคัดบรรจุได้รับการรับรอง เตรียมลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตรวจสอบผลไม้ฉายรังสีก่อนส่งออก
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรได้รับแจ้งจากหน่วยงานบริการตรวจสอบสุขอนามัยพืชและสัตว์ (APHIS) ประจำประเทศไทย ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้นำเข้าส้มโอผลสดจากประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขการนำเข้าที่กำหนดแล้ว และผู้ประสงค์จะส่งออกส้มโอผลสดไปสหรัฐอเมริกาต้องลงทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อเข้าร่วม “โครงการตรวจสอบผลไม้ฉายรังสีก่อนการส่งออก” นับเป็นข่าวดีที่รอคอยมานานถึง 15 ปี เนื่องจากการที่จะอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ชนิดใดก็ตามจะต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชจากประเทศผู้นำเข้าเพื่อป้องกันมิให้มีแมลงศัตรูพืชกักกันที่ไม่มีในประเทศผู้นำเข้าติดปนเปื้อนไปกับผลผลิต ซึ่งประเทศไทยได้ใช้เงื่อนไขการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชก่อนที่จะอนุญาตให้มีการนำเข้าผลไม้จากประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ส้มโอไทยแต่ละพันธุ์มีรสชาติและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากส้มโอจากประเทศอื่น ทำให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังเป็นผลไม้ที่สามารถเก็บรักษาได้ระยะเวลายาวนานจึงเหมาะสมต่อการขนส่งทั้งทางเครื่องบินและทางเรือ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยสามารถส่งออกส้มโอผลสดไปจำหน่ายในต่างประเทศได้จำนวน 29 ประเทศ โดยมีตลาดหลักที่สำคัญ ได้แก่ จีน และมาเลเซีย ในปี2564 ประเทศไทยส่งออกส้มโอจำนวน 29,782 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 903 ล้านบาท ส่วนเงื่อนไขการส่งออกส้มโอผลสดไปสหรัฐอเมริกานั้นผลผลิตต้องมาจากแหล่งผลิตที่ได้รับการรับรอง GAP โรงคัดบรรจุได้รับการรรับรองตามมาตรฐาน GMP ก่อนการส่งออกต้อง ล้าง ขัด ฆ่าเชื้อ และจุ่มสารเคมีเพื่อกำจัดเชื้อราตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งผู้ส่งออกต้องลงทะเบียนเข้าร่วม “โครงการตรวจสอบผลไม้ฉายรังสีก่อนการส่งออก”กับกรมวิชาการเกษตรโดยผลผลิตส้มโอที่จะส่งออกต้องผ่านการฉายรังสีที่ 400 เกรย์เพื่อกำจัดแมลงวันผลไม้ซึ่งสามารถทำได้ทั้งก่อนส่งออกหรือที่จุดนำเข้าในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหากฉายรังสีที่จุดนำเข้าไม่ต้องใช้ใบรับรองสุขอนามัยพืช แต่ต้องผ่านการตรวจสอบทุกล๊อตที่นำเข้า ซึ่งการอนุญาตให้นำเข้าส้มโอจากไทยต้องเป็นการส่งออกเพื่อการค้าเท่านั้น ผู้ที่ต้องการส่งออกส้มโอผลสดไปสหรัฐอเมริกาสามารถสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มวิจัยการกักกันพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์ 0-2940-6670 ต่อ 142 หรือ 0-2579-3496 เตือนภัยชาวสวนระวัง ด้วงบุกเข้าทำลายต้นอินทผลัม
"กรมวิชาการเกษตร"เตือนภัยชาวสวนระวัง ด้วงบุกเข้าทำลายต้นอินทผลัม ทำลายกัดกินยอดอ่อนแนะเกษตรกรตัดวงจรแพร่ระบาดหมั่นทำความสะอาดสวน พร้อมติดกับดักฟีโรโมนล่อตัวเต็มวัยมาทำลาย และลดการวางไข่ได้
นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการขอแจ้งเตือนให้เกษตรกรเฝ้าระวังการระบาดของด้วงแรดมะพร้าวและด้วงงวงมะพร้าวหรือด้วงสาคู โดยเริ่มพบการระบาดในสวนอินทผลัมซึ่งเป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกมากขึ้น โดยด้วงแรดมะพร้าวจะเป็นศัตรูด่านหน้าเข้าไปเจาะกินก่อนหลังจากนั้นด้วงงวงมะพร้าวตามเข้ามาทำลายโดยวางไข่บริเวณบาดแผลตามลำต้น บริเวณที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้ หรือบริเวณรอยแตกของเปลือก ทั้งนี้การป้องกันกำจัดด้วงงวงมะพร้าวที่พบการเข้าทำลายในต้นอินทผลัมให้ตัดโค่นทอนเป็นท่อนแล้วผ่า พร้อมกับจับหนอนไปทำลาย และไม่ควรให้ต้นอินทผลัมเกิดแผลเพราะจะเป็นช่องทางให้ด้วงงวงมะพร้าววางไข่และตัวหนอนที่ฟักจากไข่จะเจาะเข้าทำลายในต้นอินทผลัมได้ และหากลำต้นเป็นรอยแผลควรทาด้วยน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ที่ใช้แล้วหรือชันยาเรือผสมกับน้ำมันยางเพื่อป้องกันการวางไข่ ส่วนสารกำจัดแมลงตามคำแนะนำของสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช คือ ไดอะซินอน 60% อีซี อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือพ่นบริเวณลำต้นอินทผลัมตั้งแต่โคนยอดอ่อนลงมาโดยพยายามเน้นบริเวณซอกกาบใบให้เปียก ปริมาณการใช้จำนวน 1 – 1.5 ลิตรต่อต้น ทุก 15 - 20 วัน และควรใช้ 1 - 2 ครั้งในช่วงระบาด ดังนั้นจึงต้องป้องกันกำจัดด้วงแรดมะพร้าวไม่ให้ระบาดในสวน โดยแหล่งขยายพันธุ์ของด้วงแรดมะพร้าวส่วนใหญ่มาจากการทิ้งเศษพืช ซากเน่าเปื่อยของตอมะพร้าวหรือปาล์มน้ำมัน กองมูลสัตว์เก่า กองปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว เกษตรกรจึงควรทำความสะอาดสวนไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ขยายพันธุ์ของด้วงแรดมะพร้าว ซึ่งทั้งด้วงแรดมะพร้าวและด้วงงวงมะพร้าวเป็นศัตรูพืชที่พบการกระจายได้ทั่วประเทศและระบาดได้ตลอดทั้งปีโดยการเข้าทำลายในระยะแรกๆ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มบริหารศัตรูพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์ 0-2579-4535 เตือนภัยชาวสวนระวัง ด้วงบุกเข้าทำลายต้นอินทผลัม
"กรมวิชาการเกษตร"เตือนภัยชาวสวนระวัง ด้วงบุกเข้าทำลายต้นอินทผลัม ทำลายกัดกินยอดอ่อนแนะเกษตรกรตัดวงจรแพร่ระบาดหมั่นทำความสะอาดสวน พร้อมติดกับดักฟีโรโมนล่อตัวเต็มวัยมาทำลาย และลดการวางไข่ได้
นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการขอแจ้งเตือนให้เกษตรกรเฝ้าระวังการระบาดของด้วงแรดมะพร้าวและด้วงงวงมะพร้าวหรือด้วงสาคู โดยเริ่มพบการระบาดในสวนอินทผลัมซึ่งเป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกมากขึ้น โดยด้วงแรดมะพร้าวจะเป็นศัตรูด่านหน้าเข้าไปเจาะกินก่อนหลังจากนั้นด้วงงวงมะพร้าวตามเข้ามาทำลายโดยวางไข่บริเวณบาดแผลตามลำต้น บริเวณที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้ หรือบริเวณรอยแตกของเปลือก ทั้งนี้การป้องกันกำจัดด้วงงวงมะพร้าวที่พบการเข้าทำลายในต้นอินทผลัมให้ตัดโค่นทอนเป็นท่อนแล้วผ่า พร้อมกับจับหนอนไปทำลาย และไม่ควรให้ต้นอินทผลัมเกิดแผลเพราะจะเป็นช่องทางให้ด้วงงวงมะพร้าววางไข่และตัวหนอนที่ฟักจากไข่จะเจาะเข้าทำลายในต้นอินทผลัมได้ และหากลำต้นเป็นรอยแผลควรทาด้วยน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ที่ใช้แล้วหรือชันยาเรือผสมกับน้ำมันยางเพื่อป้องกันการวางไข่ ส่วนสารกำจัดแมลงตามคำแนะนำของสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช คือ ไดอะซินอน 60% อีซี อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือพ่นบริเวณลำต้นอินทผลัมตั้งแต่โคนยอดอ่อนลงมาโดยพยายามเน้นบริเวณซอกกาบใบให้เปียก ปริมาณการใช้จำนวน 1 – 1.5 ลิตรต่อต้น ทุก 15 - 20 วัน และควรใช้ 1 - 2 ครั้งในช่วงระบาด ดังนั้นจึงต้องป้องกันกำจัดด้วงแรดมะพร้าวไม่ให้ระบาดในสวน โดยแหล่งขยายพันธุ์ของด้วงแรดมะพร้าวส่วนใหญ่มาจากการทิ้งเศษพืช ซากเน่าเปื่อยของตอมะพร้าวหรือปาล์มน้ำมัน กองมูลสัตว์เก่า กองปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว เกษตรกรจึงควรทำความสะอาดสวนไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ขยายพันธุ์ของด้วงแรดมะพร้าว ซึ่งทั้งด้วงแรดมะพร้าวและด้วงงวงมะพร้าวเป็นศัตรูพืชที่พบการกระจายได้ทั่วประเทศและระบาดได้ตลอดทั้งปีโดยการเข้าทำลายในระยะแรกๆ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มบริหารศัตรูพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์ 0-2579-4535 |
สมาชิกหมายเลข 3402302
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog Link |